เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลมาทำงานตามปกติ ในวันนี้พนักงานส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าสีดำกัน เนื่องจากในคืนนี้ทางบริษัทรับเป็นเจ้าภาพงานศพของแก้วตา นิรมลก็สวมใส่เสื้อสีดำเพื่อไปงานเช่นกัน
ก่อนเริ่มทำงาน นิรมลนึกถึงคำร้องขอของแก้วตาขึ้นมาได้ เธอจึงเดินไปยังห้องพักของแม่บ้านที่ชั้นหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ในห้อง หญิงสาวเดินไปที่ตู้ล็อกเกอร์ที่ใช้เก็บของ มองหาตู้เก็บของที่มีชื่อแก้วตา แต่ไม่สามารถเปิดได้เพราะมีกุญแจล็อกอยู่
นิรมลมองซ้ายมองขวา หาอุปกรณ์ที่จะนำมางัดตู้ล็อกเกอร์ ระหว่างที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักแห่งนี้ มองหญิงสาวอย่างสงสัย
“คุณทำอะไรคะ ต้องการอะไรหรือเปล่า”
นิรมลชะงัก เริ่มอึกอัก มองซ้ายมองขวาเหมือนหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ แม่บ้านยืนมองด้วยสีหน้าแปลกใจ หญิงสาวยืนนิ่ง ได้แต่บอกเสียงอ่อย
“คะ...คือ...นิวอยากจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ของแก้วตาค่ะ”
“คุณจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ของแก้วตาทำไมล่ะคะ มีอะไรหรือเปล่า”
นิรมลนึกหาคำตอบ แล้วอยู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เมื่อวันก่อนที่แก้วตาจะเสีย มาขอยืมของนิวไปค่ะ ตอนนี้อยากจะได้ของคืน ก็เลยคิดเอาเองว่าเธอน่าจะเก็บของไว้ที่นี่ค่ะ”
แม่บ้านคิ้วขมวด สีหน้าแสดงความสงสัยแต่ไม่ได้พูดว่าไม่เชื่อ หันมาบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าวิตกกังวล
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปเอากุญแจล็อกเกอร์สำรองมาเปิดให้ค่ะ คุณรออยู่ตรงนี้แหละ”
แม่บ้านหายไปครู่หนึ่งก็กลับเข้ามา พร้อมด้วยกุญแจสำรองที่ถือเข้ามา แม่บ้านมาไขให้แล้วหันมาบอกกับนิรมล
“หาของได้เลยค่ะคุณนิว”
นิรมลค้นหาของ ซึ่งข้างในตู้เล็กๆ นั้นมีกระดาษเอสี่ และของใช้ส่วนตัวของแก้วตา ในขณะที่แม่บ้านยืนมองอยู่ด้านหลัง เธอทำเป็นค้นหาของกุกกักราวกับหาของไม่เจอ ทั้งๆ ที่ตู้ก็เล็กเพียงแค่นั้น ในขณะที่กำลังทำเป็นหาของอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงโทรศัพท์ของแม่บ้าน
“ฮัลโหล เออ...ฉันอยู่ที่ห้องพักของเราเนี่ยแหละ เดี๋ยวขึ้นไป แค่นี้แหละ”
นิรมลได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบหันมาทันที
“พี่ไปทำงานต่อเถอะค่ะ นิวเจอของแล้ว”
นิรมลพูด หยิบสายชาร์จแบตเตอรี่ขึ้นมาแล้วเดินออกไป ทำทีว่าไม่สนใจอะไรอีก แม่บ้านคนนั้นรีบวิ่งออกไปทันทีโดยไม่ได้สนใจจะปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ของแก้วตา
นิรมลเดินถอยกลับมา เธอเดินมาดูของในล็อกเกอร์แก้วตาอีกครั้ง เจอสร้อยพระและเงินตามที่แก้วตาบอก หญิงสาวรีบเก็บใส่กระเป๋าไว้
หลังจากที่ได้ของตามต้องการ นิรมลตั้งใจว่าเย็นนี้เธอจะนำไปให้สามีและลูกของแก้วตาที่วัด แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เมื่อหัวหน้างานของเธอสั่งให้ไปพบลูกค้าวีไอพีภายในวันนี้ ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะขอต่อรองก็ตาม
“นิวขอไปพบลูกค้าวันพรุ่งนี้แทนได้ไหมคะ”
“ไม่ได้หรอก ลูกค้าบอกว่าอยากให้เราไปเสนอสินค้าภายในวันนี้ เขามีเวลาให้เราถึงบ่ายสามโมงนะคุณนิว ผมถามหน่อยเถอะว่าทำไมคุณถึงจะไม่ไปล่ะ ตอนนี้คุณไม่มีงานด่วนนี่”
นิรมลอึกอัก หากตอบตามความจริงออกไปน่าจะโดนดุแน่นอน แต่ว่า...ถ้าไม่ลองพูดดูก็จะไม่รู้ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เธอคิดไว้
“คะ...คือ นิวตั้งใจว่าวันนี้จะไปวัด ไปงานของแก้วตาค่ะ วันนี้บริษัทเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมไม่ใช่เหรอคะ”
“งานมีตั้งทุ่มสองทุ่มโน่น คุณไปพบลูกค้ากลับมาก็ยังทันอยู่ดี อีกอย่างงานนี้ก็สำคัญกับบริษัทมากทีเดียว”
นิรมลไม่มีทางเลือก เธอจำใจเตรียมเอกสารและสิ่งของเพื่อไปพบลูกค้าวีไอพีที่อยู่ค่อนข้างไกลจากบริษัทตามที่หัวหน้าสั่ง
หญิงสาวไปนำเสนองาน โชคดีที่ลูกค้าซื้อสินค้าชุดใหญ่ และซื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้เธอต้องสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพราะวันนี้เธอนำสินค้ามาไม่พอกับที่ลูกค้าต้องการ
“นิวขอเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้าไว้ก่อนก็แล้วกันค่ะ วันนี้สินค้ามีไม่พอ นิวขอเวลาสักห้าวันนะคะ”
“ได้สิครับ ยังไงคุณนิวติดต่อผ่านเลขาฯ ของผมได้เลยนะครับ”
กว่านิรมลจะออกมาจากบริษัทของลูกค้าได้ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว หญิงสาวดูนาฬิกาข้อมือ บ่นพึมพำกับตัวเอง
“นี่ฉันจะไปวัดทันไหมเนี่ย”
แต่ดูเหมือนว่าเย็นนั้นการจราจรบนท้องถนนจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย รถยนต์ติดหนักแทบไม่ขยับเขยื้อน กว่าหญิงสาวจะถึงคอนโดฯ ตัวเองก็ล่วงไปจนเวลาสามทุ่ม เธอได้แต่ดูรูปงานศพของแก้วตาที่เพื่อนร่วมงานถ่ายรูปเอาไว้ นึกเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วยอย่างที่ตั้งใจ
“วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
............................................
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลทำงานจนถึงเวลาพักเที่ยง หญิงสาวชวนเอกภพออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอกแถวบริษัท เพื่อที่จะได้รีบไปรีบกลับ ในระหว่างที่นั่งรออาหาร เธอก็เอ่ยถามเอกภพเรื่องไปงานศพของแก้วตา เขาก็ไม่ได้ไปงานนี้เช่นกัน
“จิ๋วมีอะไรหรือเปล่า?”
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว จิ๋วจะชวนไปฝ่ายบุคคลด้วยกันหน่อยนะ”
นิรมลชวนเขา เอกภพคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
“ไปทำไมล่ะ จิ๋วมีเรื่องอะไรที่ต้องติดต่อฝ่ายบุคคล”
นิรมลไม่ตอบ ได้แต่ถอนหายใจ เธอเงยหน้ามองเอกภพแล้วตัดสินใจพูดเลี่ยงๆ ไม่บอกเขาตรงๆ ว่าเธอเจออะไรมาบ้าง
“คือ...จิ๋วอยากจะไปบ้านของแก้วตาน่ะ เมื่อวานตั้งใจจะไปงานศพ แต่กลับมาไม่ทัน คือ...เธอฝากของไว้ให้เอาไปให้สามีและลูก”
เอกภพมองหน้านิรมล ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด แต่สีหน้าของเขาแสดงความแปลกใจมากกว่าว่าหญิงสาวจะเอาของอะไรไปให้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่พยักหน้าให้
“กินเสร็จพอดี ไปกันเถอะจิ๋ว เดี๋ยวจะเข้างานสาย”
เอกภพพูด แล้วลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่าอาหาร ก่อนเดินนำหน้าเธอเพื่อกลับเข้าบริษัท นิรมลรีบลุกขึ้นตามไป เอกภพเดินพาเธอมาจนถึงห้องที่อยู่ชั้นหนึ่ง ด้านหน้ามีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ฝ่ายบุคคล’
“มีอะไรหรือเปล่าน้องนิว วันนี้ลงมาถึงห้องนี้ได้”
นิรมลยิ้มให้กับทุกคนในห้อง ตามปกติเธอไม่ได้ลงมาห้องนี้บ่อยนัก หากวันไหนเธอเดินลงมา นั่นแสดงว่าวันนี้ต้องมีอะไรบางอย่าง
“นิวแค่อยากจะมาขอที่อยู่ของแก้วตาค่ะ บังเอิญว่าก่อนที่แก้วตาจะเสียชีวิต เธอฝากของไว้กับนิว ก็เลยจะเอาของไปคืนให้สามีกับลูกของเธอค่ะ”
............................................
ในระหว่างที่นิรมลอยู่ในห้องนั้น เอกภพที่ยืนรออยู่หน้าห้องก็มองว่าเธอจะทำอย่างไร เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องนั้นเพราะประตูห้องเป็นกระจกใส มองเห็นได้ว่าใครทำอะไร
“อ้าว...หนึ่ง มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ไม่ไปทำงานหรือไง”
เอกภพหันไปมอง ชมพูนุทนั่นเองที่ทักทายเขา
“มายืนรอเป็นเพื่อนนิวน่ะ เข้าไปติดต่อฝ่ายบุคคลอยู่ตรงนั้น”
เขาพูดพร้อมชี้ให้ชมพูนุทดู เธอเห็นนิรมลยืนจดอะไรบางอย่างอยู่ที่แฟ้ม กำลังจะถามเอกภพต่อ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนสะกิดไหล่
“ชมพู หัวหน้าเรียกเข้าห้องทำงานแล้ว เดี๋ยวตอนบ่ายมีประชุมนะ”
ชมพูนุทหันหน้าไปมอง เพื่อนคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ นั่นเอง เธอพยักหน้าให้ พูดเบาๆ เพียงแค่ว่า
“เดี๋ยวฉันตามไป”
“ชมพูไปทำงานเถอะ เดี๋ยวนิวออกมาแล้วหนึ่งก็จะไปทำงานเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นชมพูไปทำงานก่อนก็แล้วกัน”
ชมพูนุทเดินจากไป พอดีกับที่นิรมลเดินยิ้มออกมาจากห้องฝ่ายบุคคล เธอมองหน้าเอกภพ และมองตามหลังชมพูนุทที่เดินหายเข้าห้องประชาสัมพันธ์ที่อยู่ติดกัน
“อ้าว! ชมพูรีบไปไหนล่ะหนึ่ง นี่ยังไม่ถึงเวลาเข้าทำงานเลยนี่นา”
“ได้ยินว่าตอนบ่ายมีประชุมน่ะ ก็เลยต้องรีบเข้าห้องไปก่อน แล้วได้มาไหม ที่อยู่ของแก้วตาน่ะ”
นิรมลยิ้มให้ และชูกระดาษขึ้นให้เอกภพเห็นชัดเจน
“นี่ไง โชคดีนะที่เขาเปิดแฟ้มของแก้วตาอยู่พอดี นิวเห็นก็เลยขอจดที่อยู่ไว้ก่อน เสียดายที่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์”
เอกภพพยักหน้า ยิ้มให้นิรมลด้วยความดีใจตามไปด้วย
“ดีแล้วละนิว ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นไปทำงานกันเถอะ จวนจะบ่ายโมงแล้ว”
เอกภพพูดแล้วเดินไปที่ลิฟต์ เขากดเพื่อขึ้นไปชั้นสามซึ่งเป็นห้องทำงานของนิรมล เมื่อทั้งสองคนก้าวเข้าไปในลิฟต์ และอยู่กันตามลำพัง เขาก็ถามหญิงสาวอีกครั้ง
“จิ๋วจะเอาของอะไรไปให้เหรอ ถ้าจิ๋วไปจริงๆ บีจะไปเป็นเพื่อนนะ บีเป็นห่วงไม่อยากให้ไปคนเดียว”
นิรมลยิ้มให้ แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไรออกมา ประตูลิฟต์ก็เปิดออก
ติ๊ง!
“งั้นนิวไปก่อนนะ ขอบใจที่มาส่งนะหนึ่ง”
“อ้าว! นิว”
เอกภพตะโกนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างเล็กบางนั้น เธอกลับเดินเข้าไปในห้องกระจกเพื่อทำงานต่อ เขาได้แต่ยืนมอง ถอนหายใจยาว พูดพึมพำอยู่คนเดียว
“ช่างเถอะ เดี๋ยววันเสาร์ค่อยคุยกัน”
เช้าวันเสาร์ นิรมลลุกขึ้นมาใส่บาตรตั้งแต่เช้า ตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงพิษณุ วิญญาณที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่นิวไม่รู้ว่าที่ตามสืบอยู่จะมาถูกทางหรือเปล่า แต่จะพยายามค้นหาความจริงให้ได้โดยเร็วที่สุดนะคะหลังจากใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย นิรมลเดินกลับขึ้นมาข้างบนห้อง พบว่าห้องเงียบราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ หญิงสาวจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนของนรีนันท์ และเมื่อบิดลูกบิดประตูก็พบว่าไม่ได้ล็อก เธอจึงเปิดเข้าไป เจอน้องสาวยังคงนอนอยู่บนเตียง“นัท ตื่นเถอะ จะได้กลับบ้านนครปฐมกัน”นรีนันท์ขยับตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ อยากจะนอนหลับต่อเพราะเมื่อคืนเธอเอางานกลับมานั่งทำต่อจนดึกดื่น จึงได้แต่พลิกตัวหนีพี่สาว หันไปอีกทางด้วยความง่วง“อ้าว...นัทลุกขึ้นสิ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”“นัทไม่ไปไม่ได้เหรอ นัทง่วง...พี่นิวกลับไปคนเดียวเถอะ”“นัท...นัท”นิรมลเขย่าตัวอีกครั้ง แล้วก็หยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอเดินออกมาเข้าห้องน้ำก็ยังเห็นน้องสาวนั่งทำงานอยู่ด้านนอก หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ เดินออกมาด้านนอ
หลังจากวางสายนิรมลไปแล้ว นรีนันท์ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ หญิงสาวมองรถและผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมานั่งรออยู่ตรงนี้เสียเวลาเปล่า ลองเข้าไปในซอยดีกว่านรีนันท์เดินเข้ามาในซอยสิบหก เธอมองซ้ายมองขวาเพราะไม่รู้เส้นทาง และคอยมองหาว่าร้านอาหารที่ชมพูนุทไปอยู่ตรงไหน หญิงสาวเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบสุดซอยทีเดียวจึงได้พบกับสถานที่ตามต้องการ“ร้านหรูเหมือนกันนะเนี่ย”นรีนันท์พูดกับตัวเอง เธอมองเข้าไปในร้านเห็นมีลูกค้าอยู่เพียงสองสามโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็มีชมพูนุทนั่งอยู่ด้วย เธอนั่งหันหน้าออกมาข้างนอก เพื่อนร่วมโต๊ะของชมพูนุทเป็นผู้ชาย น่าจะอายุมากแล้ว แต่เธอเห็นหน้าไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอก“เชิญด้านในได้เลยนะคะ ในร้านมีที่นั่งว่างอยู่ค่ะ”พนักงานของร้านออกมาต้อนรับนรีนันท์ หญิงสาวเห็นเป็นโอกาสจึงรีบบอกพนักงาน“ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ แล้วก็จะขอสั่งอาหารกลับบ้านค่ะ”“ได้ค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลัง เชิญทางนี้ได้เลยค่ะ”พนักงานเตรียมเปิดประตูร้านให้นร
นับตั้งแต่วันนั้น ทั้งนรีนันท์และชมพูนุทก็เป็นเหมือนคู่หูกัน ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็ตาม จะต้องเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเสมอ จนรู้กันไปทั่วทั้งบริษัทว่าชมพูนุทมีเพื่อนคู่หูทำงานคนใหม่ ทั้งที่จากเดิมก่อนหน้านี้ หญิงสาวมักจะทำงานอยู่คนเดียวเสมอ จนนิรมลต้องถามเพื่อน“คนอื่นทำงานไม่ถูกใจน่ะสิ ไม่เหมือนนัท บอกอะไรก็รู้ใจฉันไปหมดทุกอย่าง ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะพูดเยอะ”จนกระทั่งวันหนึ่ง ชมพูนุทและนรีนันท์ออกมาพบลูกค้าข้างนอกบริษัท บังเอิญว่าสถานที่มาพบกับลูกค้านั้นอยู่ใกล้กับคอนโดฯ ของชมพูนุทนั่นเอง นรีนันท์จำได้เพราะเคยมากับชมพูนุทครั้งหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่เคยขึ้นไปข้างบนห้องและแล้ววันนี้เหมือนโชคเข้าข้างนรีนันท์ ชมพูนุทลืมของไว้ที่คอนโดฯ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องแวะก่อนที่จะมาพบลูกค้า“พี่ขอแวะเอาสายชาร์จโทรศัพท์ก่อนนะ”นรีนันท์มองตาม อยู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบชิงพูดก่อนที่ชมพูนุทจะปิดประตูรถยนต์ขึ้นไปเสียก่อน“เอ่อ พี่ชมพูคะ นัทขอขึ้นไปข้างบนห้องด้วยได้ไหมคะ คือ...นัทปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ”ทีแรกชมพูนุทจะปฏิเสธ แต่นร
นิรมลออกมาด้านนอกห้อง เธอออกมายืนรอแม่ที่หายมาเข้าห้องน้ำเสียนาน หญิงสาวมายืนรอในห้องรับแขก แถวนั้นมีตู้โชว์อยู่เช่นกัน เธอหยิบรูปครอบครัวขึ้นมาดู รูปถ่ายนั้นถ่ายไว้ที่บ้านกรุงเทพฯ ของพิษณุ มีพ่อ แม่ ลูก และรูปคุณย่าที่นั่งอยู่ตรงกลาง“คุณป้าก็คงไม่มีความสุขใช่ไหมคะ สามีเจ้าชู้ขนาดนี้”นิรมลพูดพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นมีรูปถ่ายใบหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากกรอบรูป หญิงสาวหยิบมาดูด้วยความงุนงง แต่เมื่อเธอเห็นคนในรูปถ่ายใบนั้นกลับตกใจยิ่งกว่า“เอ๊ะ!”ในขณะที่นิรมลกำลังตกใจกับรูปถ่ายนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมา หญิงสาวหยิบรูปถ่ายนั้นเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำเป็นยืนมองรูปถ่ายตรงหน้า ปรากฏว่าเป็นแม่ของเธอเอง“อ้าว ทำไมออกมารอข้างนอกตรงนี้ล่ะนิว คุณย่าล่ะ”“คุณย่าได้เวลาเอนหลังแล้วค่ะ หนูเลยออกมารอแม่ตรงนี้”แม่เดินมาตรงจุดที่นิรมลยืนอยู่ มองว่าหญิงสาวยืนดูอะไร ก็เห็นเป็นรูปครอบครัวของพิษณุนั่นเอง จึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย“มายืนดูอะไรอยู่ตรงนี้ แม่ว่ากลับบ้านเถอะ ป่านนี้พ่อเขาคงใกล้กลับบ้านแล้ว”นิรมลและแม่กลับบ้า
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ทั้งนิรมลและนรีนันท์ออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งคู่กลับมาถึงบ้านจังหวัดนครปฐมใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง เมื่อมาถึงปรากฏว่าบ้านปิดเงียบ สองคนพี่น้องลงจากรถยนต์ นิรมลพูดพึมพำ“พ่อกับแม่ออกไปทำนาแล้วเหรอ”นรีนันท์เปิดกระเป๋าเป้เพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมาไขประตู ในระหว่างที่น้องสาวกำลังจะนำกุญแจมาไขประตูอยู่ ประตูกลับเปิดออกจนหญิงสาวตกใจ“อ้าว! แม่ สวัสดีค่ะ”นิรมลและนรีนันท์ร้องอุทานและยกมือไหว้ แม่ผู้ที่เปิดประตูออกมาเจอลูกสาวทั้งสองคนก็ตกใจเช่นเดียวกัน“ตกใจหมดเลย แม่ก็ว่าได้ยินเสียงรถยนต์เลยเปิดมาดูนี่แหละ”ทั้งนิรมลและนรีนันท์หยิบกระเป๋าเข้าบ้าน นรีนันท์กอดแม่ด้วยความดีใจและคิดถึง จนแม่ต้องร้องห้ามไม่อยากให้กอด“แม่กำลังจัดของในห้องเก็บของอยู่น่ะ เหงื่อออกเหนียวตัวไปหมด”“แล้วพ่อล่ะคะ ออกไปทำนาแล้วเหรอ”ในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ พ่อของเธอก็เดินลงมาจากชั้นสอง แต่งตัวพร้อมที่จะออกไปทำนาแล้ว เมื่อเขาเห็นลูกสาวทั้งสองคนก็ร้องทักทายด้วยความดีใจ“กลับมาบ้านกันแล้วเหรอลูก”ทั้งสองคนวิ
นิรมลและนรีนันท์มาถึงที่บริษัทตั้งแต่เช้า พร้อมๆ กับข้อความของเอกภพที่ทักมาถาม เพราะคิดว่าหญิงสาวยังอยู่ที่คอนโดฯ‘เดี๋ยวบีซื้อโจ๊กไปฝากจิ๋วกับนัทนะ ตอนนี้บีซื้อโจ๊กแล้ว กำลังไปที่คอนโดฯ นะ’‘ตอนนี้จิ๋วมาที่ทำงานแล้วละ บีมาที่บริษัทเลย’เวลาผ่านไปเพียงสิบห้านาที เอกภพมาถึงที่บริษัท เขารีบเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของนิรมล มีนรีนันท์นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่แถวนั้น“นิวหายดีแล้วเหรอถึงได้มาทำงานได้เนี่ย”นิรมลยิ้มให้กับเอกภพ เขาเดินมาดูหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง แต่วันนี้เธอดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนทีเดียว หน้าตาของเธอดูสดชื่นขึ้น น่าจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว“พี่หนึ่งซื้ออะไรมาเยอะแยะเต็มไปหมด”นรีนันท์เดินมาดูเอกภพที่หิ้วถุงอาหารมาหลายถุง เขายกถุงอาหารขึ้นมาให้นรีนันท์เห็นอย่างชัดเจนพลางยิ้มให้“นิวกับนัทกินข้าวหรือยัง หนึ่งเดาว่าน่าจะยังไม่ได้กินแน่เลย ตู้เย็นที่คอนโดฯ ของนิวไม่มีอาหารนี่นา”นิรมลส่ายหน้าแทนคำตอบ เอกภพจึงพูดชวนทั้งสองคนไปรับประทานอาหารเช้าก่อนที่จะเริ่มงาน ทีแรกหญิงสาวลังเล หันมองงานบนโต๊ะที่วางกองเ