“โอเคขึ้นแล้วหรือยัง” เสียงฉันที่ตัดสินใจเลิกสนใจทุกอย่างเดินตรงเข้าไปเอ่ยถามเพื่อนสนิทของตัวเอง วาวาที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบหันมาส่งยิ้มตาหยีตอบกลับ
“ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่ห่วงได้ยังไง ยัยนั่นดูบ้าขนาดนั้น” ฉันเอ่ยอย่างรู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่มัวแต่รู้สึกตกใจไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนลืมที่จะปกป้องเพื่อนตัวเองให้เร็วกว่านี้ ซึ่งก็เหมือนวาวาจะรู้ในความคิดของฉัน
“ไม่เอาน่าเบย์ มันไม่มีอะไรแล้ว” เสียงหวานบอกพร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นมามองดู
“โอ๊ะ ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้ว ยังไงเดี๋ยววาขอตัวก่อนนะคะ” เจ้าของใบหน้าใสหันไปเอ่ยบอกรุ่นพี่ที่ยืนกันอยู่ ฉันที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบเสนอตัว
“เดี๋ยวเดินไปส่ง…” ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยคดี
“พี่ไปด้วยครับ” พี่ลีโอที่ยืนอยู่ก็ยิ้มบอกออกมา ทำเอาฉันที่ได้ยินชะงัก เช่นเดียวกับวาวา
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยววาไปเองได้ค่ะ ที่ทำงานอยู่ไม่ไกล”
“แต่…” ไม่รอให้พี่คนนั้นได้เซ้าซี้ต่อ
“เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” พูดจบ ฉันก็จับมือพาวาวาเดินออกมาจากตรงนั้นในทันทีด้วยท่าทีปกติ ซึ่งอย่าคิดล่ะว่าฉันกำลังรู้สึกอิจฉาหรืออะไรกับเพื่อนของตัวเอง ฉันก็แค่…อยากเดินมาส่งวาวาเพียงลำพังก็เท่านั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ” ฉันอดไม่ได้ที่จะหันถามเพื่อนตัวเล็ก วาวาที่ได้ยินแบบนั้นจึงยอมเล่า
“พอดีเมื่อวานเจมส์มาทักเราน่ะ แล้วทำตัวไม่ค่อยน่ารักเหมือนเดิม ถึงเนื้อถึงตัวเรา…” วาวาเล่าอย่างมีท่าทีเกร็ง ๆ นิด ๆ น่าจะเพราะกลัวว่าฉันจะโกรธที่ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่า…ฉันก็โกรธจริงนั่นแหละ เพราะเคยบอกแล้วว่า มีอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นให้บอกฉันอยู่เสมอ แต่วาวาก็ชอบเกรงใจแบบนี้
“แล้วไงต่อ”
“ก็ไม่อะไรหรอก พอดีพี่ลีโอกับเอ่อ…พี่ธาม เขาเข้ามาเจอกันพอดี เจมส์เลยพูดจาไม่ดีใส่พวกพี่เขาไป…”
“อืม พอจะเข้าใจแล้ว” ฉันที่พอจะเดาเหตุการณ์ต่อได้ไม่ยากเอ่ย ก่อนจะจ้องมองหน้าเพื่อน
“ต่อไปมีอะไรต้องบอกฉันนะ”
“อืม ฉันกลัวเธอเป็นห่วง”
“ยิ่งไม่รู้อะไรเลย ยิ่งห่วง” ฉันบอก โดยวาวาที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเดินเข้ามาโผกอดฉันในทันที
“ขอโทษน้าาา” ริมฝีปากเล็กพึมพำด้วยโทนเสียงชวนเอ็นดู จนฉันเองอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ก่อนที่ดวงตาจะเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมที่คลุมร่างของเพื่อนตัวเองอยู่
“ว่าแต่…”
“…เขาดูอะไร ๆ กับเธออยู่นะ”
“หือ??” วาวาผละมองหน้าฉันสีหน้างุนงง
“พี่…ลีโอน่ะ”
“อ๋อ…ก็ไม่หรอก พี่เขาแค่เป็นคนใจดีน่ะ” คนตัวเล็กยิ้มบอกฉันด้วยแววตาสดใสคิดอย่างสิ่งที่พูดออกมา ทว่า…ฉันกลับไม่คิดแบบนั้นเลย
“แล้วถ้า…เขาชอบเธอล่ะ”
“ฮะ?”
“แค่สมมุติน่ะ”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้…ฉันไม่อยากคิดเรื่องอะไรแบบนั้นเลย…อีกแล้ว” คำพูดแผ่วเบาในประโยคหลังรวมถึงสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยถนัดตาของเพื่อนตัวเล็กทำเอาฉันชะงักไปในทันที วาวามีอะไรบางอย่างในใจ แต่ยังไม่พร้อมที่จะบอกฉันสินะ
“ช่างเถอะ ถึงร้านเธอแล้ว เข้าไปทำงานเถอะ” ฉันยิ้มบอกกับเพื่อนสนิท
“อื้ม ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้~” คนตัวเล็กยิ้มหวานตาหยีบอกฉัน
“โอเค แล้วเจอกัน” ฉันจึงส่งยิ้มตอบกลับเพื่อนไป ก่อนจะเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งภายในใจก็นึกคิด ฉันไม่ได้อะไรหากรุ่นพี่คนนั้นจะชอบเพื่อนตัวเอง แต่ถ้าทั้งสองลงเอยกัน…ฉันไม่รู้ว่าจะสามารถมองแฟนเพื่อนให้เหมือนปกติได้ยังไง ในเมื่อความจริงในคืนนั้นมันยังคงติดอยู่ภายในหัวของฉันไม่หายไป
แม้ว่าพี่เขาจะไม่รู้อะไร แต่ฉันรู้ไง…
“เฮ้อ!…” ให้ตายเถอะ ทำไมโลกมันถึงได้มีความกลมบังเอิญได้ถึงขนาดนี้
ด้านลีโอ
“ลีโอ” เสียงเดือนเพ็ญเดินเข้าไปสวมกอดหลานชายคนโปรดของตัวเองด้วยความคิดถึงที่มี ลีโอที่เห็นแบบนั้นก็ยกยิ้มสวมกอดหญิงสูงวัยกลับท่าทีเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
“สบายดีไหมครับ”
“ก็ดี แต่คิดถึงหลานชาย”
“อ้อนจังเลยนะครับ”
“ก็นะ ย่ามีหลานแค่คนเดียวนี่” เดือนเพ็ญเอ่ยบอกพร้อมกับยังคงกอดหลานคนโปรดของตัวเองไม่หยุด โดยมีภูชิตกับวรรณวิสาที่ยืนมองสองย่าหลานที่กอดกันอยู่แววตาเอ็นดูไปกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นที่นาน ๆ ทีลีโอจะมีเวลาได้กลับมายังบ้านหลังใหญ่
“ช่วงนี้เรียนหนักเหรอลูก” เดือนเพ็ญถามหลังจากผละออกจากการกอดกับหลานพร้อมกับลีโอที่โอบร่างของคนเป็นย่าพาเดินเข้าไปภายในห้องอาหารขนาดใหญ่
“ครับ งานค่อนข้างเยอะ เพราะอยู่ปีสุดท้ายแล้วครับ”
“ถ้าจบแล้วก็พักก่อนได้นะ ไม่ต้องรีบทำงาน” หญิงสูงวัยบอกด้วยความห่วงใยหลานชายเพียงคนเดียวของตัวเองยิ่งกว่าอะไร เธอไม่ได้รักใคร่เพียงเพราะลีโอเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบ้าน แต่เธอรักที่หลานชายเธอไม่เคยทำให้เธอรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังกับเขาเลยสักครั้ง แถมลีโอยังโตมาในบุคลิกที่ดี เป็นแนวไม่ค่อยพูดแต่มีความอบอุ่น อ่อนโยน นอบน้อมต่อทุกคน นี่สิ…หลานชายที่เธอตั้งใจเลี้ยงดูมาอย่างดี
“ครับ” ลีโอยิ้มรับคำบอกจากคนเป็นย่าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งในตอนนั้นร่างชายชราที่เพิ่งตรวจงานเสร็จก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณปู่” เสียงลีโอทักทาย อำพล ประธานใหญ่ของบริษัท ALL CARGO AIR TRANS ที่เป็นปู่ของตัวเองด้วยท่าทีนอบน้อม
“อืม สบายดีนะ” อำพลก็ทักทายหลานชายตัวเองไปด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนที่ทุกคนภายในโต๊ะจะเริ่มลงมือทานอาหารค่ำกันไปด้วยบรรยากาศที่ดี ต่างชวนกันพูดคุยถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้กันไป กระทั่ง…
“ว่าแต่หลัง ๆ ย่าไม่เจอหนูลาเบลเลยนะ” ทันทีที่หญิงสูงวัยถามจบ ชายที่ถูกถามก็ชะงักนิ่งไปในทันที โดยมีภูชิตกับวรรณวิสาที่เงียบไม่ต่าง เนื่องจากรู้เรื่องการจบลงของความสัมพันธ์ลูกชายกับอดีตแฟนของชายหนุ่มแล้ว
“…”
“ทำไมเงียบกันไปล่ะ มีอะไรหรือเปล่า” เดือนเพ็ญที่รู้สึกแปลกใจถาม ทำให้ลีโอที่นั่งอยู่ตัดสินใจเอ่ยบอก
“คือ…ผมเลิกกับลาเบลแล้วน่ะครับคุณย่า”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“…” ลีโอไม่ตอบทว่าได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้คนเป็นย่าไป ซึ่งเดือนเพ็ญที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มรับรู้ไม่ถามลงรายละเอียดอื่น ๆ ต่อ พูดเพียงแค่ว่า…
“ถ้าไม่ใช่คู่กัน ก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะลูก อย่างน้อยก็เคยมีความสุขด้วยกัน” หญิงชราเอ่ยบอกกับหลานตัวเองด้วยอย่างปลอบประโลมให้กำลังใจ ลีโอที่ได้ยินแบบนั้นจึงยกยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีไปกับคำพูดของหญิงสูงวัยที่มักจะคอยพูดจาปลอบประโลมให้กับเขาอยู่เสมอไม่ว่าจะมีเรื่องใด ๆ เกิดขึ้น เพราะครอบครัวของเขาเป็นแบบนี้ ลีโอจึงเติบโตขึ้นมามีนิสัยที่ค่อนข้างใจเย็นและใจดีอยู่เสมอ ซึ่งในขณะที่นั่งยิ้มไปกับคำพูดของคนเป็นย่า ดวงตาคมของคนตัวสูงก็เหลือบไปเห็นข้อความของใครบางคนที่ส่งตอบกลับเขาเข้ามาพอดี
ข้อความ
วาวา : วาไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ
วาวา : ขอบคุณพี่ลีโอมาก ๆ เลยนะคะ
วาวา : แล้ววาจะรีบทำความสะอาดเอาเสื้อพี่ไปคืนให้นะคะ^^
หลังจากที่กดอ่านข้อความ รอยยิ้มบาง ๆ ก็ฉายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา…