“เรียกพี่ครินทร์”
“เซย์ไม่กล้า…”
“ฉันเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย เรียกคุณไม่ทำให้ฉันดูแก่ไปหน่อยเหรอ?”
เซลีนชะงักไปนิด ริมฝีปากขบแน่นอย่างชั่งใจ เธอไม่กล้าสบตาคนตรงหน้าเลยสักนิด มือยังคงกำถาดแน่นเหมือนมันเป็นที่พึ่งสุดท้ายในห้องที่เริ่มรู้สึกว่าอากาศบางกว่าปกติ
“จะให้เซย์เรียกแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ…” เธอเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อืม” ครินทร์ตอบสั้นๆ ในลำคอ พลางเอนหลังพิงพนักโซฟา แขนแกร่งพาดพนักอย่างผ่อนคลาย สายตาคมเข้มจ้องมองคนตรงหน้า ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่กำลังเล็งเหยื่อ
เซลีนจับแก้วเหล้าในมือแน่น เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัยก็จริง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นเจ้านายของเธอ มันจะดูไม่ดีไหมหากเธอเรียก ‘พี่’ ทั้งที่พนักงานคนอื่นๆ เรียกเขา ‘คุณ’ กันหมด
“…พี่ครินทร์” เธอรวบรวมความกล้าเอ่ยเรียกอย่างที่เขาต้องการให้ทำ
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาคมกริบฉายแววความพอใจอย่างเปิดเผย มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย มือหนายกแก้วเหล้าขึ้น
“ดื่มให้หมดแก้วแรกสิ” รอยยิ้มเอียงมุมผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างคล้ายจะแปรเปลี่ยนจากแค่ห้องทำงาน เป็นอะไรที่อันตรายกว่านั้น
แก้วที่สองถูกรินให้ตามมาไม่ทันตั้งตัว คราวนี้เซลีนเริ่มรู้สึกมึนหัว ดวงตาคู่สวยที่เคยคมชัดเริ่มพร่าเลือน ปลายนิ้วเย็นจัดวางแก้วลงบนโต๊ะเบาๆ แต่กลับเผลอพลาดจนเสียงกระทบโต๊ะ กึก ดังขึ้นเบาๆ
“เมาแล้วเหรอ?” ครินทร์เอ่ยถามพลางโน้มตัวมาข้างหน้า มือใหญ่คว้าแก้วของเธอไปเก็บเอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มมุมเดิมที่ทำเอาหัวใจอีกคนสะดุดวูบ
“นะ…นิดหน่อยค่ะ…” เธอพยายามตั้งสติแต่เสียงตัวเองกลับฟังดูอ่อนแรงกว่าปกติมาก
“รู้ไหมว่าเวลาเธอเมา หน้าเธอจะขึ้นสีแบบนี้” เขาพูดพลางยกมือขึ้นแตะที่แก้มนวลใสเบาๆ แต่กลับทำให้ความรู้สึกของคนตัวเล็กวิ่งไหลไปทั้งตัว
เซลีนสะดุ้งเล็กน้อยกับสัมผัสของครินทร์ ดวงตาคู่สวยหลุบตาลงมองพื้น
“ซะ…เซย์ออกมานานแล้ว ต้องกลับไปทำงานจริงๆ แล้วค่ะ เดี๋ยวผู้้จัดการจะว่าเอา” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง กลืนความรู้สึกทั้งหมดลงคอ พยายามหาทางถอยหนีจากแรงดึงดูดประหลาดนี้
ครินทร์ไม่ขัดอะไร ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ แต่ตาเรียบนิ่งอย่างจับผิด
“อืม”
เซลีนลุกขึ้นยืนตอนนี้เซเบาๆ จนต้องยึดขอบโต๊ะไว้ ยังไม่ทันจะได้ยืนเต็มตัว มือใหญ่นั่นก็คว้าเข้ามาแตะเอวพยุงไว้แบบไม่ให้ขออนุญาตก่อน
“ไหวไหม” เสียงเขาเอ่ยเบาๆ ข้างหู “ถ้าไม่ไหวพักห้องทำงานฉันก่อน…ค่อยลงไปทำงานก็ได้”
เธอแทบไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ สัมผัสตรงเอวที่แนบแน่น คำพูดฟังดูกำกวม หรือไอร้อนจากลมหายใจที่เป่าลดลงมากันแน่ที่ทำให้หัวใจสั่นคลอน เธอพยายามดึงสติและเบี่ยงตัวออกมาจากอ้อมแขนของเขา
“วะ…ไหวค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพยายามปั้นเสียงให้มั่นคงที่สุด แม้ในใจกำลังร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟเผา
เซลีนก้าวขาออกไปอย่างระมัดระวัง โดยมีสายตาคมเข้มมองตามจนหายออกไปจากห้องทำงาน เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมที่ติดอยู่ในอากาศ
กลิ่นนั้นไม่ฉุน ไม่ยั่วยวนอย่างผู้หญิงที่เคยเจอ แต่กลับติดจมูกอย่างน่าประหลาด เป็นกลิ่นหวานละมุนที่ผสมกลิ่นผิวเนื้อจริงๆ ของเธอ
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก มือหนาหยิบแก้ววิสกี้ที่เหลืออยู่ขึ้นมาจิบเบาๆ
“กูชักรอวันที่น้องสาวมึง…เป็นของกูไม่ไหวแล้วเซนต์”
•••
“ไปไหนมาเซย์ ร้านจะเปิดแล้ว” เพื่อนร่วมงานเอ่ยถามเซลีนที่เดินมาพอดี
“เซย์ไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ ปวดท้องนิดหน่อย”
“โอเคๆ ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวผู้จัดการจะว่าเอา”
เซลีนพยายามตั้งสติให้มั่น เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มกับครินทร์ก่อนหน้านี้ยังคงไม่จางหาย เธอกลับมาทำงานตามปกติ และอาการมึนเมาค่อยๆ หายไปในเวลาต่อมา
แต่สิ่งที่ไม่หายไป คือความรู้สึกวูบวาบในอก กับสัมผัสจากมือของเขาที่ยังติดอยู่ตรงเอว ไม่ว่าจะพยายามไล่ความรู้สึกนั้นแค่ไหนมันก็ยังฝังอยู่เหมือนเงาตามตัว
เซลีนยืนยิ้มให้ลูกค้าที่ทยอยเข้ามาในร้าน เสียงดนตรีเริ่มเปิดเพิ่มจังหวะตามเวลาที่คนเริ่มเต็มบาร์ แสงไฟจากสปอร์ตไลท์สาดไปมา ตกกระทบกับใบหน้าสวยหวานที่ไม่ได้แต่งเข้มแบบคนอื่นๆ หากแต่กลับดูน่ามองจนลูกค้าผู้ชายหลายคนมองกันไม่วางตา
“สั่งเครื่องดื่มหน่อยครับคนสวย” ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งพูดขึ้นยิ้มๆ เสียงเขาดังแทรกเข้ามาท่ามกลางเพลง และเสียงคนคุยกันเซ็งแซ่
“ได้ค่ะ” เซลีนรับคำด้วยรอยยิ้มบาง แต่ไม่ได้ส่งสายตาเล่นด้วยเหมือนที่พนักงานคนอื่นๆ ที่ทำ
หญิงสาวจัดเครื่องดื่มให้ลูกค้าเรียบร้อย เสี้ยววินาทีที่เขายื่นมือมารับ แววตาของเขากลับเปลี่ยนเป็นสนใจพนักงานสาวคนนี้อย่างเปิดเผย
“ชื่ออะไรเหรอครับ?”
“เซลีนค่ะ” เธอตอบสั้นๆ อย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงยังเจือความห่างเหิน
“ชื่อน่ารักจัง มีไอจีไหม เผื่อวันไหนพี่มาอีกจะได้ทักหา” ลูกค้าผู้ชายหน้าตาดีเล่นหูเล่นตากับเซลีน หากแต่อีกคนกลับไม่ได้สนใจเพราะโฟกัสงานเป็นหลัก
“เซย์ไม่ค่อยเล่นโซเชียลค่ะ” เธอปฏิเสธนิ่มๆ พลางเบี่ยงตัวไปหยิบแก้วใหม่เพื่อจัดเตรียมออเดอร์ต่อไป
เธอไม่ทันสังเกตเลยว่ามุมหนึ่งบนชั้นสอง มีสายตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังมองลงมา
ครินทร์ยืนกอดอกมองเซลีนในชุดยูนิฟอร์มสีดำสนิทของไนต์คลับนิ่งๆ เขาไม่ได้หวง แค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของที่กำลัง ‘เป็นของเขา’
เขายกโทรศัพท์ขึ้นมา กดเข้าแอคหลุมของไอจี เลื่อนดูโพสต์เก่าๆ ที่มีไม่เยอะนักของเซลีน
ชีวิตเซลีนไม่ต่างอะไรจากกระดาษเปล่า ไม่มีรอยขีด ไม่มีรอยขาด น่าทำลายให้ยับดีเหมือนกัน…
“พรุ่งนี้แกต้องไปงานแทนฉันที่โรงแรมคลิน”“ทำไมต้องเป็นผม พ่อใช้เฮียคิรันบ้างดิ” ครินทร์หัวเสียเล็กน้อย พรุ่งนี้ตั้งใจบินไปส่งเซลีนถึงญี่ปุ่นพร้อมกับอยู่ด้วยเจ็ดวัน แต่พ่อดันบอกให้ไปร่วมงานที่โรงแรมคลินในวันพรุ่งนี้คิระละสายตากจากแก้วชาในมือไปมองลูกชายด้วยแววตายากอ่านออก ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบกลับเสียงเรียบ“คิรันมีบินไปดูงานที่ฮ่องกงพรุ่งนี้กับเมียเหมือนกัน ส่วนฉันก็ไม่ว่าง เหลือแค่แกแล้วครินทร์”“แต่ผม…”“งานนี้สำคัญมาก แขกที่มาคือคุณริวกิ ทัตสึโอกะ นักธุรกิจฝั่งญี่ปุ่น และครอบครัวเราได้รับเกียรติให้เป็นฝ่ายต้อนรับเขาในครั้งนี้” คิระสวนลูกชายทั้งที่ยังพูดไม่จบ ตระกูล ‘ทัตสึโอกะ’ มีอิทธิพลมากในญี่ปุ่น เผื่อในอนาคตได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกันคงง่าย ถ้าหากครินทร์ไปร่วมงานและสร้างสัมพันธไมตรีกับทางนั้นได้อีกอย่างทางนั้นบอกเองอยากให้ครินทร์เป็นฝ่ายมาต้อนรับ จริงๆ เขาให้คิรันหรือไปเองได้ แต่ทางนั้นกำชับว่าต้องเป็นครินทร์ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ดีเหมือนกันลูกชายจะได้มีประสบการณ์ เพราะครินทร์ไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไรนัก“พ่อรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เซย์จะบินไปญี่ปุ่น? ผมสัญญากับเธอแล้วว่าจะไปด้วย”“
ยิ่งใกล้วันเซลีนบินไปญี่ปุ่นครินทร์ก็ยิ่งไม่อยากให้ไป เขานั่งบนโซฟาหนังราคาแพงสีดำ ทิ้งศีรษะไปพิงพนักด้านหลัง เซลีนยังคงใช้ชีวิตตามปกติผิดกับเขาโดยสิ้นเชิงตอนนี้สภาพเขาไม่ต่างจากหมาโบ้ที่ซึมเพราะกำลังจะได้ห่างจากเจ้าของ เขาสามารถบินไปหาเธอได้ก็จริง แต่ด้วยหน้าที่ของเขาที่นี่ก็มีเช่นกันทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้ตลอดครินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่สักพัก สายตาจ้องมองมือของตัวเองที่พาดอยู่บนตัก ราวกับพยายามหาคำพูดที่จะบอก แต่ใจมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้เซลีนเดินเข้ามาจากฝั่งหัวโซฟา เธอยิ้มบางๆ ก่อนโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากคนตัวโต ครินทร์ลืมตามอง ดวงตาของเธอสดใสและอบอุ่นเหมือนแสงแดดในตอนบ่าย“คิดอะไรอยู่คะ?” เซลีนถามเสียงนุ่มครินทร์ส่ายหัวเบาๆ จากนั้นดึงตัวขึ้นมานั่งให้เรียบร้อย เซลีนอ้อมตัวมานั่งข้างๆ ก่อนที่เขาจะซบใบหน้าลงบนไหล่ของเธอ“พี่ไม่อยากให้เซย์ไปญี่ปุ่นเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมสั่นเล็กน้อยราวกับกลั้นความเจ็บปวดจากการต้องห่างกันเซลีนยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเขาอย่างเบาๆ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งความอ่อนแอออกมา เธอรู้ทันทีว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค
สามวันต่อมา ชีวิตเซลีนยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การให้โอกาสครินทร์อีกครั้ง เมื่อก่อนทั้งเพื่อนและพี่ชายต่างไม่ชอบครินทร์ ทว่าตอนนี้เขาทำให้คนรอบข้างเธอต่างยอมรับ แต่พี่ชายของเธอก็ยังคงทำฟอร์มในบางครั้งบ่ายแก่ๆ ภายในมหา’ลัย แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารเรียน เงาตกลงบนพื้นคอนกรีตจนเกิดลวดลายเหมือนภาพวาด เสียงพูดคุยของนักศึกษาดังระงมจากทุกทิศ โรงอาหารกลางยังคงแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่อคิวซื้ออาหารและหาโต๊ะนั่งกันเต็มไปหมดเซลีนกับน้ำตาลเดินเคียงกันมาพร้อมถาดอาหารในมือ วันนี้เซลีนเลือกข้าวผัดโป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวไข่แดงไม่สุกมาก ส่วนน้ำตาลเลือกสลัดกับไก่ย่างชิ้นโตเพราะกำลังอินกับการนับแคล แต่สุดท้ายก็ไม่วายแอบซื้อนมเย็นแก้วใหญ่ติดมือมาด้วย“วันนี้คนเยอะเนอะ” น้ำตาลบ่นขณะกวาดสายตาหาโต๊ะว่าง“จริง รู้สึกว่าเยอะกว่าทุกวัน” เซลีนถามพลางเดินตามจังหวะฝีเท้าเพื่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ โรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุยกันอื้ออึง เสียงช้อนส้อมกระทบจานโชคดีที่มีโต๊ะว่างพอดีตรงมุมติดกระจก มองออกไปเห็นสนามหญ้ากว้างด้านนอกที่นักศึกษากำลังนั่งจั
“พี่เซนต์ก็เอากับเขาเหรอคะเนี่ย”เซลีนกอดอกยืนมองครินทร์และเซนต์ที่ยืนเรียงหน้ากระดาน เหมือนเด็กที่ความผิดแล้วกำลังถูกผู้ปกครองลงโทษ สายตาเซลีนมองสองหนุ่มอย่างเอาเรื่อง แต่คนที่น่าจะโดนหนักที่สุดน่าจะเป็น…พี่ชาย“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยเซย์” เซนต์สะดุ้ง หลังจากเจอฤทธิ์ก้านมะยมที่ฟาดใส่ขาอย่างแรงจนยกขาขึ้นแล้วลูบปอยๆ“สมควร ตอนแรกอยู่ข้างเซย์ ไหงไปอยู่ข้างคู่อริ”“ใครบอกพี่อยู่ข้างมัน มันลากพี่มาเอง” เซนต์โบ้ยความผิดให้ครินทร์ ทั้งที่ตอนมาที่นี่ถูกบังคับแค่ตอนลากขึ้นรถ เซนต์หลบสายตาน้องสาว น่าอายกว่าโดนก้านมะยมคือเห็นน้ำตาลกลั้นขำ “ขำอะไร”“ขำคนโดนก้านมะยม” น้ำตาลตอบ ตอนแรกรับปากว่าจะช่วยครินทร์ แต่ไม่ทันลงมือทำอะไร ไม่อย่างนั้นคงโดนหารก้านมะยมเหมือนสองคนนี้แน่ๆเซลีนหันก้านมะยมมาฝั่งครินทร์ หลังจากรู้ความจริงว่าแอบตามมาตั้งแต่แรก ครินทร์ยิ้มแห้งแล้วยกสองมือปรามเล็กน้อย“พี่แค่อยากมาง้อ…โอ๊ย!” โดนฟาดไปหนึ่งทีจนขาเป็นรอยแดง เซลีนมือหนักใช้ได้ ฟาดทีแสบไปทั่วขา เขาลูบจุดที่โดนฟาดปอยๆ สายตาช้อนมองเซลีนอย่างเว้าวอนว่าไม่เอาอีกแล้ว “พี่เจ็บแล้วครับ…”“เจ็บก็ดีจะได้จำ”“ขอโทษค้าบ”เซลีนพ่นลมหายใจออก
“ปล่อยเซย์นะ ไม่งั้นเซย์จะตะโกนดังๆ ให้คนช่วย!”“เอาเลย คนจะได้รู้ว่าเซย์เป็นเมียพี่” คนตัวโตยิ้มเจ้าเล่ห์ รั้งร่างบางเข้ามาใกล้จนแนบชิดมากขึ้น มือหนาเชยคางมนให้สบสายตา “พี่คิดถึงเซย์มากเลยรู้ไหม”“อื้อ~” เขากดจูบลงมาโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว สัมผัสที่ห่างหายไปนานทำหัวใจเต้นแรงได้ไม่ยากริมฝีปากร้อนรุ่มบดทับลงมาอย่างโหยหา ยิ่งดิ้นเขายิ่งกดจูบหนักแน่นขึ้น รสสัมผัสที่ขาดหายไปหลายเดือนเหมือนระเบิดความคิดถึงที่ครินทร์กดเก็บไว้จนแทบคลั่ง“อึก… อื้อ!” มือเล็กดันแผ่นอกแกร่ง แต่แรงต่างกันเกินไป ร่างสูงโอบเอวบางแน่นจนเธอแทบขยับไม่ได้ ความอุ่นจากอ้อมกอดบวกกับแรงจูบทำให้ขาเรียวสั่นไหวราวกับจะยืนไม่ไหว“พี่คิดถึงเซย์จนแทบบ้า” เสียงพร่าทุ้มหลุดออกมาแผ่วเบา ตอนที่ริมฝีปากยังคงคลอเคลียไม่ยอมถอนห่าง เขาละเลียดดูดดื่มซ้ำรอยเดิมอย่างหวงแหนน้ำตาที่เธอไม่รู้ว่ามาจากไหนเอ่อคลอขอบตา หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก เสียงคลื่นซัดฝั่งเป็นจังหวะพื้นหลังที่ทำให้ทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเธอทั้งอยากผลักเขาออกไป ทั้งอยากปล่อยให้จูบนั้นกลืนกิน เพราะความคิดถึงที่เก็บไว้ในใจ…มันไม่ต่างจากเขาเลย“อย่าผลักไสพี่อีกเลยได้ไหม”
หลังจากเข้าเช็คอินที่พัก สองสาวก็ออกมาถ่ายรูปเล่นแถวที่พัก เซลีนเลือกสวมชุดเดรสปาดไหล่สีขาวยาวประมาณเข่า ผมเปียเบี่ยงข้าง ปล่อยหน้าม้าเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เธอดูละมุนตา ส่วนน้ำตาลใส่เสื้อกล้ามสายเดี่ยวสีขาวโชว์แผ่นหลังขาวเนียนและกางเกงขายาวลายทางขาวฟ้า ผมทำเป็นลอนมาม่า“มุมนี้สวยเซย์ มายืนเดี๋ยวฉันถ่ายให้” น้ำตาลชี้นิ้วบอกเซลีน หญิงสาวก็ก้าวมายืนตามที่เพื่อนบอก เซลีนโพสต์ท่าไม่เก่งนักน้ำตาลก็คอยบรีฟให้เสียงหัวเราะคิกคักดังลั่น เรียกรอยยิ้มจากครินทร์ที่แอบอยู่มุมหนึ่งไม่ได้“เซย์สวยว่ะ สวยจนกูอดหวงไม่ได้”เซนต์กอดอกหรี่ตามองครินทร์แล้วส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา“กูไม่เข้าใจอย่างนึง มึงลากกูมาทำมะเขืออะไร” เซนต์พูดติดรำคาญที่โดนลากมาด้วย ตอนแรกครินทร์ขับรถออกไปแล้วแต่วนกลับมารับเขาให้มาเป็นเพื่อน เพราะเพื่อนสนิทมันไม่ว่างทั้งสองคน อุตส่าห์บอกว่าเซลีนอยู่ที่ไหนแล้วยังต้องพามันมาอีกเวรกรรมกูจริงๆ“อยู่เงียบๆ เดี๋ยวเมียกูก็รู้หรอกว่าตามมา”“ถ้ามึงเรียกน้องกูว่าเมียอีกรอบ กูเตะเสยคาง”“ไม่ใช่ตอนนี้ ในอนาคตเดี๋ยวก็ใช่เองแหละ” เขาพูดโดยไม่หันไปมองเซนต์ ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจแรงๆ ตอนแรกโทรหาจอ