LOGIN
“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้รถไฟขบวน 850 ต้นทางกรุงเทพฯ ปลายทางเชียงใหม่…”
เสียงประกาศจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ดังก้องไปทั่วทั้งสถานี ซึ่งฉันเองก็นั่งอยู่บนรถไฟขบวนนี้และเป็นโซนตู้นอนชั้น1 โดยมีลักษณะเป็นห้องมีประตูปิดมิดชิด รวมถึงมีเตียงนอนสำหรับไว้พักผ่อนด้วย อาจเพราะเส้นทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไปต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย และการเลือกรถไฟตู้นอนแบบนี้ก็ถือว่าสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ของฉันด้วย
“หนูอลิซพอจะนอนได้ไหม” เสียงลุงดิเรกทนายประจำตระกูลเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ท่านพาฉันมาที่นี่
“นอนได้ สบายมากค่ะ” จริงๆ ฉันชอบมากเลย เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของฉันเลยที่ได้นั่งรถไฟแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นหนูพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรเคาะเรียกลุงที่ประตูตรงนั้นได้เลย” ลุงดิเรกพูดพร้อมกับชี้ไปที่ประตูที่เชื่อมระหว่างห้องของฉันกับห้องของลุง
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ
“งั้นก็พักเถอะ”
หลังจากชายวัยกลางคนเดินออกไปฉันก็ปิดประตูลงกลอน ก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงเล็กเงียบๆ
ถ้าถามว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง ก็บอกได้คำเดียวว่าตั้งตัวไม่ทัน ทุกอย่างมันกระทันหันรวดเร็วจนฉันยังงงอยู่เลยว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อวานฉันยังไปเป็นศักขีพยานการขอหมั้นระหว่างพี่ฌอนกับรักเพื่อนสนิทของตัวเองที่กระบี่อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับต้องขึ้นเหนืออย่างเร่งด่วน โดยที่เก็บเสื้อผ้ามาได้แค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ต้องทำอะไรปุ๊บปั๊บแบบนี้ นั่นก็เพราะหลานสาวของคุณแม่มันทนาซึ่งเป็นแม่บุญธรรมที่ล่วงลับไปแล้วของฉันปรากฏตัวขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน ได้มีสายเรียกเข้าปริศนาโทรเข้ามา พร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นหลานแท้ๆ ของคุณแม่ อยากจะพบและพูดคุยด้วย ซึ่งตอนแรกฉันไม่กล้าที่จะตอบรับ เพราะไม่แน่ใจว่าคนๆ นั้นจะเป็นหลานสาวของคุณแม่จริงๆ หรือเปล่า แต่เพราะคำพูดบางอย่างของคนปลายสายทำให้ฉันตัดสินใจไปพบกับเธอ และเพื่อความปลอดภัยฉันเลยได้เสนอสถานที่ที่เป็นร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง รวมถึงได้ขอให้ลุงดิเรกไปกับฉันด้วย ซึ่งปลายสายก็ตอบตกลงไม่ได้อิดออดหรือต่อลองอะไรแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเราสามคนได้เจอกัน ผู้หญิงตรงหน้าได้แนะนำตัวด้วยท่าทีที่สดใสและเป็นมิตร พร้อมกับเอาหลักฐานยืนยันตัวเอง ทั้งรูปถ่ายสมัยเด็กที่ได้ถ่ายคู่กับผู้เป็นแม่ของเธอ ซึ่งก็คือน้องสาวของคุณแม่บุญธรรมของฉันนั่นเอง
โดยเรื่องนี้ลุงดิเรกก็ยืนยันว่าคนในรูปคือคุณมนสิชา น้องสาวแท้ๆ ของแม่มัทนาจริงๆ แต่การยืนยันตัวเองเพียงแค่รูปถ่ายไม่เพียงพอสำหรับทนายที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง จำเป็นต้องละเอียดรอบคอบโดยการตรวจดีเอ็นเอเพื่อความชัดเจนที่สุด
แล้วในที่สุดผลตรวจก็ออกมาว่าผู้หญิงตรงหน้าคือหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่จริงๆ
หลังจากพิสูจน์ตัวตนแล้ว สิ่งที่ฉันจะต้องทำเป็นอย่างต่อไปก็คือ การโอนทรัพย์สินให้กับหลานสาวตัวจริง
แต่ทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมถึง100ล้านบาท การจะโอนให้กับผู้ใดจำเป็นต้องใช้เวลาและการดำเนินค่อนข้างนาน ซึ่งฉันก็ได้มอบหมายให้ลุงดิเรกจัดการเรื่องนี้
แต่อยู่ๆ ระหว่างนั้นท่านก็โทรหาฉัน นั่นก็คือตอนที่ฉันอยู่ที่กระบี่ ท่านดูร้อนใจมากตอนที่ติดต่อมา
“หนูอลิซ หนูต้องรีบมาหาลุงให้เร็วที่สุดเลยนะ ลุงว่าหนูกำลังไม่ปลอดภัย”
ตอนที่ได้ยินประโยคนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เพราะน้ำเสียงที่ดูร้อนใจและเป็นกังวลอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันเลยตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไฟท์ที่เร็วที่สุดเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ ทันที
หลังจากที่มาถึงสนามบินในช่วงเช้าฉันก็เห็นลุงดิเรกมารอรับอยู่แล้ว และระหว่างที่เรากำลังตรงไปที่คอนโดของฉัน ท่านก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง
คุณน้ามนสิชาได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย โดยการส่งเสียของคุณแม่มันทนา ซึ่งท่านคาดหวังกับน้องสาวคนนี้มาก แต่สุดท้ายคุณน้าก็พลาดท้องกับแฟนหนุ่มที่มีอายุมากกว่าถึง20ปี สุดท้ายน้ามนสิชาก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อและสร้างครอบครัวกับสามีที่นั่น แม้ว่าคุณแม่บุญธรรมจะไม่พอใจที่น้องสาวตัดสินใจแบบนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
จนกระทั่งคุณน้าได้คลอดลูกออกมา คุณแม่ก็ตัดสินใจบินไปดูหลานสาวคนแรก พร้อมกับให้เงินก้อนหนึ่งไว้ใช้จ่าย ก่อนจะบินกลับประเทศไทย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อคุณน้ากับครอบครัวได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็ยังคงให้คนตามหาจนมารู้ว่าพวกเขาต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ก็เพราะงานของผู้เป็นสามีของน้ามนสิชานั่นเอง แล้วในที่สุดทั้งคู่ก็ขาดการติดต่อกันไปเลย
หลังจาก30ปีผ่านไป คุณแม่ก็มาทราบข่าวการเสียชีวิตของน้ามนสิชา แต่มารู้ก็หลังจากที่น้าเสียไปแล้ว5ปี แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าหลานสาวคนเดียวนามว่า เจนีน นั้นอยู่ที่ไหน แม้จะทำทุกอย่างแล้วเพื่อตามหาแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งคุณแม่มาเกิดอุบัติเสียชีวิต ทำให้การหาตัวหลานสาวหยุดลงเพียงเท่านั้น
พอคุณแม่เสียชีวิตไปได้สองปีเจนีนก็ปรากฏขึ้น ซึ่งการมาของเจนีนในครั้งนี้ ทำให้ลุงดิเรกจับตาดูเป็นพิเศษ จนในสุดลุงก็เจอสิ่งที่น่าสงสัย แม้ว่าจะต้องใช้เวลาร่วมเดือนเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
ถึงเจนีนจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่ แต่ด้วยประวัติการใช้ชีวิตของเธอนั้นล้วนแล้วแต่บ่งชี้ว่าเธอไม่ธรรมดา ทั้งการที่เธอแต่งงานตั้งแต่อายุ20ปี หลังจากแต่งได้เพียงหนึ่งปีสามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต ทำให้สมบัติของเขาตกเป็นของเจนีนเพียงผู้เดียว หลังจากที่สามีเสียชีวิตไปเพียงแค่6เดือน เธอก็หมั้นหมายกับนายทหารเกษียนซึ่งมีอายุห่างกันถึง30ปี ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน นายทหารคนนี้ก็มาเสียชีวิตจากโรคหัวใจซึ่งเป็นโรคประจำตัวของเขา และเจนีนคือคนที่ได้เงินประกันชีวิตของนายทหารคนนี้ ซึ่งประกันฉบับนี้ทำขึ้นหลังจากที่พวกเขาหมั้นหมายกัน
ฉันฟังมาถึงตรงนี้ก็เริ่มเอะใจตามลุงดิเรกเหมือนกัน ก่อนที่ลุงดิเรกจะมาเล่าเรื่องที่ทำให้ลุงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
หลังจากนั้นเจนีนก็หายไป จนสองปีผ่านไปก็มารู้ว่าเธอได้แต่งงานใหม่กับหนุ่มอเมริกันเชื้อสายจีน และไปอยู่ที่ฮ่องกงด้วยกัน โดยที่พวกเขาอยู่ในย่านของคนรวย ซึ่งมีทั้งนักธุรกิจและดาราชื่อดัง
สามีของเจนีนเป็นนักบัญชี ซึ่งเขามักถูกจ้างให้ดูแลและจัดทำบัญชีให้กับนักธุรกิจในย่านนั้น และมักจะได้ค่าจ้างที่สูงจนน่าตกใจ พวกเขาทำแบบนี้อยู่หลายปีก่อนที่ทุกอย่างจะเปิดเผย เมื่อตำรวจได้ออกหมายจับเขารวมถึงนักธุรกิจเหล่านั้นในข้อหายักยอกทรัพย์ รวมถึงปลอมแปลงเอกสารเพื่อเลี่ยงภาษี ทั้งคู่หลบหนีออกนอกประเทศโดยใช้ช่องทางธรรมชาติเพื่อเข้าประเทศไทย และตอนนี้หมายจับของพวกเขาก็ถูกส่งต่อไปทั่วโลกแล้ว อีกอย่างตลอดหลายปีเจนีนเปลี่ยนชื่อของตัวเองมาถึงสิบชื่อเพื่อหลบเลี่ยงการถูกจับ
ได้ยินมาถึงตรงนี้คงคิดว่าพีคแล้ว แต่ไม่ใช่เลยเพราะเหตุการณ์ที่พีคที่สุดก็คือคืนที่ลุงดิเรกโทรหาฉันต่างหาก…
คืนนั้นคุณลุงกำลังนั่งรวบรวมข้อมูลของเจนีนอยู่ที่บริษัท เพื่อจะส่งต่อให้กับตำรวจ หลังจากนั้นก็ได้ขับรถกลับบ้าน คงเพราะดึกมากแล้วทำให้บนถนนมีรถสัญจรน้อย แต่จะมีรถอยู่คันหนึ่งที่ลุงดิเรกจำเลขทะเบียนได้ว่านั่นเป็นรถที่เจนีนนั่งมาพบพวกเราที่ร้านอาหาร รถคันนั้นขับตามหลังมา ก่อนจะเร่งเครื่องตีคู่ขึ้นมากับรถของลุงดิเรก หลังจากนั้นเสียงปังก็ดังตามมาติดๆ หลายครั้ง ลุงดิเรกตั้งสติได้ก็รีบเร่งเครื่องหนี และดูเหมือนว่าลุงจะยังมีโชคอยู่ ถึงได้มองเห็นว่ามีด่านของตำรวจตั้งอยู่ ทำให้พวกนั้นที่ตามหลังมาถึงกับเบรกกระทันหันจนล้อบดไปกับถนนเสียงดังลั่น แต่ลุงดิเรกไม่คิดสนใจอะไรอีก รีบเหยียบคันเร่งจนถึงด่านและขอความช่วยเหลือจากตำรวจทันที แล้วหลังจากนั้นท่านก็โทรหาฉันนั่นแหละ…
“อลิซยืนทำอะไรอยู่ มานี่เร็ว” เสียงทุ้มนุ่มของแฟนหนุ่มร้องเรียกดังมาจากด้านหลังของฉัน ทำให้ฉันยิ่งกระวนกระวายหนักกว่าเดิม “ค่ะๆ” ฉันหันไปมอง ก่อนจะพยักหน้าเดินตรงไปหาพี่ร็อคที่กำลังถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ “เป็นอะไรไป…กังวลเหรอ” พี่ร็อคถามและมองฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ก็นิดหน่อยค่ะ” ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่ในใจฉันมันร้องตะโกนว่ากังวลมากและตื่นเต้นมาก จนหัวใจฉันมันแทบจะหลุดออกมาด้านนอกแล้ว “ไม่ต้องกังวลนะ พวกท่านไม่ดุหรอก” วงแขนหนักโอบประคองฉันเอาไว้ และยิ้มให้กำลังใจอย่างอบอุ่น “โอเคค่ะ! งั้นเราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะเดินเคียงคู่ไปกับพี่ร็อคเพื่อไปเจอครอบครัวของเขา วันนี้เป็นวันรวมญาติของครอบครัวพี่ร็อค เขาก็เลยใช้โอกาสนี้ในการพาฉันมาแนะนำให้กับญาติๆ ของเขา ทำให้เมื่อคืนฉันถึงกับนอนไม่หลับ พยายามคิดคำพูดต่างๆ นาๆ เพื่อจะใช้พูดคุยกับพวกเขา ฉันกังวลว่าพวกเขาจะมองว่าฉันน่าเบื่อหรือเข้าถึงยาก เพราะส่วนตัวฉันก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร กลัวว่าตัวเองจะไปทำลายบรรยากาศแห่งความสุขของพวกเขา “ยิ้มหน่อยสิครับ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พี่อย
“ช่วยอมให้พี่หน่อยครับ” ผมอยากให้ปากอุ่นๆ ของอลิซครอบครองเจ้าน้องชายไซส์ใหญ่ของผมจนแทบทนไม่ไหวแล้ว “แค่…อมเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม พร้อมกับท่าทางที่ดูใสซื่อ แต่มันช่างดูเย้ายวนเหลือเกินในความรู้สึกของผม“เธอก็รู้ว่ามันจะไม่ใช่แค่อม” ผมตอบกลับและใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไปที่ปากเล็กที่เลอะเทอะอย่างเบามือ ก่อนที่ผมจะจับท้ายทอยของอลิซแน่น“...อ้าปาก” ถึงอลิซจะดูมึนๆ แต่เธอก็ยอมทำตามที่ผมสั่ง และเพียงแค่ปากของเธออ้าออก ผมก็รีบกดหัวของอลิซลงแล้วส่งแก่นกายที่แข็งตั้งเข้าไปในโพรงปากอุ่นร้อนของเธอทันที“อุก!” อลิซอึกอักพลางช้อนสายตาขึ้นมองผมด้วยความตกใจ“ซี้ดดด” ผมได้แต่ยิ้มพอใจ ผมไม่รีรอกระแทกแก่นกายเข้าใส่ปากเล็กอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมดันความแข็งตั้งลึกเข้าไปถึงคอหอย และแทงเข้าใส่ไม่มีเว้นวรรคจนทำให้อลิซหายใจลำบาก เธอกำลังส่งสัญญาณความทรมานผ่านเสียงและการทุบตีผมอย่างบ้าคลั่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมปล่อยเธอเป็นอิสระ เพราะอลิซรู้ดีว่าเซ็กส์ของผมมันไม่เคยที่จะนุ่มนวลเลยแม้แต่ครั้งเดียว“ปากเล็กๆ นี่ ทำไมถึงทำให้พี่มีความสุขได้ขนาดนี้นะ” ผมครวญครางและสวนสะโพกเข้าใส่ปากของคนตัวเล็กไม่มีหยุดพัก“อึก! อ๊
ผมตั้งตารอรางวัลจากอลิซด้วยใจจดจ่อ แม้ว่าคืนนี้จะบอกว่าตัวเองต้องการฉลองการเป็นแฟนกันวันแรก จากที่ตั้งใจจะสนุกให้สุดเหวี่ยง กินเหล้าเมาให้หัวทิ่ม แต่เมื่อนึกถึงรางวัลที่จะได้รับ ผมเลยต้องปรับแผนการใหม่ โดยการดื่มให้น้อยเพื่อที่ตัวเองจะได้มีสติและเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความเร่าร้อนของคืนนี้ให้ได้มากที่สุด“เฮ้ยไอ้ร็อค มึงเป็นคนชวนพวกกูมาฉลอง แล้วทำไมมึงแทบไม่แตะเหล้าเลยวะ” ไอ้เอที่กำลังกรึ่มได้ที่ตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลง“ก็กูจะเก็บแรงไว้ฉลองกับอลิซแค่สองคนไง” พูดจบผมก็กระดกเหล้าเข้าปาก พลางชำเลืองมองคนข้างๆ ที่มองผมมาด้วยสายตางุนงง“อย่างนี้นี่เอง” ไอ้เอยิ้มกรุ่มกริ่ม ก่อนจะหันไปหาแฟนสาวหน้าเหวี่ยงของตัวเอง“...คืนนี้เรามาฉลองกันสองคนด้วยดีไหมไลลา” “ในหัวเราะมีแต่เรื่องลามกสินะ ไอ้ผู้ชายพวกนี้” ไลลาสวนกลับหน้าเหวี่ยง“อะไรนี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะฉลองแบบไหน ก็ว่าคนอื่นลามกซะแล้ว เธอนั่นแหละลามกคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่” ตอนนี้เข้าทางไอ้เอได้เอาคืนเมียมันบ้างแล้ว“ก็ผู้ชายอย่างพวกนายไม่เคยคิดเรื่องอื่นอยู่แล้ว จะโกรธ จะโมโห จะดีใจ ก็จบลงที่เรื่องนั้นตลอด” “เอาจริงๆ ยัยแม่มดนี่ก็พูดถูกนะ
(Rocco’s talk) ผมนั่งมองสามสาวที่กำลังกอดกันร้องไห้หลังจากที่ได้ขอโทษขอโพยกันในเรื่องที่ผ่านมา การที่ชะเอมกับขิมร้องไห้เพราะเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำผมก็พอเข้าใจได้ แต่อลิซนี่สิ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแท้ๆ แต่เธอกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นและยังขอโทษสองสาวอีกด้วยที่ทำให้ทั้งสองต้องกังวลใจในเรื่องนี้ ผมได้แต่นั่งมองการกระทำของผู้หญิงคนนี้ แล้วก็อดที่จะยิ้มภูมิใจกับความจิตใจดีขี้สงสารของเธอไม่ได้ จะมีผู้หญิงแบบนี้ที่ไหนอีกที่ร้องไห้ขอโทษคนที่ทำผิดกับตัวเอง ผมคิดว่าผู้หญิงแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว “สามสาวครับ ร้องไห้กันพอแล้วก็กลับบ้านกันได้แล้วครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเรานั่งอยู่ในห้องอาหารนี้มาเกือบจะสามชั่วโมงแล้ว แล้วทั้งสามสาวก็ร้องไห้กันมาร่วมชั่วโมงแล้ว คงจะเหนื่อยกันไม่น้อยแล้ว “ขอโทษนะคะพี่ร็อค ที่ต้องให้มานั่งฟังพวกเราร้องไห้” ชะเอมที่เช็ดน้ำตาออกจากหน้าหันมายิ้มเจื่อนให้ผม “ไม่เป็นไรครับ เพราะเรื่องนี้พี่ก็มีส่วนผิดด้วย” ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอก ผมแค่เป็นห่วงกลัวว่าอลิซจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น พี่อลิซยกโทษให้พี่ร็อคแล้วใช่ไหมคะ” ขิมที่ตาบวมแดงรีบหั
“อลิซ…แต่งงานกันเถอะ!” “เฮ้อ…” ฉันไม่ได้ตกใจอะไรเลยที่ได้ยินพี่ร็อคพูดแบบนี้ เพราะฉันชินกับความปุบปับใจร้อนของเขาแล้ว และอีกอย่างพี่ร็อคก็เคยพูดอะไรในทำนองนี้เหมือนกัน “ถอนหายใจทำไม นี่พี่ขอเราแต่งงานอยู่นะ” ร็อคหันมาเอาเรื่อง แต่ท่าทางกลับตรงกันข้าม เพราะเขายังกอดเอวฉันเอาไว้อย่างทะนุถนอม“เรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันเลย แล้วจะมาแต่งงานเนี่ยนะ” ฉันถามพร้อมกับส่ายหัว“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เราข้ามขั้นไปเป็นสามีภรรยากันเลยทีเดียว จะได้ไม่สิ้นเปลืองเวลาด้วย” เขาเริ่มพูดจาเพ้อฝันเอาแต่ใจอีกแล้ว “แต่ฉันไม่อยากแต่งงาน อีกอย่างเรายังเด็กกันอยู่เลย” “ไม่เห็นจะเด็กเลย พี่ก็เรียนปี4แล้ว แถมตอนนี้ก็มีธุระกิจของตัวเองแล้วด้วย พี่ดูแลอลิซได้สบายมาก” พี่ร็อคพูดด้วยความภูมิใจ ซึ่งก็ไม่ต่างจากฉันที่ก็ภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน“เรื่องดูแล…ฉันเชื่อว่าพี่ดูแลฉันได้ แต่เราทั้งคู่ต้องใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่านี้ เรียนรู้นิสัยใจคอกันให้มากกว่านี้ เราจะใช้แค่คำว่ารักอย่างเดียวไม่ได้นะคะ” ตั้งแต่ที่เราทั้งคู่ตกลงที่จะให้โอกาสซึ่งกันและกัน ฉันก็เลือกที่จะพูดคุยและอธิบายทุกอย่างที่ฉันคิด เพื่อที่เราจะได้ทำความเข้าใ
จบเรื่องมรดก (เกือบ) สีเลือด ฉันก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่ที่แตกต่างจากเดิมก็คือฉันได้ขึ้นมหาลัยฯชั้นปีที่3แล้ว แถมยังมีหนุ่มหล่อสุดฮอตมาตามจีบอีกด้วย หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับร็อค ฉันก็เลือกที่จะเปิดใจให้เขาอีกครั้ง และอยากลองให้โอกาสตัวเองด้วย แล้วจนถึงตอนนี้ร็อคก็ยังคงพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักว่าที่เขารักฉันนั้นเป็นเรื่องจริง“วันนี้ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ที่พี่ทำกินได้แล้ว กลับห้องเราค่อยไปกินกันนะ” หลังจากที่รถสปอร์ตสุดหรูเคลื่อนมาจอดอยู่ที่หน้าคณะเรียนของฉัน คนขับสุดหล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเอาใจ“ได้ค่ะ อีกอย่างวันนี้พี่ก็ไม่ได้ไปทำงาน เราก็มากินด้วยกันนะคะ” ฉันยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงของโปรด แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินไอศกรีมฝีมือของเขา แต่ฉันมั่นใจว่ามันต้องอร่อยมากแน่ๆ“ได้ครับ…ไปเข้าเรียนเถอะ” ความอ่อนโยนที่ฉันเคยอยากได้จากเขา ตอนนี้ฉันกำลังได้รับมันแล้ว“ไปนะคะ” ฉันโบกมือและกำลังจะหันไปเปิดประตูรถ“เดี๋ยว! มาหอมกันก่อนสิ” พี่ร็อครีบทวงสิทธิ์ของตัวเอง เมื่อฉันแกล้งลืมว่าตัวเองต้องทำอะไร“ขอโทษค่ะ” พูดจบฉันก็หอมทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาของเขา แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มกว้างพอใจของ







