LOGINสถานีตำรวจ
เสียงฝนยังตกปรอยๆ ข้างนอก เซนต์นั่งชันเข่าอยู่มุมหนึ่งที่แสงเข้าไม่ค่อยถึงเท่าไรนัก เพื่อนที่โดนจับมาด้วยกันถูกประกันตัวออกไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน เหลือเพียงเขาที่ยังอยู่ในห้องขังอย่างไม่คาดหวังให้ใครมาประกันตัว เซลีน น้องสาวของเซนต์ก้าวเข้ามาภายในสถานีตำรวจในชุดนักศึกษา ผมเปียกเล็กน้อยเพราะลืมเอาร่มมา ใบหน้าอ่อนโยนมีเค้าความเหนื่อยหน่ายซ่อนอยู่ “น้องสาวมาประกันตัวแล้ว” เสียงเจ้าหน้าที่เอ่ย พลางเปิดประตูห้องขังให้เซนต์ “แกนี่เข้าห้องขังเป็นงานอดิเรกจริงๆ สงสารน้องกับแม่บ้าง” เซนต์ไม่พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นแล้วเดินออกมาพร้อมรอยช้ำบนหน้า คิ้วแตกเลือดแห้งกรัง “เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นพวกอันธพาลสักทีพี่เซนต์” “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ดิ” “เงินเก็บก้อนสุดท้ายทั้งชีวิตของเซย์เอามาประกันตัวพี่หมดแล้ว พี่เซนต์เคยบอกว่าจะไม่ทำตัวเป็นพวกอันธพาลแล้ว สุดท้ายก็ยังทำเหมือนเดิม” “เออ ขอโทษ” เซนต์พูดอย่างติดหงุดหงิด “เดี๋ยวหามาคืนให้หรอก” “ทำอะไรคิดถึงหน้าแม่หน่อยได้ไหม พี่ก็รู้ว่าตอนนี้แม่ป่วยอยู่” “…” เซนต์นิ่งเงียบ เมื่อน้องสาวหยิบเรื่องแม่ขึ้นมาพูด นั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกแย่ แต่กลับเลือกที่จะไม่พูดอะไรเพราะเขาทำผิดจริงๆ เซลีนกำมือแน่นกับคำพูดของพี่ชาย ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ เซนต์มองตามแผ่นหลังของน้องสาวที่วิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนด้วยแววตาที่อ่อนลง เขารู้ทันทีว่ากำลังทำให้น้องสาวผิดหวัง ตระกูลไกรวณิชคุณ “ฉันเพิ่งเตือนแกไปเรื่องนี้ นี่เอาอีกแล้วเหรอฮึ” เสียงของ ‘คิระ’ ประมุขสูงสุดของตระกูลไกรวณิชคุณเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดเบื่อหน่าย มือหนายกบุหรี่ที่คีบอยู่ขึ้นมาดูดแล้วปล่อยควันสีเทาออกมาอย่างใจเย็น “ก็แค่เหม็นหน้ามัน” “เมื่อไหร่แกจะเลิกทำตัวเป็นอันธพาลสักที คิดว่าครอบครัวมีอิทธิพลแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้?” “…” ครินทร์เงียบ คิระยกบุหรี่ขึ้นดูดอีกครั้งแล้วพ่นควันสีเทาออกมา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองลูกชายคนเล็กที่ชอบสร้างเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ที่รอดมาได้เพราะเป็นคนของ ‘ไกรวณิชคุณ’ ลองไม่มีนามสกุลช่วยค้ำคอป่านนี้คงติดคุกไปแล้ว ปวดหัวทั้งกับลูกชายคนโตและคนเล็ก คิระปล่อยให้ความเงียบปกคลุมนานสองนาน ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับเอ่ยบางอย่างที่ทำให้ครินทร์ไม่พอใจ “ปิดเทอมเล็กฉันจะส่งแกไปฝรั่งเศส” “อะไรนะครับ?” “ได้ยินแล้วนี่ ไปอยู่ที่นู่นจนกว่าจะมหา’ลัยจะเปิดเทอม” “ผมต้องดูแลร้าน” “ร้านแกฉันจะคนสนิทของฉันดูแลให้” คิระพูดเสียงเรียบ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย “ผมไม่ยอม!” “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉัน” คิระพูดพร้อมกับปรายสายตามองลูกชายนิ่งๆ หากแต่ดูทรงพลังจนน่ากลัว “เปิดเทอมค่อยกลับมา ถ้าฉันรู้ว่าแกแอบกลับมาก่อนกำหนด…ฉันจะย้ายแกไปเรียนที่นู่นให้มันจบๆ” “ผมไม่อยากไปฝรั่งเศส ทำโทษผมยังไงก็ได้ที่ไม่ใช่ส่งไปที่นั่น!” “แกต้องคุมตัวเองให้มากกว่า และฉันหวังว่ากลับไทยคราวหน้าแกจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่” ครินทร์ไม่ตอบ เพียงแค่หันหลังแล้วเดินฟึดฟัดออกไปจากห้องทำงานของคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ คิระมองตามหลังลูกชายคนเล็กแล้วลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยใจ คนโตก็ไม่ยอมแต่งงาน… คนตัวเล็กก็ยกพวกตีกัน… เขาล่ะเหนื่อยใจกับพวกนี้จริงๆ คอนโดครินทร์ ปัง! ครินทร์เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบขวดน้ำสีเหลืองอำพันออกมาเทลงแก้วกระดกไปหนึ่งอึก หวังให้แอลกอฮอล์ช่วยบรรเทาอารมณ์หงุดหงิดแต่รสแอลกอฮอล์แสบคอแต่ยังไม่สาแก่ใจ แก้วในมือถูกวางกระแทกลงโต๊ะเสียงดัง ปัง! มือหนาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าไลน์กลุ่ม ครินทร์ : คืนนี้แดกเหล้า ตรีภพ : เออ กูก็อยากแดกเหมือนกัน จอมทัพ : อยากอัดหน้าพวกแม่งนั้นอีกว่ะ ครินทร์ : กูว่าครั้งนี้พวกเราคงต้องพักกันก่อนว่ะ พ่อกูจะส่งกูไปฝรั่งเศส แม่งเซ็งฉิบหาย สัส ตรีภพ : จริงดิ? จอมทัพ : แล้วร้านมึงล่ะ ครินทร์ : พ่อจะให้คนดูแลให้ ครินทร์เทเหล้าลงแก้วแล้วยกขึ้นกระดกอีกครั้งพรวดเดียวจนหมด ก่อนจะวางลงแล้วยกมือเช็ดเหล้าออกจากปาก แววตาคมเข้มวาวโรจน์เมื่อนึกถึง ‘อริ’ หมายเลขหนึ่ง “รอกูกลับมา กูเอาคืนมึงแน่ไอ้เซนต์”หลายปีต่อมาเสียงประกาศจากพิธีกรบนเวทีดังก้องไปทั่วลานหน้าคณะ ท่ามกลางบรรยากาศอบอวลด้วยความยินดีและความภาคภูมิใจของเหล่าบัณฑิตใหม่ วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจนแทบไม่มีเมฆ เสียงหัวเราะ เสียงชัตเตอร์ เสียงเรียกชื่อกันข้ามตึกดังระงมไปหมด มวลอากาศร้อนระอุปะปนกลิ่นดอกไม้ที่ผู้คนถือเต็มสองมือเซลีนอยู่ในชุดครุยสีดำสนิทกับผ้าพาดบ่าขลิบทองช่วยขับให้ผิวขาวผ่องของเธอโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ผมยาวถูกรวบตึงเรียบร้อยแต่เส้นเล็กๆ ที่หลุดออกมาเคลียกรอบกรอบหน้าทำให้เธอดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติจนน่ามองไม่วางตาร่างบางเดินยิ้มรับคำแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ และอาจารย์อย่างเป็นกันเอง ดวงตาเป็นประกายคล้ายมีแสงสะท้อนจากแววฝันที่ทำสำเร็จในวันนี้ เสียงกดชัตเตอร์ดังต่อเนื่องเมื่อเธอหันไปยิ้มให้กล้องครินทร์ยืนพิงรถหรูสีดำข้างถนน สายตามองเซลีนในชุดครุยด้วยแววอ่อนโยนที่คนอื่นไม่มีวันได้รับ วันนี้เธอโตขึ้นไปอีกขั้นแล้วภูมิใจในตัวเด็กคนนี้มากเขาเดินเข้าไปร่วมแสดงความยินดี พอเซลีนเห็นก็รีบเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจ เขาหยิบบางอย่างที่ถือมาด้วยแล้วยื่นให้“อะไรคะ?” เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเขายื่นบางอย่างมาให้“ลองเปิดดูสิ
ลานกิจกรรมของคณะเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงเชียร์ เสียงปรบมือ และเสียงตะโกนสลับกันไปมาไม่ขาดสาย ยามบ่ายอากาศร้อนอบอ้าวแต่กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าแต่คนละถูกเช็ดลวกๆแสงแดดสะท้อนจากผ้าใบกันแดดที่ขึงไว้เหนือหัวจนเกิดประกายแสบตา ทุกมุมของลานกว้างเต็มไปด้วยสีสันของลูกโป่ง ป้ายผ้า และสเปรย์โฟมที่ใช้ตกแต่งมุมถ่ายรูปรุ่นพี่เดินแจกน้ำให้รุ่นน้องที่นั่งเรียงกันอยู่ด้านหน้า แต่ละคนมีป้ายชื่อห้อยคอ มีของตกแต่งเล็กๆ ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองเสียงร้องเพลงดังขึ้นเป็นจังหวะพร้อมเสียงตบมือ เสริมด้วยกลองยาวที่รุ่นพี่เตรียมไว้ช่วยเพิ่มความครึกครื้นเข้าไปอีกเซลีนสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวเรียบง่าย ผมรวบสูงลวกๆ มีเส้นผมหลุดมาปรกแก้มบางส่วนแต่กลับดูเป็นธรรมชาติเธอเดินตรวจความเรียบร้อยให้รุ่นน้องกลุ่มตัวเอง มือถือขวดน้ำและผ้าเย็นไว้แจก แสงแดดกระทบผิวจนเกิดประกายวาวอ่อนๆ ทำให้เธอโดดเด่นท่ามกลางผู้คนโดยไม่รู้ตัวจนถึงช่วงเฉลยพี่รหัส หนุ่มตี๋ผิวขาวในชุดนักศึกษาเหมือนอาบน้ำวันละสิบรอบเดินตรงเข้าไปหาเซลีนพร้อมกระดาษคำใบ้“สวัสดีครับ ผมกร คำใบ้ในกระดาษ…ใช่พี่ไหมครับ”“อ่
ความสัมพันธ์ระหว่างครินทร์กับเซลีนดูราบรื่นแต่ก็มีทะเลาะกันตามประสาคู่รัก และทุกครั้งครินทร์เป็นฝ่ายยอมเพราะไม่อยากทำเรื่องให้เล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่สองคนไม่เคยทะเลาะกันจริงๆ จังๆ เวลาอีกคนไม่ชอบอะไรในตัวอีกคนก็จะคอยบอกปรับกัน เป็นเรื่องปกติเวลาคบกันนานขึ้นแล้วเจอข้อเสียของกันและกัน“พี่ครินทร์มีผู้หญิงทักมา เธอเป็นใครเหรอคะ?” เซลีนเดินเข้าไปหาครินทร์แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู“เธอชื่ออลิชา เป็นคนที่พี่ต้องไปคุยงานด้วยวันมะรืนนี้” เขารั้งเซลีนมานั่งบนตัก แขนโอบกอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะจุมพิตลงไหล่มนหนึ่งครั้งอย่างอ่อนโยน“แต่ชวนไปดื่มไวน์ด้วยเนี่ยนะคะ” เธอหลุบมองหน้าจอโทรศัพท์เขาที่มีข้อความจากผู้หญิงที่ชื่ออลิชาเด้งขึ้นมาเป็นข้อความชวนดื่มไวน์พอดี ก่อนจะชูให้เขาดูด้วยสายตาเอาเรื่องครินทร์รับโทรศัพท์มาอ่านข้อความ ในใจได้แต่คิดซวยแล้ว เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย ส่วนเรื่องคอนแทคส่วนตัวเขาไม่ได้เป็นคนให้ เธอคงไปขอจากคนอื่นมาอีกที“เซย์เชื่อใจพี่ไหมครับ”“ค่ะ”“ถ้างั้นเซย์เชื่อใจพี่เรื่องนี้ด้วยได้ไหม”“อธิบายมาสิคะ แล้วเซย์จะตัดสินใจเอง”ครินทร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้ว
“พรุ่งนี้แกต้องไปงานแทนฉันที่โรงแรมคลิน”“ทำไมต้องเป็นผม พ่อใช้เฮียคิรันบ้างดิ” ครินทร์หัวเสียเล็กน้อย พรุ่งนี้ตั้งใจบินไปส่งเซลีนถึงญี่ปุ่นพร้อมกับอยู่ด้วยเจ็ดวัน แต่พ่อดันบอกให้ไปร่วมงานที่โรงแรมคลินในวันพรุ่งนี้คิระละสายตากจากแก้วชาในมือไปมองลูกชายด้วยแววตายากอ่านออก ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบกลับเสียงเรียบ“คิรันมีบินไปดูงานที่ฮ่องกงพรุ่งนี้กับเมียเหมือนกัน ส่วนฉันก็ไม่ว่าง เหลือแค่แกแล้วครินทร์”“แต่ผม…”“งานนี้สำคัญมาก แขกที่มาคือคุณริวกิ ทัตสึโอกะ นักธุรกิจฝั่งญี่ปุ่น และครอบครัวเราได้รับเกียรติให้เป็นฝ่ายต้อนรับเขาในครั้งนี้” คิระสวนลูกชายทั้งที่ยังพูดไม่จบ ตระกูล ‘ทัตสึโอกะ’ มีอิทธิพลมากในญี่ปุ่น เผื่อในอนาคตได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกันคงง่าย ถ้าหากครินทร์ไปร่วมงานและสร้างสัมพันธไมตรีกับทางนั้นได้อีกอย่างทางนั้นบอกเองอยากให้ครินทร์เป็นฝ่ายมาต้อนรับ จริงๆ เขาให้คิรันหรือไปเองได้ แต่ทางนั้นกำชับว่าต้องเป็นครินทร์ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ดีเหมือนกันลูกชายจะได้มีประสบการณ์ เพราะครินทร์ไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไรนัก“พ่อรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เซย์จะบินไปญี่ปุ่น? ผมสัญญากับเธอแล้วว่าจะไปด้วย”“
ยิ่งใกล้วันเซลีนบินไปญี่ปุ่นครินทร์ก็ยิ่งไม่อยากให้ไป เขานั่งบนโซฟาหนังราคาแพงสีดำ ทิ้งศีรษะไปพิงพนักด้านหลัง เซลีนยังคงใช้ชีวิตตามปกติผิดกับเขาโดยสิ้นเชิงตอนนี้สภาพเขาไม่ต่างจากหมาโบ้ที่ซึมเพราะกำลังจะได้ห่างจากเจ้าของ เขาสามารถบินไปหาเธอได้ก็จริง แต่ด้วยหน้าที่ของเขาที่นี่ก็มีเช่นกันทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้ตลอดครินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่สักพัก สายตาจ้องมองมือของตัวเองที่พาดอยู่บนตัก ราวกับพยายามหาคำพูดที่จะบอก แต่ใจมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้เซลีนเดินเข้ามาจากฝั่งหัวโซฟา เธอยิ้มบางๆ ก่อนโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากคนตัวโต ครินทร์ลืมตามอง ดวงตาของเธอสดใสและอบอุ่นเหมือนแสงแดดในตอนบ่าย“คิดอะไรอยู่คะ?” เซลีนถามเสียงนุ่มครินทร์ส่ายหัวเบาๆ จากนั้นดึงตัวขึ้นมานั่งให้เรียบร้อย เซลีนอ้อมตัวมานั่งข้างๆ ก่อนที่เขาจะซบใบหน้าลงบนไหล่ของเธอ“พี่ไม่อยากให้เซย์ไปญี่ปุ่นเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมสั่นเล็กน้อยราวกับกลั้นความเจ็บปวดจากการต้องห่างกันเซลีนยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเขาอย่างเบาๆ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งความอ่อนแอออกมา เธอรู้ทันทีว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค
สามวันต่อมา ชีวิตเซลีนยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การให้โอกาสครินทร์อีกครั้ง เมื่อก่อนทั้งเพื่อนและพี่ชายต่างไม่ชอบครินทร์ ทว่าตอนนี้เขาทำให้คนรอบข้างเธอต่างยอมรับ แต่พี่ชายของเธอก็ยังคงทำฟอร์มในบางครั้งบ่ายแก่ๆ ภายในมหา’ลัย แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารเรียน เงาตกลงบนพื้นคอนกรีตจนเกิดลวดลายเหมือนภาพวาด เสียงพูดคุยของนักศึกษาดังระงมจากทุกทิศ โรงอาหารกลางยังคงแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่อคิวซื้ออาหารและหาโต๊ะนั่งกันเต็มไปหมดเซลีนกับน้ำตาลเดินเคียงกันมาพร้อมถาดอาหารในมือ วันนี้เซลีนเลือกข้าวผัดโป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวไข่แดงไม่สุกมาก ส่วนน้ำตาลเลือกสลัดกับไก่ย่างชิ้นโตเพราะกำลังอินกับการนับแคล แต่สุดท้ายก็ไม่วายแอบซื้อนมเย็นแก้วใหญ่ติดมือมาด้วย“วันนี้คนเยอะเนอะ” น้ำตาลบ่นขณะกวาดสายตาหาโต๊ะว่าง“จริง รู้สึกว่าเยอะกว่าทุกวัน” เซลีนถามพลางเดินตามจังหวะฝีเท้าเพื่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ โรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุยกันอื้ออึง เสียงช้อนส้อมกระทบจานโชคดีที่มีโต๊ะว่างพอดีตรงมุมติดกระจก มองออกไปเห็นสนามหญ้ากว้างด้านนอกที่นักศึกษากำลังนั่งจั







