LOGINตระกูลไกรวณิชคุณ
ครินทร์ก้าวลงจากรถหรูสีดำขลับเงาวับ ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปในงานแต่งพี่ชายที่ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านหลังใหญ่
เสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงคลอเบาๆ ภายในงานตกแต่งด้วยโทนขาวทอง ห้องโถงกว้างถูกเนรมิตเป็นงานแต่งหรูหราสมฐานะ แสงไฟอบอุ่นสะท้อนเข้ากับผ้าซาตินและลูกไม้ของโต๊ะจัดเลี้ยงที่ประดับดอกไม้สดนับพันจากต่างประเทศ
งานเริ่มขึ้นจนเกือบเสร็จพอดี อันที่จริงเขาบอกพ่อแม่ไว้แล้วว่าอาจมาช้าเพราะชินเวลาที่ฝรั่งเศส ต้องปรับเวลานอนใหม่ ซึ่งพ่อแม่เข้าใจและไม่ได้กดดันให้ต้องรีบมา
เขาเดินเข้าไปหาพี่ชายที่กำลังเดินทักทายแขกในงาน ที่เขามองออกตั้งแต่แรกว่ากำลังฝืน การแต่งงานครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างมีเหตุผลจำเป็น
“ใส่ชุดนี้ขึ้นเหมือนกันนะเฮีย” เขาเข้าไปทักทายพี่ชายด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“เพิ่งมาถึงเหรอ” เสียงทุ้มของพี่ชาย ‘คิรัน’ เอ่ยถามน้องชาย
“อือ ว่าแต่พี่สะใภ้ผมล่ะไปไหนแล้ว”
“ยืนยิ้มกว้างปากถึงหูอยู่นั่นไง”
เขามองตามสายตาพี่ชายไปยังนาเนียร์ที่กำลังยืนพูดคุยกับแขกด้วยท่าทีเกร็งๆ แต่ก็รับมือได้ดี รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาบนมุมปากหยัก
“นาเนียร์โตเป็นสาวแล้วสวยดีนะเฮีย ดูคนละคนกับตอนนั้นเลย แปลกใจทำไมเฮียไม่ชอบ” นาเนียร์ตรงสเปกเขาเหมือนกัน ตอนเด็กๆ ช่วงหนึ่งเคยชอบ แต่พอรู้ว่าโตขึ้นนาเนียร์ต้องแต่งงานกับพี่ชายเลยถอยบวกกับตอนนั้นยังเด็กเลยเลิกคิดเรื่องความรักไปง่ายๆ
“แล้วทำไมมึงถึงไม่มาแต่งเอง”
“ดวงเฮียเป็นดวงของคนมีเมีย ไม่ใช่ผม”
“ถ้าจะกวนส้นตีนกูก็กลับฝรั่งเศสไป”
เขาไม่ตอบเพียงแค่ขำเบาๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ สายตาจับจ้องไปยังนาเนียร์ที่เคยเจอกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กอ้วน ทว่าตอนนี้…โตเป็นสาวสวยสะพรั่งไปแล้ว
สวยขนาดพี่ชายเขายังไม่เลิกเกลียดอีก
“แต่จะว่าไปนาเนียร์ก็มีบางมุมที่เหมือน…” เขาเหลือบมองพี่ชาย เมื่อเจอสายตาคมกริบที่มองมาอย่างเอาเรื่อง หลังจากเกือบเผลอหลุดปากพูดชื่อต้องห้ามออกมา “ผมไปหาพ่อแม่ก่อนนะ”
ไม่รอให้โดนไล่ตะเพิดรีบชิงเพ่นหนีก่อน เดินมาก็เห็นแม่ที่ยิ้มหน้าบานและอ้าแขนรอกอดมาแต่ไกล
“ลูกชายแม่กลับมาแล้ววว” คนเป็นแม่อย่าง ‘คาร์เทียร์’ สวมกอดลูกชายด้วยความคิดถึงแถมยังกอดแน่นจนครินทร์ทำหน้าตาเหมือนจะขาดใจ
“แน่นไปคุณนาย”
“โอ๊ะ! ซอรี่จ้ะลูกเทวดา” คาร์เทียร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับลูบหัวลูกชายคนเล็กที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นเดือน
“พ่อล่ะครับ”
“นั่นไง” คาร์เทียร์ชี้ไปยังสามีที่กำลังยืนคุยกับกลุ่มเพื่อนอยู่ “เป็นไงบ้างไปอยู่ฝรั่งเศส ได้สาวผมทองกลับมาสักคนไหม”
“ผมไม่ชอบฝรั่ง ไปอยู่นู่นเหมือนถูกส่งไปขังคุกยังไงก็ไม่รู้ เพื่อนก็ไม่มี คิดถึงอาหารไทยแทบบ้า”
“ก็ลูกทำตัวไม่ดี พ่อทำแบบนั้นถูกต้องแล้ว ดีแล้วที่ได้กลับมาก่อนกำหนด”
“แม่ว่าเฮียกับนาเนียร์จะเป็นยังไงต่อ” เขาไม่พูดถึงเรื่องนั้นแต่พาแม่พูดเรื่องอื่นแทน
“คงสงสารหนูนาเนียร์มากกว่า แม่รู้นิสัยพี่เราดีว่าเป็นคนยังไง คิรันเกลียดนาเนียร์ตั้งแต่เด็กแล้ว ยิ่งมาแต่งงานกันแบบนี้แม่ว่าคงหนักเลย”
เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยืนมองพี่ชายและนาเนียร์ที่กำลังยืนต้อนรับแขกตามคำสั่งของพ่อ
หลังจากครินทร์ร่วมงานแต่งของพี่ชายเสร็จสรรพก็ออกจากงานทันที ชายหนุ่มขับรถมาเพื่อนที่ร้านนั่งชิวแถมทองหล่อที่ชอบมาสิงสถิต
ปึก!
ในขณะที่กำลังเดินเข้าร้านดันชนเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนออกมา
“ขะ…ขอโทษค่ะ” คนตัวเล็กที่ชนโดยไม่ตั้งใจเพราะรีบเกินไป รีบยกมือไหว้ขอโทษอย่างไม่รีรอ แล้วพอเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าเป็น…เขาคนนั้น รุ่นพี่ที่มหา’ลัยและคนที่ซื้อขนมกับเธอไปเมื่อวาน
“เจอกันอีกแล้วนะ”
แบบนี้เข้าทางเขาเลย…
“ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ เมื่อกี้เซย์ไม่ได้ตั้งใจ รีบไปหน่อย…”
“แล้วถ้าบอกว่าเป็นล่ะ” เขายักคิ้วแล้วเอ่ยถามกลับ สายตาจ้องมองเซลีนอย่างร้ายกาจ
“จะให้เซย์ทำยังไงคะ ในเมื่อขอโทษไปแล้ว” เธอตอบกลับ พลางหลุบตาต่ำมามองแผงอกแกร่งของเขา มือเล็กจิกขาแน่นด้วยความกังวล เธอยิ่งเป็นพวกไม่ชอบมีปัญหากับใคร แล้วครินทร์ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ
“เข้าไปดื่มด้วยกันก่อนไหม แล้วจะให้อภัย”
“เซย์ไม่ว่างค่ะ ขอตัวนะคะ” เธอเดินออกไปโดยไม่รอให้เขาตอบอะไรกลับ ขอโทษไปแล้วบวกกับเมื่อกี้ไม่ได้ชนแรงเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างวันนี้เธอรีบไปหาแม่ที่อยู่โรงพยาบาล
ครินทร์มองตามแผ่นหลังด้วยนัยน์ตาที่ดำมืดลง เป็นครั้งแรกที่โดนผู้หญิงปฏิเสธ แถมยังเป็นน้องสาวอริอีกต่างหาก ชายหนุ่มส่งเสียงเบาๆ ในลำคอก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่คิดตื้อเพราะไม่ใช่นิสัยของตัวเอง
“เมื่อกี้น้องสาวไอ้เซนต์มาที่นี่ เห็นเดินออกไปก่อนมึงมาแป๊บเดียวเอง” เมื่อตรีภพเห็นเพื่อนจึงเอ่ยบอก
“เดินชนกูเมื่อกี้” เขาตอบพลางหย่อนตัวนั่งลง “ชวนมาดื่มแต่ยัยนั่นปฏิเสธ”
“น้องเขากลัวมึงเปล่า” จอมทัพเสริม
“กูหล่อขนาดนี้เอาไรมาให้ผู้หญิงกลัว”
“แถวบ้านกูเรียกมั่นหน้า”
เขาไม่ได้สนใจคำพูดกระแนะกระแหนของจอมทัพ สักพักพนักงานก็เดินมาชงเหล้าให้
“น้องไอ้เซนต์มาทำไรที่นี่” คนแบบนั้นดูไม่ค่อยชอบดื่มชอบเที่ยว เลยอดสงสัยที่จะถามไม่ได้
“เห็นไอ้นิกซ์บอกว่าน้องไอ้เซนต์มาสมัครพาร์ทไทม์ แต่ไอ้นิกซ์มันรับอีกคนที่มาก่อนไปแล้ว มันเลยให้กรอกใบสมัครทิ้งเอาไว้ก่อน”
ครินทร์เอนหลังพิงโซฟาหนังแท้ ปลายนิ้วเรียวแตะขอบแก้วเหล้าแกว่งวนเบาๆ ราวกับมีความคิดบางอย่างวนในหัว
“สมัครพาร์ทไทม์งั้นเหรอ…” เขาพูดทวน ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปากแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม
“คราวนี้มึงคิดอะไรไม่ดีอยู่อีก”
“กูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าร้านกูกำลังขาดคนอยู่พอดี”
“ไอ้ครินทร์” จอมทัพเรียกชื่อเพื่อนเสียงต่ำ ราวกับรู้ทันความคิดไม่ดีบางอย่าง ถึงพวกเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเซนต์แต่ก็ใช่ว่าจะพานเกลียดคนรอบข้างที่ไม่รู้อิโน่อิเหน่ ผิดกับครินทร์โดยสิ้นเชิง
“มึงจะทำแบบนี้จริงๆ?” ตรีภพพูดเสริม
“แค่รับพนักงานเพิ่ม”
“มึงคิดว่าน้องเขาจะยอม?”
“ไอ้นิกซ์บอกน้องไอ้เซนต์กำลังหางานพาร์ทไทม์ทำ ถ้ากล้าเดินเข้ามากรอกใบสมัครร้านเหล้า มากรอกใบสมัครที่ผับกูก็คงไม่ยาก”
ตรีภพและจอมทัพหันหน้ามองกัน ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ครินทร์จะมีความคิดไม่ดี พวกเขาชักสงสารเซลีนรอแล้วสิ…
หลายปีต่อมาเสียงประกาศจากพิธีกรบนเวทีดังก้องไปทั่วลานหน้าคณะ ท่ามกลางบรรยากาศอบอวลด้วยความยินดีและความภาคภูมิใจของเหล่าบัณฑิตใหม่ วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจนแทบไม่มีเมฆ เสียงหัวเราะ เสียงชัตเตอร์ เสียงเรียกชื่อกันข้ามตึกดังระงมไปหมด มวลอากาศร้อนระอุปะปนกลิ่นดอกไม้ที่ผู้คนถือเต็มสองมือเซลีนอยู่ในชุดครุยสีดำสนิทกับผ้าพาดบ่าขลิบทองช่วยขับให้ผิวขาวผ่องของเธอโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ผมยาวถูกรวบตึงเรียบร้อยแต่เส้นเล็กๆ ที่หลุดออกมาเคลียกรอบกรอบหน้าทำให้เธอดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติจนน่ามองไม่วางตาร่างบางเดินยิ้มรับคำแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ และอาจารย์อย่างเป็นกันเอง ดวงตาเป็นประกายคล้ายมีแสงสะท้อนจากแววฝันที่ทำสำเร็จในวันนี้ เสียงกดชัตเตอร์ดังต่อเนื่องเมื่อเธอหันไปยิ้มให้กล้องครินทร์ยืนพิงรถหรูสีดำข้างถนน สายตามองเซลีนในชุดครุยด้วยแววอ่อนโยนที่คนอื่นไม่มีวันได้รับ วันนี้เธอโตขึ้นไปอีกขั้นแล้วภูมิใจในตัวเด็กคนนี้มากเขาเดินเข้าไปร่วมแสดงความยินดี พอเซลีนเห็นก็รีบเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจ เขาหยิบบางอย่างที่ถือมาด้วยแล้วยื่นให้“อะไรคะ?” เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเขายื่นบางอย่างมาให้“ลองเปิดดูสิ
ลานกิจกรรมของคณะเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงเชียร์ เสียงปรบมือ และเสียงตะโกนสลับกันไปมาไม่ขาดสาย ยามบ่ายอากาศร้อนอบอ้าวแต่กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าแต่คนละถูกเช็ดลวกๆแสงแดดสะท้อนจากผ้าใบกันแดดที่ขึงไว้เหนือหัวจนเกิดประกายแสบตา ทุกมุมของลานกว้างเต็มไปด้วยสีสันของลูกโป่ง ป้ายผ้า และสเปรย์โฟมที่ใช้ตกแต่งมุมถ่ายรูปรุ่นพี่เดินแจกน้ำให้รุ่นน้องที่นั่งเรียงกันอยู่ด้านหน้า แต่ละคนมีป้ายชื่อห้อยคอ มีของตกแต่งเล็กๆ ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองเสียงร้องเพลงดังขึ้นเป็นจังหวะพร้อมเสียงตบมือ เสริมด้วยกลองยาวที่รุ่นพี่เตรียมไว้ช่วยเพิ่มความครึกครื้นเข้าไปอีกเซลีนสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวเรียบง่าย ผมรวบสูงลวกๆ มีเส้นผมหลุดมาปรกแก้มบางส่วนแต่กลับดูเป็นธรรมชาติเธอเดินตรวจความเรียบร้อยให้รุ่นน้องกลุ่มตัวเอง มือถือขวดน้ำและผ้าเย็นไว้แจก แสงแดดกระทบผิวจนเกิดประกายวาวอ่อนๆ ทำให้เธอโดดเด่นท่ามกลางผู้คนโดยไม่รู้ตัวจนถึงช่วงเฉลยพี่รหัส หนุ่มตี๋ผิวขาวในชุดนักศึกษาเหมือนอาบน้ำวันละสิบรอบเดินตรงเข้าไปหาเซลีนพร้อมกระดาษคำใบ้“สวัสดีครับ ผมกร คำใบ้ในกระดาษ…ใช่พี่ไหมครับ”“อ่
ความสัมพันธ์ระหว่างครินทร์กับเซลีนดูราบรื่นแต่ก็มีทะเลาะกันตามประสาคู่รัก และทุกครั้งครินทร์เป็นฝ่ายยอมเพราะไม่อยากทำเรื่องให้เล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่สองคนไม่เคยทะเลาะกันจริงๆ จังๆ เวลาอีกคนไม่ชอบอะไรในตัวอีกคนก็จะคอยบอกปรับกัน เป็นเรื่องปกติเวลาคบกันนานขึ้นแล้วเจอข้อเสียของกันและกัน“พี่ครินทร์มีผู้หญิงทักมา เธอเป็นใครเหรอคะ?” เซลีนเดินเข้าไปหาครินทร์แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู“เธอชื่ออลิชา เป็นคนที่พี่ต้องไปคุยงานด้วยวันมะรืนนี้” เขารั้งเซลีนมานั่งบนตัก แขนโอบกอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะจุมพิตลงไหล่มนหนึ่งครั้งอย่างอ่อนโยน“แต่ชวนไปดื่มไวน์ด้วยเนี่ยนะคะ” เธอหลุบมองหน้าจอโทรศัพท์เขาที่มีข้อความจากผู้หญิงที่ชื่ออลิชาเด้งขึ้นมาเป็นข้อความชวนดื่มไวน์พอดี ก่อนจะชูให้เขาดูด้วยสายตาเอาเรื่องครินทร์รับโทรศัพท์มาอ่านข้อความ ในใจได้แต่คิดซวยแล้ว เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย ส่วนเรื่องคอนแทคส่วนตัวเขาไม่ได้เป็นคนให้ เธอคงไปขอจากคนอื่นมาอีกที“เซย์เชื่อใจพี่ไหมครับ”“ค่ะ”“ถ้างั้นเซย์เชื่อใจพี่เรื่องนี้ด้วยได้ไหม”“อธิบายมาสิคะ แล้วเซย์จะตัดสินใจเอง”ครินทร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้ว
“พรุ่งนี้แกต้องไปงานแทนฉันที่โรงแรมคลิน”“ทำไมต้องเป็นผม พ่อใช้เฮียคิรันบ้างดิ” ครินทร์หัวเสียเล็กน้อย พรุ่งนี้ตั้งใจบินไปส่งเซลีนถึงญี่ปุ่นพร้อมกับอยู่ด้วยเจ็ดวัน แต่พ่อดันบอกให้ไปร่วมงานที่โรงแรมคลินในวันพรุ่งนี้คิระละสายตากจากแก้วชาในมือไปมองลูกชายด้วยแววตายากอ่านออก ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบกลับเสียงเรียบ“คิรันมีบินไปดูงานที่ฮ่องกงพรุ่งนี้กับเมียเหมือนกัน ส่วนฉันก็ไม่ว่าง เหลือแค่แกแล้วครินทร์”“แต่ผม…”“งานนี้สำคัญมาก แขกที่มาคือคุณริวกิ ทัตสึโอกะ นักธุรกิจฝั่งญี่ปุ่น และครอบครัวเราได้รับเกียรติให้เป็นฝ่ายต้อนรับเขาในครั้งนี้” คิระสวนลูกชายทั้งที่ยังพูดไม่จบ ตระกูล ‘ทัตสึโอกะ’ มีอิทธิพลมากในญี่ปุ่น เผื่อในอนาคตได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกันคงง่าย ถ้าหากครินทร์ไปร่วมงานและสร้างสัมพันธไมตรีกับทางนั้นได้อีกอย่างทางนั้นบอกเองอยากให้ครินทร์เป็นฝ่ายมาต้อนรับ จริงๆ เขาให้คิรันหรือไปเองได้ แต่ทางนั้นกำชับว่าต้องเป็นครินทร์ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ดีเหมือนกันลูกชายจะได้มีประสบการณ์ เพราะครินทร์ไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไรนัก“พ่อรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เซย์จะบินไปญี่ปุ่น? ผมสัญญากับเธอแล้วว่าจะไปด้วย”“
ยิ่งใกล้วันเซลีนบินไปญี่ปุ่นครินทร์ก็ยิ่งไม่อยากให้ไป เขานั่งบนโซฟาหนังราคาแพงสีดำ ทิ้งศีรษะไปพิงพนักด้านหลัง เซลีนยังคงใช้ชีวิตตามปกติผิดกับเขาโดยสิ้นเชิงตอนนี้สภาพเขาไม่ต่างจากหมาโบ้ที่ซึมเพราะกำลังจะได้ห่างจากเจ้าของ เขาสามารถบินไปหาเธอได้ก็จริง แต่ด้วยหน้าที่ของเขาที่นี่ก็มีเช่นกันทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้ตลอดครินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่สักพัก สายตาจ้องมองมือของตัวเองที่พาดอยู่บนตัก ราวกับพยายามหาคำพูดที่จะบอก แต่ใจมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้เซลีนเดินเข้ามาจากฝั่งหัวโซฟา เธอยิ้มบางๆ ก่อนโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากคนตัวโต ครินทร์ลืมตามอง ดวงตาของเธอสดใสและอบอุ่นเหมือนแสงแดดในตอนบ่าย“คิดอะไรอยู่คะ?” เซลีนถามเสียงนุ่มครินทร์ส่ายหัวเบาๆ จากนั้นดึงตัวขึ้นมานั่งให้เรียบร้อย เซลีนอ้อมตัวมานั่งข้างๆ ก่อนที่เขาจะซบใบหน้าลงบนไหล่ของเธอ“พี่ไม่อยากให้เซย์ไปญี่ปุ่นเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมสั่นเล็กน้อยราวกับกลั้นความเจ็บปวดจากการต้องห่างกันเซลีนยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเขาอย่างเบาๆ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งความอ่อนแอออกมา เธอรู้ทันทีว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค
สามวันต่อมา ชีวิตเซลีนยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การให้โอกาสครินทร์อีกครั้ง เมื่อก่อนทั้งเพื่อนและพี่ชายต่างไม่ชอบครินทร์ ทว่าตอนนี้เขาทำให้คนรอบข้างเธอต่างยอมรับ แต่พี่ชายของเธอก็ยังคงทำฟอร์มในบางครั้งบ่ายแก่ๆ ภายในมหา’ลัย แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอาคารเรียน เงาตกลงบนพื้นคอนกรีตจนเกิดลวดลายเหมือนภาพวาด เสียงพูดคุยของนักศึกษาดังระงมจากทุกทิศ โรงอาหารกลางยังคงแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่อคิวซื้ออาหารและหาโต๊ะนั่งกันเต็มไปหมดเซลีนกับน้ำตาลเดินเคียงกันมาพร้อมถาดอาหารในมือ วันนี้เซลีนเลือกข้าวผัดโป๊ะหน้าด้วยไข่ดาวไข่แดงไม่สุกมาก ส่วนน้ำตาลเลือกสลัดกับไก่ย่างชิ้นโตเพราะกำลังอินกับการนับแคล แต่สุดท้ายก็ไม่วายแอบซื้อนมเย็นแก้วใหญ่ติดมือมาด้วย“วันนี้คนเยอะเนอะ” น้ำตาลบ่นขณะกวาดสายตาหาโต๊ะว่าง“จริง รู้สึกว่าเยอะกว่าทุกวัน” เซลีนถามพลางเดินตามจังหวะฝีเท้าเพื่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ โรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุยกันอื้ออึง เสียงช้อนส้อมกระทบจานโชคดีที่มีโต๊ะว่างพอดีตรงมุมติดกระจก มองออกไปเห็นสนามหญ้ากว้างด้านนอกที่นักศึกษากำลังนั่งจั







