เธอเครียดจากเรื่องงานเธอจึงออกไปดื่มและได้เจอกับธันวา การเจอครั้งแรกก็คุยกันถูกคอและเมื่อบังเอิญเจออีกครั้งเธอเครียด เธอเมา เมื่อเขามาเสนอทำให้หายเครีดหญิงสาวก็ตกลงอย่างไม่ลังเล เธอกับเขาตกลงจะเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ แต่พระเจ้าก็เล่นตลกเมื่อได้เจอกันอีกครั้งและความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็ดีขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขานั้นคือเจ้านายของเธอ
View Moreกลิ่นกาแฟหอมฟุ้งไปทั่วโซนออกแบบภายในของ เอสดับบลิวโฮมส์ แต่ญาณิดาหรือดรีมมัณฑนากรสาววัย 25 ปี กลับไม่ได้รู้สึกสดชื่นไปกับกลิ่นที่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย เธอมองกระดาษแบบแปลนที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่ผิดหวังและคับข้องใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ดรีมแกยังไม่เลิกคิดเรื่องงานบ้านคุณธวัชอีกเหรอ” เสียงของวริษาหรือแยมเพื่อนซี้ตำแหน่งนักการตลาดเอ่ยขึ้นเมื่อเดินถือแก้วกาแฟเข้ามาแล้วเห็นเพื่อนเอาแต่นั่งเหม่อลอย
“จะไม่ให้คิดได้ยังไงล่ะแยม ก็มันเป็นผลงานของฉันแท้ๆ แต่พี่กรเขากลับบอกลูกค้าว่าเป็นงานของเขา” ญาณิดาบ่นด้วยความไม่พอใจก่อนจะรับกาแฟมาจิบ
“ฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ฉันเห็นแกทุ่มเทกับมันมากยิ่งกว่าโปรเจกต์ใหญ่ที่ผ่านมาอีกนะ” วริษา
“ฉันอดหลับอดนอนเป็นอาทิตย์ๆ เพื่อให้งานมันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ตั้งใจทำทุกรายละเอียด จนลูกค้าพอใจมากแต่สุดท้ายพี่กรกลับเคลมว่าเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย” ดวงตาของญาณิดาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด
“พี่กรก็เป็นแบบนี้มานานแล้วนี่นา ชอบเอาเปรียบคนอื่นแต่ที่แปลกคือคุณสมเกียรติเชื่อว่าเป็นผลงานของเขา”
“ก็คงเพราะเห็นว่าเขาทำงานมานานกว่าฉันอีกอย่างเขาก็พูดต่อหน้าลูกค้าแล้วฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ” เธอพูดแล้วถอนหายใจ
“แกว่าผันผิดปกติไหมที่จู่ๆ พี่กรเขาก็สนใจงานเล็กๆ นี่มันแค่บ้านพักตากอาอาศเองนะ” วริษาตั้งข้อสังเกต
“นี่มันเป็นงานเล็กก็จริงแต่ฉันได้ยินมาว่าคุณธวัชเขาแผนมีจะทำบ้านจัดสรรหรูและการตกแต่งภายในครั้งนั้นจะเป็นใบเบิกทาง ฉันแทบจะกระโดดตัวลอยตอนคุณธวัชบอกว่าชอบไอเดียการใช้แสงและวัสดุมาก แล้วพี่กรก็พูดว่า ขอบคุณครับคุณธวัช นี่คือไอเดียที่ผมคิดขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับบ้านของคุณเลยครับ”
“แบบนี้โคตรหน้าด้าน” วริษาสถบออกมาเบาๆ เพราะกลัวคนอื่นในแผนกจะได้ยิน
“ฉันเหมือนน้ำท่วมปากเลยแก”
“คุยอะไรกันเสียงดังเชียวสองสาว”
ญาณิดากับวริษาหันไปมองศิวกรหรือพี่กรรุ่นพี่มัณฑนากรวัย 27 ปีที่ญาณิดาเคยให้ความนับถือและสนิทสนมด้วยมากที่สุด ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า มือข้างหนึ่งถือแฟ้มงาน อีกข้างถือแก้วกาแฟเช่นกัน
วริษามองศิวกรด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ญาณิดาพยายามเก็บอาการ เธอไม่ต้องการให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม
“ไม่มีอะไรค่ะพี่กร แค่คุยเรื่องงานกันนิดหน่อย” ญาณิดาตอบเสียงเรียบ พยายามไม่สบตาอีกฝ่าย
“งานอะไรเหรอ หรือว่างานบ้านคุณธวัช”
“ใช่ค่ะ เรื่องที่พี่กรบอกว่ามันเป็นผลงานของพี่” ญาณิดาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ดูอ่อนลง
“ก็ปกติดรีมเป็นลูกน้องที่อยู่ในความดูแลของพี่ไง” ศิวกรหัวเราะเบาๆ
“แต่งานนี้ดรีมทำเองทั้งหมดนะคะ”
“แล้วถ้าเราบอกลูกค้าไปว่างานที่นำไปเสนอเป็นของมัณฑนากรที่เพิ่งทำงานมาไม่ถึงสองปีดรีมคิดว่าลูกจะค้าจะยังไว้ใจเราไหมล่ะ งานแบบนี้ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญนะ” ศิวกรอธิบาย
“แต่มันไม่ยุติธรรมเลย”
“เอาน่าดรีมอย่าคิดมากเลย ถ้าเราได้งานโครงการบ้านจัดสรรของคุณธวัชพี่จะบอกผู้จัดการให้เพิ่มโบนัสให้ตกลงไหมล่ะ”
“แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะคะพี่กร” วริษาท้วงขึ้น
“เรื่องบางอย่างมันก็ไม่ต้องการความถูกต้องหรอกนะ บางครั้งความถูกใจก็ต้องมาก่อน”
“แยมไม่คิดเลยว่ารุ่นพี่ที่ดูน่าเคารพจะทำแบบนี้ เราก็เห็นกันอยู่ว่ายัยดรีมตั้งใจทำงานนี้มากแค่ไหนแต่สุดท้ายพี่ก็ชุบมือเปิบ”
“แล้วเธอคิดว่าถ้าฉันไม่ช่วยพูดกับผู้จัดการเพื่อนของเธอจะได้โอกาสเข้ามาทำงานที่นี่ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ไหมล่ะแยม” ศิวกรพูดแล้วมองหน้าวริษาอย่างไม่พอใจ
“พี่กรพูดแบบนี้คือกะจะไม่ให้ยัยดรีมมีผลงานอะไรเลยเหรอคะ รุ่นพี่ที่ไหนเอาเปรียบรุ่นน้องตลอด”
“แยมพอเถอะ” ญาณิดารีบปรามเพื่อน
“ไม่เป็นไรดรีม ช่างเถอะ พี่เข้าใจว่าเธอสองคนอาจจะยังเด็ก ยังไม่เข้าใจโลกการทำงานเท่าไหร่” เขาพูดแล้วหัวเราะ
“โลกการทำงานแบบที่พี่กรทำอยู่เนี่ยนะคะ ที่ใครอยากจะได้อะไรก็แค่ช่วงชิงไปจากคนอื่นเนี่ยเหรอคะ” ในที่สุดญาณิดาก็หลุดปากพูดความรู้สึกจริงๆ
“ดรีมเธอพูดอะไรออกมาน่ะ” น้ำเสียงของศิวกรเริ่มแข็งขึ้น
“ก็พูดความจริงไงคะพี่กร งานออกแบบบ้านคุณธวัช เป็นผลงานของญาณิดาทั้งหมด พี่กรรู้ดีแก่ใจว่าพี่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเลย” ญาณิดากำหมัดแน่น
“พี่ไม่คิดเลยนะดรีมจะกลายเป็นคนแบบนี้ ไม่รู้จักบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือ”
คำว่า ‘บุญคุณ’ ทำให้ญาณิดาอึ้งไปชั่วขณะ
“ถ้าพี่ไม่แนะนำเธอให้คุณสมเกียรติ ใครจะรู้ว่าเธอจะได้เข้ามาทำงานที่เอสดับบลิวโฮมส์”
ญาณิดานิ่งเพราะสิ่งที่ศิวกรพูดมันก็ถูกต้องแล้ว เธอจำได้ดีว่า เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เธอกำลังหางานหลังเรียนจบ ศิวกรซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยและสนิทสนมกันมากได้แนะนำเธอให้กับคุณสมเกียรติ ผู้จัดการของบริษัทเอสดับบลิวโฮมส์และจากนั้นหญิงสาวก็ได้เข้ามาทำงานที่นี่
“นั่นมันก็แค่การแนะนำไม่ใช่เหรอคะพี่กร มันไม่เกี่ยวอะไรกับการที่พี่มาเคลมผลงานของดรีมนะ” ญาณิดาพยายามตั้งสติและถามออกไปอีกครั้ง
“เธอคิดว่าไม่เกี่ยวเหรอ” ศิวกรหัวเราะในลำคอ เขามองหน้ารุ่นน้องแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ดรีมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกันเลยนะคะ เรื่องแนะนำนั่นมันก็ตั้งเกือบสองปีแล้วนะคะ”
“ถ้าพี่ไม่แนะนำเธอเข้ามารับผิดชอบงานออกแบบในบริษัทใหญ่ๆ แบบนี้ เธอจะมีความสามารถได้โชว์ผลงานแบบนี้ได้ยังไง” ศิวกรพูดจบก็รีบเดินออกจากบริเวณนี้ออกไปเพราะตอนนี้คนในแผนกเริ่มสนใจการพูดคุยของพวกเขามากขึ้นแล้ว
“ใจเย็นนะดรีม ฉันเชื่อว่าสักวันความจริงจะปรากฏ รอคุณสมเกียรติกลับมาก่อน แกค่อยไปบอกเขาก็ได้”
“ฉันหวังว่าถึงวันนั้นเขาจะฟังสิ่งที่ฉันจะพูดน่ะ ญาณิดาพูดอย่างมีความหวัง
“ผมคิดถึงคุณมากเลยนะดรีม คิดถึงคืนนั้นของเรามาก คุณล่ะเคยคิดถึงมันบ้างไหม” ธันวากระซิบถามขณะฝ่ามือประคองใบหน้าแล้วจ้องเธออย่างรอคอยคำตอบญาณิดามองลึกลงไปในแววตาของเขาก่อนจะพยักหน้าเพราะเธอเองก็คิดถึงสัมผัสร้อนและบทรักที่เขามอบให้ในคืนนั้นไม่ต่างจากธันวาเลยสักนิด“คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก ผมไม่เคยนอนกับใครแล้วมีความสุขเท่าคุณมาก่อนเลยนะดรีม คืนนี้ผมสัญญาจะเป็นอีกคืนที่เราสองคนมีความสุขไปด้วยกัน” พูดจบเขาก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานก่อนจะรีบชุดนอนของตัวเองออก แล้วเอื้อมหยิบถุงยางอนามัยที่ซื้อมาเตรียมไว้ เมื่อหลายวันแล้วรีบสวมลงบนท่อนเอ็นที่มันกำลังจะระเบิดออก“มันจะไม่เจ็บใช่ไหมธันวา”เธอถามอย่างไม่แน่ใจเพราะยังจำได้ดีถึงครั้งแรกของตนเองได้แม้จะเมามากก็ตาม“มันจะเจ็บแต่มันจะไม่เท่าคืนแรก ผมขอโทษที่ทำให้ครั้งแรกของคุณต้องเจ็บ ผมไม่รู้เลยไม่ได้เตรียมคุณให้พร้อมแต่ผมคิดว่าคืนนี้คุณน่าจะพร้อมสำหรับผมแล้วนะ” เขากระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วมอบจูบให้เธออีกครั้ง ก่อนจะผละออกแล้วขบเม้มลำคอระหงมือใหญ่จับท่อนเอ็นร้อนลากขึ้นลงกลางกลีบกุหลาบกดเน้นบนเกสรกระตุ้นให้น้ำหวานไหลรินออกมาทีละนิด“อ่ะ....ธันวา”“ไม
สามวันต่อมาขณะที่ญาณิดากำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเธอไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคนที่มาเคาะประตูเป็นใครแต่ที่ไม่รู้คือเพราะอะไรหญิงสาวหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนก่อนจะแง้มประตูออกไปเพียงเล็กน้อย“มีอะไรหรือเปล่าคุณธันวา”“คุณชอบดูฟุตบอลไหมดรีม”“อือ ถามทำไมคะ” แม้ประหลาดใจกับคำถามแต่ก็ตอบไปตามตรง“ไปดูบอลห้องผมไหม คืนนี้มีศึกแดงเดือดนะ”“ฉันลืมไปเลยขอบคุณที่เตือนนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดูที่ห้องฉันก็ได้”“ใครเขาดูบอลคนเดียวกันล่ะ ถ้าไม่อยากอยู่กับผมตามลำพังสองต่อสองเราลงไปดูที่ห้องข้างล่างก็ได้พวกลูกน้องของผมก็รวมตัวกันอยู่เหมือนกัน แต่ในห้องนั้นก็มีผู้ชายหลายคนนะ ดูกับผมแค่สองคนน่าจะปลอดภัยกว่าหรือเปล่า”“เอางั้นก็ได้ คุณกลับไปรอที่ห้องนะเดี๋ยวฉันตามไป” เพราะสิ่งที่เขาพูดมันน่าสนใจเนื่องจากญาณิดาเองก็ชอบการดูฟุตบอลอยู่มากหญิงสาวจัดการงานที่ค้างอีกนิดหน่อยจากนั้นก็เดินไปเคาะประตูห้องของธันวาแล้วเปิดเข้าไปเพราะเจ้าของห้องไม่ได้ล็อกไว้“นั่งก่อนสิเอาเบียร์ไหม ในห้องผมมีอยู่หลายยี่ห้อเลยเบียร์ท้องถิ่นของเขาก็อร่อยดีเหมือนกันนะ ว่าแต่คุณกินเบียร์ได้หรือเปล่า”“ได้สิ ที
“วันหยุดสัปดาห์หน้าคุณจะกลับบ้านหรือเปล่าดรีม” จู่ๆ ธันวาก็ถามขึ้นระหว่างที่ทั้งสองนั่งทานอาหารเย็นด้วยกันที่ห้องพักของเขา“คิดว่าไม่ค่ะ คุณล่ะคะหยุดตั้งหลายวันจะกลับไหม”“ผมว่าจะไปเที่ยวฮานอยสักหน่อย คุณล่ะถ้าไม่กลับเมืองไทยจะไปเที่ยวกับผมไหมเผื่อจะได้แรงบันดาลใจในการทำงานนะ”“ฟังดูก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะคะ แต่ฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกันค่ะ” ญาณิดาไม่ตอบตกลงในทันทีทั้งที่ตัวเองก็วางแผนไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวที่นั่นถ้าหากมีเพื่อนร่วมทางไปอีกคนก็คงจะทำให้รู้สึกปลอดภัยและอาจจะสนุกมากขึ้นก็ได้“ถ้าเปลี่ยนใจหรือตกลงก็บอกผมนะ ผมจะได้จองโรงแรมให้”“ฉันคงไม่รบกวนคุณธันวามากขนาดนั้นหรอกค่ะ”“ไม่รบกวนเลย ผมเคยไปเป็นวิศวกรที่นั่นก็เลยพอมีส่วนลดของโรงแรมอยู่นิดหน่อย” เขารีบอธิบาย“ฟังดูน่าสนใจดีเหมือนกันนะคะ เอาไว้ฉันตัดสินใจดูก่อนแล้วค่อยบอกคุณอีกทีค่ะ”“ได้ครับ” ธันวาแอบอมยิ้มเพราะเมื่อช่วงหัวค่ำเขาเจอกับจารุวัตรหัวหน้างานของเธอและได้คุยกันจึงพอจะรู้ว่าวันหยุดยาวสี่วันที่จะมาถึงญาณิดาจะไม่กลับเมืองไทยและหญิงสาวยังวางแผนจะไปเที่ยวฮานอยซึ่งมันก็เข้าทางเขาอยู่พอดีเขาอยากมีโอกาสอยู่ใกล้กับเธอมากขึ้นและได
ญาณิดารีบกลับมายังห้องของตนเองอาบน้ำเรียกความสดชื่นจากนั้นก็ลงไปรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะออกมาด้านหน้าของโรงแรม เธอสั่งกาแฟแก้ง่วงมาหนึ่งแก้วระหว่างนั้นก็หันไปเห็นร้านขายยาอยู่ไม่ไกล หญิงสาวเดินข้ามถนนไปซื้อปรอทวัดไข้ยาลดไข้ก่อนจะเดินกลับมารับกาแฟและถือถุงยาตรงมายังเคาน์เตอร์ของโรงแรม"สวัสดีค่ะฉันรบกวนให้พนักงานเอาปรอทวัดไข้กับยาขึ้นไปให้ห้อง 305 หน่อยได้ไหมคะ แล้วก็รบกวนช่วยดูด้วยว่าเขาอยากจะไปโรงพยาบาลหรือเปล่า” เธอถามพนักงานด้วยความเกรงใจแต่จะขึ้นไปที่ห้องเขาเองก็กลัวคนอื่นจะเห็นและเธอยังต้องไปเข้างานให้ตรงเวลาอีกด้วย“ได้ค่ะ”“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณเธอส่งถุงยาให้กับพนักงานก่อนจะเดินกลับมายังห้องทำงานที่อยู่ชั้นล่างสุดของโรงแรม“ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมาจากไหนน่ะครีม” กิตติถามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวดูง่วงกว่าทุกวัน“เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยค่ะพี่เต่า เช้านี้เลยต้องจัดกาแฟเข้มๆ” เธอนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหยิบงานที่ค้างไว้ขึ้นมาทำงานต่อ“ถึงว่าล่ะกินข้าวเสร็จพี่ก็เห็นดรีมออกไปจากโรงแรม”“เพราะกาแฟที่โรงแรมเข้มไม่สะใจเท่าไหร่ ดรีมชอบกาแฟร้านข้างๆ โรงแรมมากกว่า” เธอตอบรุ่นพี่ก่อน
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์แล้วสำหรับการมาทำงานที่ดานังวันนี้สภาพอากาศดูจะไม่อำนวยเท่าไหร่ เมฆครึ้มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าตั้งแต่เช้า และในที่สุดสายฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างหนักในช่วงบ่าย ทำให้การทำงานที่ไซต์ก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวญาณิดาเลิกงานตามเวลาเธอสังเกตเห็นว่าธันวามีท่าทางแปลกไปตอนที่บังเอิญเจอกันที่หน้าห้องพักของเขา ชายหนุ่มมีสีหน้าซีดเซียวท่าทางการเดินก็ดูเหมือนคนที่กำลังจะหมดแรงเธอมองตามแผ่นหลังเขาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก จนกระทั่งกลางดึกหญิงสาวก็ได้ยินเสียงดังโครมครามดังขึ้นมาจากห้องของธันวา เสียงนั้นทำให้ญาณิดาสะดุ้ง เธอรีบวิ่งไปที่หน้าห้องเขาด้วยความเป็นห่วง“คุณธันวา คุณธันวาคะ” เธอเคาะประตูรัวๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้องญาณิดาใจเสียก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินใจวิ่งลงไปที่แผนกต้อนรับของโรงแรมทันที“ขอโทษนะคะ ขอคีย์การ์ดสำรองห้อง 305 หน่อยค่ะ พอดีเพื่อนร่วมงานพักอยู่ห้องนั้น แล้วฉันได้ยินเสียงโครมครามออกมาจากห้อง” ญาณิดาแจ้งพนักงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน“ทางเราไม่สามารถให้คีย์การ์ดสำรองกับบุคคลอื่นได้ค่ะ เว้นแต่เจ้าของห้องจะอนุญาต” พนักงานตอบกลับมาตามระเบี
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน มัณฑนากรทั้งสามคนก็ไปยังห้องอาหารของทางโรงแรมซึ่งการทานอาหารที่นี่ทำบริษัทได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขา แล้วแต่ถ้าหากใครไม่พอใจจะทานอาหารของทางโรงแรมบริเวณใกล้ๆ กับโรงแรมก็ยังมีร้านขายอยู่อีกหลายร้านญาณิดาเห็นกลุ่มวิศวกรมาถึงก่อนแล้วและตอนนี้ธันวาก็กำลังยืนตักอาหารอยู่ หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่วเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารเธอจึงรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที“ขอบคุณนะคะสำหรับกาแฟ” หญิงสาวกระซิบบอกธันวาขณะที่ยืนอยู่ที่จุดตักอาหารเหมือนกำลังรอเธออยู่“ดีใจนะที่คุณชอบ เดี๋ยวผมจะส่งให้ทุกเช้าเลย” เขาพูดกับเธอแต่ทำเป็นมองไปทางอื่นเพราะรู้ว่าญาณิดาไม่อยากให้คนอื่นเห็นถึงความสนิทสนมระหว่างเธอกับเขา“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันขอร้องว่าอย่าทำแบบนั้นเลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราสนิทกันมากขนาดนั้น”“เราทำงานร่วมกันจะสนิทกันก็ไม่แปลกเลยนะดรีม คุณน่ะคิดมากเกินไปแล้ว”“มันจะไม่แปลกตรงไหนคะ ในเมื่อมีมัณฑนากรตั้งสามคนแต่บนโต๊ะกลับมีกาแฟของฉันแค่คนเดียว ขอร้องล่ะค่ะคุณธันวา อย่าทำแบบนี้เลย”“ก็ได้ครับ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก ผมเองก็ไม่อยากทำให้คุณไม่พอใจหรอกนะ ผมคิดน้อยไปหน่อยที่
Comments