เข้าสู่ระบบวันต่อมา
แสงแดดยามสายส่องลอดกระจกใสสะอาดของแผนกการเงิน เซลีนก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มือกำเอกสารแน่นขณะเดินผ่านทางเดินเงียบๆ ที่ได้ยินแค่เสียงรองเท้ากระทบพื้นและเสียงเครื่องปรินต์บางจุดในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ
“ขอพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินค่ะ นัดไว้ตอนสิบโมง”
เซลีนแจ้งพนักงาน พร้อมส่งบัตรประชาชนและเอกสารนัดหมายให้
พนักงานเช็กข้อมูลไม่กี่วินาที ก่อนพยักหน้าและชี้ไปยังห้องฝั่งขวา
“เชิญค่ะ”
เธอสูดหายใจลึก เดินเข้าไปข้างในด้วยหัวใจเต้นแรง ประตูเปิดออกเผยให้เห็นเจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนแต่งกายเรียบร้อยกำลังนั่งรออยู่หน้าโต๊ะ พร้อมเอกสารปึกหนึ่งวางเรียงกันอยู่
“เชิญนั่งก่อนค่ะ คุณเซลีนใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ”
“คุณแม่ของคุณได้รับการรักษาเป็นผู้ป่วยในในแผนก ตั้งแต่วันที่สิบสองที่ผ่านมา และตอนนี้ทางเรากำลังเตรียมแผนการรักษาไว้ให้ ซึ่งรวมถึงการผ่าตัดสมองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เบื้องต้นเราจะคุยรายละเอียดค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว และแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสำหรับขั้นตอนถัดไปค่ะ”
เซลีนพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าข้างในเริ่มหน่วง แต่พยายามตั้งใจฟังทุกคำของเจ้าหน้าที่
“นี่จะเป็นค่ารักษาพยาบาลในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ทั้งหมดเป็นเท่านี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่เลื่อนเอกสารมาให้เซลีนดูพร้อมกับใช้ปากกาจิ้มยอดเงินทั้งหมด
เซลีนอึ้งเล็กน้อย แต่พยายามไม่สะท้อนออกทางสีหน้า
“ยังไม่รวมค่าปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่จะทำการผ่าตัด และค่าวางมัดจำก่อนผ่าตัดค่ะ ส่วนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียกเก็บ แต่เราขอแจ้งล่วงหน้าไว้ก่อนว่า ค่ามัดจำเพื่อยืนยันคิว ซึ่งจะต้องชำระก่อนการผ่าตัดภายในอาทิตย์นี้”
เซลีนกลืนน้ำลายลงคอ เธอค่อยๆ พยักหน้า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ส่วนของยอดที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน ทางโรงพยาบาลจะออกเป็นใบแจ้งหนี้งวดแรกให้ค่ะ ต้องชำระภายในเจ็ดวันทำการนับจากวันนี้ หรือหากไม่สะดวก ทางเรามีแผนการผ่อนชำระร่วมกับสถาบันการเงินที่เป็นพาร์ตเนอร์ โดยสามารถเลือกแบ่งจ่ายได้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ส่งใบแผ่นเอสี่ให้เธอหนึ่งแผ่น เป็นเอกสารชี้แจงยอดค้างและตัวเลือกการผ่อน
“ในกรณีที่คุณเซลีนชำระยอดเต็มจำนวนภายในเจ็ดวัน จะไม่มีดอกเบี้ยใดๆ เพิ่มเติม แต่ถ้าต้องการผ่อนชำระ ต้องเซ็นเอกสารสมัครร่วมกับบริษัทการเงินของทางโรงพยาบาล เราจะส่งเรื่องไปให้พิจารณา และแจ้งผลภายในหนึ่งถึงสองวัน”
เซลีนหอบใจลึกๆ กัดริมฝีปากล่างแน่น เงินมากมายขนาดนั้นเธอคงหาไม่ทันตามกำหนด แต่จะทำยังไงได้ ชีวิตแม่เธอก็สำคัญไม่แพ้กัน
หลังจากคุยกับฝ่ายการเงินเสร็จสรรพ เซลีนเข้ามาเยี่ยมแม่ที่นอนอยู่บนเตียง
ก่อนหน้านี้เคยพาแม่ไปรักษาโรงพยาบาลรัฐแต่อาการไม่ดีขึ้น เธอตัดสินใจนำเงินเก็บทั้งหมดรวมถึงเงินที่พ่อเคยโอนเข้าบัญชี และเคยบอกว่าจะไม่แตะต้องมัน พาแม่มารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในราคาที่เอื้อมถึง เพราะอาการแม่ที่ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจนเธอเริ่มไม่ไหว แต่เธอก็ไม่เคยท้อที่จะรักษาแม่ให้หายดี
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เซย์จะทำทุกทางเพื่อหาเงินมารักษาแม่ เซย์จะไม่ยอมให้แม่เป็นอะไร…”
เธอหมุนตัวเดินออกจากห้องพักฟื้น ไม่อยากใช้ตัวเลือกนี้เลย เพราะมันจำเป็นจึงต้องยอม เธอมองเบอร์ของพ่อที่เป็นตัวเลือกสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็กดรับ
“พ่อคะ อาการแม่ทรุดหนักลงมากและต้องการผ่าตัดด่วน แต่เซย์ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น พ่อจะช่วยพวกเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมคะ” เธอรีบพูดในสิ่งที่ต้องการ แต่คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่พ่อที่ตอบกลับมา หากแต่เป็น…ภรรยาใหม่ของพ่อ
(นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกเหลือขอนี่เอง)
“ขอสายพ่อได้ไหมคะ”
(คงไม่ได้ คุณริวกิกำลังคุยงานกับลูกค้าคนสำคัญอยู่ เพราะงานนี้สำคัญกว่าพวกเหลือขออย่างพวกเธอ ไหนบอกว่าไม่ต้องการเงินของเขาไงหืม)
“เพราะมันจำเป็น แม่ต้องผ่าตัดด่วน”
(หึ นั่นมันคือปัญหาของเธอ แม่เธอ…ก็จัดการเองเอาสิ มาขอให้คุณริวกิช่วยทำไม)
“เซย์เป็นลูกเขา และ…”
(ก็แค่ลูกเมียเก่า ตอนนี้เขามีครอบครัวใหม่แล้ว บางที…เธอควรให้เกียรติภรรยาอย่างฉันด้วยนะ)
มือเล็กบีบโทรศัพท์ที่เอาแนบหูอยู่แน่น ก่อนจะรีบตัดสายทิ้งโดยไม่ตอบกลับปลายสาย คิดในใจ ไม่น่าโทรไปตั้งแต่แรก
“อ้าวเซย์ มาทำอะไรที่นี่”
“พี่แพมมี่…” เธอเรียกชื่อพี่ที่ทำงานเบาๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ “มาเยี่ยมแม่ค่ะ”
“แม่เราป่วยเหรอ”
“ค่ะ แล้วพี่แพมมี่ล่ะคะ มาทำอะไร”
“มาตรวจสุขภาพประจำปีน่ะ ว่าแต่แม่เราป่วยอะไร”
“เนื้องอกค่ะ”
“ตะ…ตายจริง! แล้วทุกอย่างโอเคไหม?” แพมมี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไป
“ไม่ค่ะ เซย์ต้องรีบหาเงินมาจ่ายค่าผ่าตัด”
“พี่พอจะช่วยอะไรเราได้ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แพมมี่” เธอฝืนยิ้มบางๆ
“พี่เข้าใจนะ เพราะพี่เองก็เคยผ่านจุดนี้มา ตอนนั้นพ่อพี่ป่วยต้องผ่าตัดเหมือนกัน แต่โชคดีที่คุณครินทร์ยื่นมือมาช่วย ครอบครัวของเขาสนิทกับหมอที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ทำไมเซย์ไม่ลองไปคุยกับเขาดู เผื่อเขาจะเมตตาช่วย”
แพมมี่กำลังส่องแสงสว่าง ให้คนที่กำลังหมองหม่นเจอทางออก เซลีนหลุบตาต่ำลงแล้วครุ่นคิด สิ่งที่แพมมี่พูดน่าสนใจ แต่ว่า…คนเหย่อหยิ่งอย่างเขา จะเหลียวแลพนักงานหน้าใหม่อย่างเธออยู่หรือไง
“คุณครินทร์เห็นแบบนั้น ใจดีมากนะ”
“ขอบคุณค่ะ ไว้เซย์จะลองดู…”
“ขอให้แม่เราหายไวๆ นะ”
เซลีนยิ้มบางๆ กับประโยคนั้น หลังจากแยกกับแพมมี่ เธอเดินกลับมาหาแม่ในห้องพักฟื้นอีกครั้ง มือเล็กเอื้อมไปจับมือของแม่มากุมเอาไว้ สายตามองหน้าแม่ที่ไม่ได้สติผ่านม่านน้ำตา
‘พี่เข้าใจนะ เพราะพี่เองก็เคยผ่านจุดนี้มา ตอนนั้นพ่อพี่ป่วยต้องผ่าตัดเหมือนกัน แต่โชคดีที่คุณครินทร์ยื่นมือมาช่วย ครอบครัวของเขาสนิทกับหมอที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ทำไมเซย์ไม่ลองไปคุยกับเขาดู เผื่อเขาจะเมตตาช่วย’
คำพูดของแพมมี่ฉายเข้ามาในหัว ดวงตาคู่สวยช้อนมองใบหน้าของแม่อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะยอมช่วยเธอไหม ลองมาหลายวิธีแล้ว กล้าบากหน้าโทรหาพ่อที่ทิ้งตัวเองและพี่ชายไปตั้งแต่ยังเด็กเพื่อขอให้ช่วย การเผชิญหน้ากับครินทร์และขอให้ช่วยคงไม่ยากเกินไป…
K1NG CLUB
“ผู้จัดการคะ เซย์อยากเจอเจ้านายค่ะ”
เดย์ที่กำลังยืนเช็กของและตาดูไอแพดอยู่ชะงัก ก่อนจะดึงสายตามามองเซลีนที่มาก่อนเวลาเข้างานเกือบสองชั่วโมง ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามในเรื่องนั้น
“มีธุระกับคุณครินทร์เหรอ”
“ค่ะ เซย์เจอเขาได้ไหม”
“วันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณครินทร์จะเข้าไหม พี่ไม่ได้รับแจ้งจากเขาตั้งแต่เช้าแล้ว” ปกติหากครินทร์เข้าร้านจะแจ้งตนก่อนเสมอ แต่วันนี้กลับเงียบกริบไร้วี่แวว เหมือนทุกครั้งที่ไม่เข้า
“มีเบอร์เขาไหมคะ”
“ธุระด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ” เดย์เอ่ยถามเซลีนพร้อมกับกดสายตามองนิ่งๆ
“ใช่ค่ะ เซย์…รบกวนผู้จัดการด้วยนะคะ”
เดย์พยักหน้ารับ ไม่รู้ธุระที่เซลีนมีต่อเจ้านายแต่มันคงสำคัญมาก เขารับโทรศัพท์จากเซลีนมากดเบอร์เจ้านายแล้วส่งคืนให้
“ขอบคุณค่ะ” เธอมองเบอร์โทรของครินทร์ที่ผู้จัดการให้มา ซึ่งเบอร์โทรเขาสวยมาก เพราะเธอไม่เคยเจอเบอร์โทรแบบนี้มาก่อน
“แต่ไม่รู้นายจะรับเบอร์แปลกไหม ลองโทรดู”
“ค่ะ”
เซลีนเดินมายังห้องน้ำแล้วกดโทรหาครินทร์อย่างไม่รีรอ เธอลุ้นว่าเขาจะรับสายไหม แต่เหมือนฟ้าดินเป็นใจ เพราะปลายสายกดรับสายอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮะ…ฮัลโหลค่ะ เซย์ค่ะนะคะ”
(เอาเบอร์ฉันมาจากไหน)
“เซย์ขอผู้จัดการมาค่ะ”
(มีธุระอะไร)
“พี่แพมมี่บอกว่าครอบครัวพี่ครินทร์รู้จักกับหมอที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาล แถมยังเคยช่วยพี่แพมมี่เรื่องการผ่าตัดของพ่อ”
(แล้ว?)
“ตอนนี้แม่เซย์ป่วยหนัก ต้องผ่าตัดด่วน แต่เซย์ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น…”
(อยากให้ฉันช่วย?)
“…ค่ะ” เธอตอบออกไปในที่สุด หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระดอนออกมาจากขั้ว เธอไม่รู้เขาจะช่วยไหม แต่ลึกๆ ก็ภาวนาให้เขา…มีเมตตาอย่างที่แพมมี่บอก “แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เซย์สัญญาจะชดใช้คืนให้พี่ครินทร์เองค่ะ”
(สองทุ่มฉันจะเข้าร้าน ค่อยมาคุยกับฉันอีกทีที่ห้องทำงานแล้วกัน)
“ดะ…ได้ค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ลังเล รอยยิ้มถูกระบายบนใบหน้าพร้อมกับน้ำตาที่คลอรอบเบ้า ความหวังที่ไกลริบหรี่ตอนนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม…
หลายปีต่อมาเสียงประกาศจากพิธีกรบนเวทีดังก้องไปทั่วลานหน้าคณะ ท่ามกลางบรรยากาศอบอวลด้วยความยินดีและความภาคภูมิใจของเหล่าบัณฑิตใหม่ วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจนแทบไม่มีเมฆ เสียงหัวเราะ เสียงชัตเตอร์ เสียงเรียกชื่อกันข้ามตึกดังระงมไปหมด มวลอากาศร้อนระอุปะปนกลิ่นดอกไม้ที่ผู้คนถือเต็มสองมือเซลีนอยู่ในชุดครุยสีดำสนิทกับผ้าพาดบ่าขลิบทองช่วยขับให้ผิวขาวผ่องของเธอโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ผมยาวถูกรวบตึงเรียบร้อยแต่เส้นเล็กๆ ที่หลุดออกมาเคลียกรอบกรอบหน้าทำให้เธอดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติจนน่ามองไม่วางตาร่างบางเดินยิ้มรับคำแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ และอาจารย์อย่างเป็นกันเอง ดวงตาเป็นประกายคล้ายมีแสงสะท้อนจากแววฝันที่ทำสำเร็จในวันนี้ เสียงกดชัตเตอร์ดังต่อเนื่องเมื่อเธอหันไปยิ้มให้กล้องครินทร์ยืนพิงรถหรูสีดำข้างถนน สายตามองเซลีนในชุดครุยด้วยแววอ่อนโยนที่คนอื่นไม่มีวันได้รับ วันนี้เธอโตขึ้นไปอีกขั้นแล้วภูมิใจในตัวเด็กคนนี้มากเขาเดินเข้าไปร่วมแสดงความยินดี พอเซลีนเห็นก็รีบเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจ เขาหยิบบางอย่างที่ถือมาด้วยแล้วยื่นให้“อะไรคะ?” เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเขายื่นบางอย่างมาให้“ลองเปิดดูสิ
ลานกิจกรรมของคณะเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงเชียร์ เสียงปรบมือ และเสียงตะโกนสลับกันไปมาไม่ขาดสาย ยามบ่ายอากาศร้อนอบอ้าวแต่กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าแต่คนละถูกเช็ดลวกๆแสงแดดสะท้อนจากผ้าใบกันแดดที่ขึงไว้เหนือหัวจนเกิดประกายแสบตา ทุกมุมของลานกว้างเต็มไปด้วยสีสันของลูกโป่ง ป้ายผ้า และสเปรย์โฟมที่ใช้ตกแต่งมุมถ่ายรูปรุ่นพี่เดินแจกน้ำให้รุ่นน้องที่นั่งเรียงกันอยู่ด้านหน้า แต่ละคนมีป้ายชื่อห้อยคอ มีของตกแต่งเล็กๆ ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองเสียงร้องเพลงดังขึ้นเป็นจังหวะพร้อมเสียงตบมือ เสริมด้วยกลองยาวที่รุ่นพี่เตรียมไว้ช่วยเพิ่มความครึกครื้นเข้าไปอีกเซลีนสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวเรียบง่าย ผมรวบสูงลวกๆ มีเส้นผมหลุดมาปรกแก้มบางส่วนแต่กลับดูเป็นธรรมชาติเธอเดินตรวจความเรียบร้อยให้รุ่นน้องกลุ่มตัวเอง มือถือขวดน้ำและผ้าเย็นไว้แจก แสงแดดกระทบผิวจนเกิดประกายวาวอ่อนๆ ทำให้เธอโดดเด่นท่ามกลางผู้คนโดยไม่รู้ตัวจนถึงช่วงเฉลยพี่รหัส หนุ่มตี๋ผิวขาวในชุดนักศึกษาเหมือนอาบน้ำวันละสิบรอบเดินตรงเข้าไปหาเซลีนพร้อมกระดาษคำใบ้“สวัสดีครับ ผมกร คำใบ้ในกระดาษ…ใช่พี่ไหมครับ”“อ่
ความสัมพันธ์ระหว่างครินทร์กับเซลีนดูราบรื่นแต่ก็มีทะเลาะกันตามประสาคู่รัก และทุกครั้งครินทร์เป็นฝ่ายยอมเพราะไม่อยากทำเรื่องให้เล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่สองคนไม่เคยทะเลาะกันจริงๆ จังๆ เวลาอีกคนไม่ชอบอะไรในตัวอีกคนก็จะคอยบอกปรับกัน เป็นเรื่องปกติเวลาคบกันนานขึ้นแล้วเจอข้อเสียของกันและกัน“พี่ครินทร์มีผู้หญิงทักมา เธอเป็นใครเหรอคะ?” เซลีนเดินเข้าไปหาครินทร์แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู“เธอชื่ออลิชา เป็นคนที่พี่ต้องไปคุยงานด้วยวันมะรืนนี้” เขารั้งเซลีนมานั่งบนตัก แขนโอบกอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะจุมพิตลงไหล่มนหนึ่งครั้งอย่างอ่อนโยน“แต่ชวนไปดื่มไวน์ด้วยเนี่ยนะคะ” เธอหลุบมองหน้าจอโทรศัพท์เขาที่มีข้อความจากผู้หญิงที่ชื่ออลิชาเด้งขึ้นมาเป็นข้อความชวนดื่มไวน์พอดี ก่อนจะชูให้เขาดูด้วยสายตาเอาเรื่องครินทร์รับโทรศัพท์มาอ่านข้อความ ในใจได้แต่คิดซวยแล้ว เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย ส่วนเรื่องคอนแทคส่วนตัวเขาไม่ได้เป็นคนให้ เธอคงไปขอจากคนอื่นมาอีกที“เซย์เชื่อใจพี่ไหมครับ”“ค่ะ”“ถ้างั้นเซย์เชื่อใจพี่เรื่องนี้ด้วยได้ไหม”“อธิบายมาสิคะ แล้วเซย์จะตัดสินใจเอง”ครินทร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้ว
“พรุ่งนี้แกต้องไปงานแทนฉันที่โรงแรมคลิน”“ทำไมต้องเป็นผม พ่อใช้เฮียคิรันบ้างดิ” ครินทร์หัวเสียเล็กน้อย พรุ่งนี้ตั้งใจบินไปส่งเซลีนถึงญี่ปุ่นพร้อมกับอยู่ด้วยเจ็ดวัน แต่พ่อดันบอกให้ไปร่วมงานที่โรงแรมคลินในวันพรุ่งนี้คิระละสายตากจากแก้วชาในมือไปมองลูกชายด้วยแววตายากอ่านออก ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบกลับเสียงเรียบ“คิรันมีบินไปดูงานที่ฮ่องกงพรุ่งนี้กับเมียเหมือนกัน ส่วนฉันก็ไม่ว่าง เหลือแค่แกแล้วครินทร์”“แต่ผม…”“งานนี้สำคัญมาก แขกที่มาคือคุณริวกิ ทัตสึโอกะ นักธุรกิจฝั่งญี่ปุ่น และครอบครัวเราได้รับเกียรติให้เป็นฝ่ายต้อนรับเขาในครั้งนี้” คิระสวนลูกชายทั้งที่ยังพูดไม่จบ ตระกูล ‘ทัตสึโอกะ’ มีอิทธิพลมากในญี่ปุ่น เผื่อในอนาคตได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกันคงง่าย ถ้าหากครินทร์ไปร่วมงานและสร้างสัมพันธไมตรีกับทางนั้นได้อีกอย่างทางนั้นบอกเองอยากให้ครินทร์เป็นฝ่ายมาต้อนรับ จริงๆ เขาให้คิรันหรือไปเองได้ แต่ทางนั้นกำชับว่าต้องเป็นครินทร์ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ดีเหมือนกันลูกชายจะได้มีประสบการณ์ เพราะครินทร์ไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไรนัก“พ่อรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เซย์จะบินไปญี่ปุ่น? ผมสัญญากับเธอแล้วว่าจะไปด้วย”“
ยิ่งใกล้วันเซลีนบินไปญี่ปุ่นครินทร์ก็ยิ่งไม่อยากให้ไป เขานั่งบนโซฟาหนังราคาแพงสีดำ ทิ้งศีรษะไปพิงพนักด้านหลัง เซลีนยังคงใช้ชีวิตตามปกติผิดกับเขาโดยสิ้นเชิงตอนนี้สภาพเขาไม่ต่างจากหมาโบ้ที่ซึมเพราะกำลังจะได้ห่างจากเจ้าของ เขาสามารถบินไปหาเธอได้ก็จริง แต่ด้วยหน้าที่ของเขาที่นี่ก็มีเช่นกันทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้ตลอดครินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่สักพัก สายตาจ้องมองมือของตัวเองที่พาดอยู่บนตัก ราวกับพยายามหาคำพูดที่จะบอก แต่ใจมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้เซลีนเดินเข้ามาจากฝั่งหัวโซฟา เธอยิ้มบางๆ ก่อนโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากคนตัวโต ครินทร์ลืมตามอง ดวงตาของเธอสดใสและอบอุ่นเหมือนแสงแดดในตอนบ่าย“คิดอะไรอยู่คะ?” เซลีนถามเสียงนุ่มครินทร์ส่ายหัวเบาๆ จากนั้นดึงตัวขึ้นมานั่งให้เรียบร้อย เซลีนอ้อมตัวมานั่งข้างๆ ก่อนที่เขาจะซบใบหน้าลงบนไหล่ของเธอ“พี่ไม่อยากให้เซย์ไปญี่ปุ่นเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมสั่นเล็กน้อยราวกับกลั้นความเจ็บปวดจากการต้องห่างกันเซลีนยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเขาอย่างเบาๆ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งความอ่อนแอออกมา เธอรู้ทันทีว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค
สามวันต่อมา ชีวิตเซลีนยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การให้โอกาสครินทร์อีกครั้ง เมื่อก่อนทั้งเพื่อนและพี่ชายต่างไม่ชอบครินทร์ ทว่าตอนนี้เขาทำให้คนรอบข้างเธอต่างยอมรับ แต่พี่ชายของเธอก็ยังคงทำฟอร์มในบางครั้งบ่ายแก่ๆ ภายในมหา’ลัย แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารเรียน เงาตกลงบนพื้นคอนกรีตจนเกิดลวดลายเหมือนภาพวาด เสียงพูดคุยของนักศึกษาดังระงมจากทุกทิศ โรงอาหารกลางยังคงแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่อคิวซื้ออาหารและหาโต๊ะนั่งกันเต็มไปหมดเซลีนกับน้ำตาลเดินเคียงกันมาพร้อมถาดอาหารในมือ วันนี้เซลีนเลือกข้าวผัดโป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวไข่แดงไม่สุกมาก ส่วนน้ำตาลเลือกสลัดกับไก่ย่างชิ้นโตเพราะกำลังอินกับการนับแคล แต่สุดท้ายก็ไม่วายแอบซื้อนมเย็นแก้วใหญ่ติดมือมาด้วย“วันนี้คนเยอะเนอะ” น้ำตาลบ่นขณะกวาดสายตาหาโต๊ะว่าง“จริง รู้สึกว่าเยอะกว่าทุกวัน” เซลีนถามพลางเดินตามจังหวะฝีเท้าเพื่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ โรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุยกันอื้ออึง เสียงช้อนส้อมกระทบจานโชคดีที่มีโต๊ะว่างพอดีตรงมุมติดกระจก มองออกไปเห็นสนามหญ้ากว้างด้านนอกที่นักศึกษากำลังนั่งจั







