ในลานฝึกกว้างใหญ่ เนทีรี่ยืนกอดอกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “รู้ไหมว่าพ่อแกมีปีก?” เธอเอ่ยขึ้นลอย ๆ ก่อนที่แดเรียสจะตอบอะไร เนทีรี่ก็จับแขนเขาแล้วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“อะไรวะ!? เนทีรี่! ปล่อย!” “อยากบินไหม?” เธอหัวเราะแล้วปล่อยเขาดิ่งลงมา แดเรียสร้องลั่น ลมปะทะใบหน้า ร่างของเขาร่วงผ่านก้อนเมฆลงมาสู่แม่น้ำข้างล่าง...ก่อนจะถูกโฉบขึ้นอีกครั้ง “นี่มันทรมานกันชัด ๆ!” “ไม่หรอก! แกบินได้ แค่ยังไม่รู้ตัว!” การฝึกวันแรกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะของเนทีรี่เพียงแค่คนเดียว แต่ในขณะเดียวกันร่างกายของแดเรียสก็ถูกบังคับให้แสดงศักยภาพสูงสุด นี่คือการเรียกสายเลือดปีศาจที่อยู่ในตัวเขาให้ตื่นขึ้น เสียงเหล็กกระทบดังก้องกลางลานฝึกที่เปียกชื้นจากฝนตกเมื่อตอนเย็น แดเรียสหอบหายใจหนัก มือทั้งสองกำดาบไม้จนสั่น ก่อนจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายตรงหน้าอีกครั้งด้วยแรงฮึดสุดท้าย เพี๊ยะ! ด้ามดาบของเจซซี่บิดรับก่อนพลิกตีกลับอย่างแม่นยำ ร่างของแดเรียสถูกสกัดลงพื้น เสียงล้มกระแทกดินดังสนั่น เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ก่อนจะทันได้ตั้งตัว เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น “ลุก!” เจซซี่ตวาด ดวงตาเรียวสีอำพันจ้องเขม็ง “แกคิดว่าพ่อแกจะยอมให้แกโตมาอ่อนแอแบบนี้เหรอ?” แดเรียสกัดฟัน หยัดตัวขึ้นช้า ๆ “พ่อเหรอ...? เขาไม่เคยสอนฉันเรื่องดาบด้วยซ้ำ” คำพูดนั้นทำให้เจซซี่ชะงัก ดวงตาเธออ่อนแสงลง เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะกระซิบ “อดัม...ช่วยฉันไว้ตอนฉันยังเด็ก...” เธอหันหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ “เขาไม่ได้เป็นแค่ราชาปีศาจนะ...แต่เป็นพ่อคนหนึ่งด้วย” — ฉากย้อนอดีต กลางซากหมู่บ้านที่ถูกไฟเผา แสงสีแดงสาดไปทั่วฟ้า เด็กหญิงคนหนึ่ง—เจซซี่วัย 7 ขวบ—กอดร่างไร้วิญญาณของแม่ไว้แน่น น้ำตาเปื้อนแก้ม ดิน ไฟ และเลือด ท่ามกลางเสียงปีศาจคำรามในความมืด ทันใดนั้น เงาร่างสูงสง่าในชุดเกราะดำก้าวออกจากม่านเพลิง ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนแสงไฟเหมือนเทพสงคราม—อดัม เขากวาดดาบเพลิงเพียงครั้งเดียว ทุกสิ่งรอบข้างก็สงบ “เธอชื่ออะไร” เขาถามด้วยเสียงนุ่มลึก “เจ...เจซซี่...” อดัมชะโงกลง ยื่นมือมา “ถ้าไม่มีใครปกป้องเจ้าอีก...เจ้าจะปกป้องตัวเองได้ไหม?” เด็กหญิงพยักหน้าทั้งน้ำตา “ดี...จำไว้ว่า พลังไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เพื่อไม่ให้ใครต้องร้องไห้อีก” เขาพาเธอจากหมู่บ้านนั้น ไปยังเมืองของเขา ณ ที่ชั้นใต้ดิน—ที่ซึ่งอดัมเริ่มปลุกปั้นเธอให้ใช้ชีวิตใหม่ ฝึกให้เธอรู้จักการต่อสู้ การคิด และอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในโลกที่ไร้ความเมตตา เจซซี่ยกมือจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่ข้างลำคอเล็ก ๆ ของตัวเอง—สร้อยดวงตาเพลิง ที่อดัมเคยให้ไว้ “เขาเคยบอกว่า...วันหนึ่งจะมีเด็กคนหนึ่งที่ทำให้โลกเปลี่ยนได้” เธอกระซิบขณะมองแดเรียส — กลับมาปัจจุบัน แดเรียสยืนเงียบ มองเจซซี่ในแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอไม่ได้แข็งแกร่งเพราะอยากเป็น...แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น “เจ้าอยากเก่งเพื่ออะไร?” เจซซี่ถาม ดาบไม้ในมือตั้งตรง แดเรียสนิ่งไป ก่อนจะตอบช้า ๆ “เพื่อปกป้องคนที่สำคัญ...เหมือนที่พ่อของเธอเคยทำกับเธอ” เจซซี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโยนดาบไม้เล่มใหม่ให้ “งั้นเริ่มใหม่...และคราวนี้ ถ้าล้ม—เจ้าจะต้องลุกให้เร็วกว่าเดิม” เสียงดาบเริ่มปะทะกันอีกครั้ง—แต่ครั้งนี้ แรงของแดเรียสไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจาก คำสาบานเงียบ ๆ ในใจ “ฉันจะไม่ใช่แค่รอดชีวิต...แต่จะเป็นผู้เปลี่ยนชะตาทุกสิ่ง อย่างน้อยก็ขอ ขอให้ฉันได้เป็นคนที่ดีคนนึงให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจสักครั้งเถอะ” “ถ้าแกยังหายใจหนักขนาดนั้น แกไม่มีทางลอบฆ่าใครได้” ริคค่อนกระซิบข้างหูขณะกดหัวแดเรียสให้แนบกับพื้นป่า กลิ่นดินชื้นลอยแตะจมูก เสียงใบไม้สั่นไหวเบา ๆ ทุกจังหวะคือการฝึกเพื่ออยู่ในเงามืด—เงาที่นักฆ่าอาศัยอยู่ แดเรียสหายใจช้าลง เขาพยายามควบคุมร่างกายให้เบาที่สุด ขยับตามริดม่อนที่โผพุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน ป่ากลางค่ำคืนเหมือนกลืนร่างพวกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของมัน อีกมุมหนึ่งของฐานฝึก เสียงปืนดังสนั่นกลางอากาศ เปรี้ยง! เท็นขมวดคิ้วก่อนจะเดินมาคว้าปืนจากมือแดเรียส “นี่ไม่ใช่เกม!” เขาตะคอก “เล็งแบบนักฆ่า ไม่ใช่เด็กเล่นปืน” จากนั้นโยนกระสุนใส่มือเด็กหนุ่มอย่างแรง “โหลดซะ แล้วทำใหม่ให้แม่นกว่าที่ผ่านมา” แดเรียสกัดฟันแน่น แต่กลับไม่หวั่น เขาทำตามทันที เวลาผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางแสงจันทร์และไฟแคมป์ริบหรี่ ริคค่อนนั่งอยู่ข้างกองไม้ ฟังเสียงธรรมชาติพลางลับมีด ริดม่อนเทน้ำจากกระบอกใส่กระติก ส่วนเท็นก็ยังทำหน้าบึ้งแต่ไม่ได้พูดอะไรมากเหมือนเดิม “เด็กนั่นเริ่มกลั้นหายใจได้นานกว่ารอบก่อน ๆ แล้วนะ” ริดม่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อืม...ไอ้หมอนั่นเรียนรู้ไว” ริคค่อนพยักหน้า “พอมีวินัยขึ้นหน่อย เขาอาจเร็วกว่าฉันตอนวัยเดียวกันด้วยซ้ำ” เท็นปรายตามองพวกเขาเล็กน้อยแล้วหันกลับไปทำความสะอาดปืน เสียงเขาดังขึ้นโดยไม่มองหน้าใคร “ตอนฉันฝึกปืนเดือนแรก ยังยิงโดนต้นไม้ข้างหลังเป้าอยู่เลย” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนพูดว่า “หมอนั่น...มันไม่ธรรมดา” ทั้งสามเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงลมหวิวผ่านใบไม้เหมือนคล้ายเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น ในเงามืดของค่ำคืน แดเรียสยังคงฝึกซ้อม เขาล้มลง ลุกขึ้น เล็ง แล้วยิง แม้ไม่มีใครบอกตรง ๆ แต่ในสายตาของผู้ฝึก...เขาคือความหวังใหม่—เงาแห่งอนาคตที่อาจเร็วกว่า แรงกว่า และแม่นกว่าใครทั้งหมด เสียงระเบิดเวทมนตร์ดังกึกก้องกลางลานฝึก บึ้ม!! กลุ่มควันพวยพุ่ง แสงไฟสว่างวาบ ก่อนที่ร่างของแดเรียสจะลอยกระแทกพื้น กลางวงเวท แรนดี้ยืนสงบนิ่ง เปลือกตาหลับลง ขณะธาตุทั้งสี่—ดิน, น้ำ, ลม และไฟ—หมุนวนรอบตัวเขาอย่างเป็นจังหวะ ดุจการเต้นรำของธรรมชาติ แดเรียสพยายามควบคุมพลังเวทที่เพิ่งเริ่มตื่นขึ้นในตัว แต่ธาตุทั้งหลายกลับสับสน ปะทะกันและระเบิดใส่เจ้าตัวเอง “อีกแล้วเหรอวะ!” แดเรียสพึมพำขณะปัดเปลวไฟออกจากเสื้อยับ ๆ ทันใดนั้นเอง วากาบ้า—ชายร่างสูงแกร่งผู้เป็นโค้ชสายถึก เดินเข้ามาพร้อมโล่ห์เหล็กที่หนักจนพื้นดินแทบทรุด “ยืนให้มั่น! หายใจให้ช้า จินตนาการว่าแกกำลังฝึกอยู่ใต้ทะเลลึก...” ยังไม่ทันจบประโยค เขาโยนโล่ห์ใส่แดเรียส โครม! “รับไปซะ! จะได้รู้ว่าต้อง ‘ถึก’ แค่ไหนถึงจะรอดในสนามจริง!” แดเรียสหน้าคะมำอีกรอบ โล่ห์เหล็กครึ่งตัววางทับเขาจนขยับแทบไม่ได้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบา ๆ ของแรนดี้ อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา—ร่างเล็ก ผมสั้นประบ่า มีเขาเล็ก ๆ คล้ายมงกุฎหินขึ้นที่หน้าผาก นิว เด็กหญิงเผ่าไททันผู้เงียบขรึม น่ารัก และอันตรายอย่างเหลือเชื่อเวลาสอน “พอได้แล้ววาก้า เขาจะหักซี่โครงเอา” นิวกล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะยกโล่ห์เหล็กด้วยมือเดียวแล้วโยนมันออกไปราวกับขนนก เธอหันมาทางแดเรียส ดวงตาสีเทาของเธอจ้องเขาอย่างสงบนิ่ง “ฟังนะ...เกราะไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่มันเป็นร่างกายที่สอง” เธอชูแขนขึ้น ก่อนที่ร่างกายจะเปล่งแสงเบา ๆ และเปลี่ยนผิวหนังให้กลายเป็นเกราะหินเนื้อโลหะที่ประสานกับกล้ามเนื้อแนบเนียน “การแปลงร่างของไททันคือสมดุลระหว่างการยืนหยัดกับการโต้กลับ” เธอกระทืบเท้าเบา ๆ พื้นสั่นสะเทือน แค่ครั้งเดียวก็ทำให้ดินตรงหน้าแตกร้าว “และตอนที่แกคิดว่าชั้นน่ารัก แกแพ้ไปแล้วหนึ่งจังหวะ” นิวกล่าวอย่างเย็นชา แล้วกระชากแดเรียสให้ลุกขึ้น “มา...ฉันจะสอนวิธีใช้เกราะให้กลายเป็น ‘หมัด’” หลายชั่วโมงผ่านไป แดเรียสหอบหายใจ มือช้ำ แขนชา และยังคงโดนกลิ้งจากแรงเตะของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนเดิม “พระเจ้า...เธอโหดยิ่งกว่าเท็นอีก...” แดเรียสบ่น ขณะที่นิวเหงื่อซึมเล็กน้อย แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย “เธอคือภัยเงียบ...ที่ถึกที่สุดในทีมนี้เลยว่ะ” แรนดี้หัวเราะเบา ๆ พลางชูนิ้วโป้งให้นิว ภายใต้เหงื่อและเสียงระเบิด แดเรียสเริ่มจับจังหวะเวท เริ่มกลั้นลมหายใจได้ดีขึ้น และเริ่มแปลงผิวบางส่วนให้กลายเป็นโลหะชั่วขณะ แม้ยังไม่สมบูรณ์...แต่ทุกคนเห็นแล้ว—เขากำลัง “เปลี่ยน" วันที่ห้า แดเรียสยืนอยู่กลางลาน ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยแผล ปีกปีศาจกางออกเต็มความยาว หลังจากตกไปนับสิบรอบ ในที่สุดเขาก็บินได้ด้วยตนเอง อีธานกับลุงจันทร์มายืนดูห่าง ๆ สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มปนเศร้า “เขาโตแล้วสินะ” อีธานกล่าว ราฟาเอลเดินเข้าไปหาแดเรียสกลางลาน “พอแล้ว...สำหรับตอนนี้” “ฉันยังฝึกต่อได้นะ!” “แกไม่รู้หรอกว่าเลือดของใครไหลอยู่ในตัวแก...แต่พวกเรารู้” ราฟาเอลเอามือแตะแขนเขาเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้า “อดัม...เอวา...ลูกของพวกท่านเติบโตแล้ว” แสงสุดท้ายของวันสาดส่องลานฝึก เสียงลมหายใจของแดเรียสกลายเป็นจังหวะมั่นคง ราวกับหัวใจแห่งสงครามได้เริ่มเต้นอีกครั้ง ปิดท้าย ราฟาเอล พึมพำเบาๆท่ามกลางห้องของตัวเองว่า ถึงเราจะปกป้องพ่อของท่านไม่ได้ แต่เราจะปกป้องลูกชายของท่านให้ได้ เอวา.. ต่อจากนี้คือการลงสนามจริงครั้งแรกของแดเรียสเสียงของฝนตกกระทบหลังคาเก่า ๆ ดังก้องอยู่ในหูของแดเรียส ขณะที่เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง — สถานที่ที่เขาและราฟาเอลใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมลับ ๆ หลังเหตุการณ์ปะทะกับอสูรก่อนหน้านี้ โลกภายนอกเย็นเยียบ ราวกับสะท้อนความรู้สึกในใจเขา "อีกครั้ง" เสียงราฟาเอลดังก้องในความทรงจำ — เสียงที่ทั้งเข้มงวดและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ราวกับถูกพัดพา แดเรียสจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อน — หลังจากเขาได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด ราฟาเอลไม่ได้เลือกพาเขาไปหาหมอธรรมดา หากแต่เลือกสอนบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่า: การ "เยียวยาตนเอง" แฟลชแบ็ค – โรงพยาบาลร้าง, กลางคืน "หลับตา" ราฟาเอลสั่งเบา ๆ ในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์รำไร "ฟังเสียงเลือดของตัวเองให้ดี" แดเรียสกำหมัดแน่น ร่างกายเขาสั่นด้วยพิษไข้และบาดแผลที่ไม่หายซักที ความเจ็บแสบแล่นทั่วร่าง ทว่าเขาก็ทำตาม — หลับตาลง กัดฟันกรอด ราฟาเอลนั่งคุกเข่าข้าง ๆ วางมือเบา ๆ บนบ่าของเด็กหนุ่ม
ในลานฝึกกว้างใหญ่ เนทีรี่ยืนกอดอกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “รู้ไหมว่าพ่อแกมีปีก?” เธอเอ่ยขึ้นลอย ๆ ก่อนที่แดเรียสจะตอบอะไร เนทีรี่ก็จับแขนเขาแล้วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า“อะไรวะ!? เนทีรี่! ปล่อย!”“อยากบินไหม?” เธอหัวเราะแล้วปล่อยเขาดิ่งลงมา แดเรียสร้องลั่น ลมปะทะใบหน้า ร่างของเขาร่วงผ่านก้อนเมฆลงมาสู่แม่น้ำข้างล่าง...ก่อนจะถูกโฉบขึ้นอีกครั้ง“นี่มันทรมานกันชัด ๆ!”“ไม่หรอก! แกบินได้ แค่ยังไม่รู้ตัว!”การฝึกวันแรกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะของเนทีรี่เพียงแค่คนเดียว แต่ในขณะเดียวกันร่างกายของแดเรียสก็ถูกบังคับให้แสดงศักยภาพสูงสุด นี่คือการเรียกสายเลือดปีศาจที่อยู่ในตัวเขาให้ตื่นขึ้นเสียงเหล็กกระทบดังก้องกลางลานฝึกที่เปียกชื้นจากฝนตกเมื่อตอนเย็น แดเรียสหอบหายใจหนัก มือทั้งสองกำดาบไม้จนสั่น ก่อนจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายตรงหน้าอีกครั้งด้วยแรงฮึดสุดท้ายเพี๊ยะ!ด้ามดาบของเจซซี่บิดรับก่อนพลิกตีกลับอย่างแม่นยำ ร่างของแดเรียสถูกสกัดลงพื้น เสียงล้มกระแทกดินดังสนั่น เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ก่อนจะทันได้ตั้งตัว เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น
เสียงลมหายใจเงียบงันของกลางคืนคล้ายจะเลือนหายไปในความสงัด เมื่อ “ประตูมิติ” กรีดผ่านผืนอากาศเบื้องหน้าภูเขาสูงชันในป่าทึบ เสียงกรีดร้องของพลังลี้ลับบิดเบี้ยวแสงรอบข้าง บิดผันเป็นรอยแยกสีฟ้าอมม่วงเรืองแสง ลานหินวงกลมกลางป่าซึ่งไม่ปรากฏในแผนที่ใดบนโลกมนุษย์—ที่ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ระหว่างรอยต่อแห่งกาลเวลาจากเงาไม้ทึบ ชายชราผู้สวมผ้าฝ้ายสีดินเก่าขาด เดินออกมาช้า ๆ ไม้เท้าไม้ไผ่ในมือข้างหนึ่งกดลงพื้นเป็นจังหวะ ลมหายใจของเขาหนักแน่นแต่เนิบช้า ลุงจันทร์—ผู้เฝ้าประตู ด่านเชื่อมโลกทั้งสาม ผู้เคยหายตัวไปนานกว่าทศวรรษ ปรากฏตัวอีกครั้งเขาเดินตรงไปยังใจกลางลานหิน ที่ซึ่งมีบุรุษคนหนึ่งนั่งหลับตานิ่ง—อีธาน พ่อของแดเรียส เงาสะท้อนในดวงตาลุงจันทร์บ่งบอกถึงความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเมตตา ความเศร้า และความรู้สึกผิดบางอย่างที่ฝังแน่นในใจมานาน“โลกกำลังจะเปลี่ยน...” ลุงจันทร์พูดเบา ๆ ราวกับสายลมพัดพาเสียงผ่าน “เด็กคนนั้น...จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”แสงจันทร์ส่องลอดร่มไม้ ฉาบร่างอีธานไว้ในความสงบ เขาลืมตาช้า ๆ “ผมจำได้ ว่าท่านเคยเตือนผมเรื่องนี้...ตั้งแต่วันแรก”
หลังการต่อสู้ เจซซี่กับราฟาเอลพาแดเรียสกับอีธานหนีไปยังฐานลับแถวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นั่น แดเรียสได้เรียนรู้เรื่อง “กลุ่มปฏิวัติ” ซึ่งต่อต้านสิ่งมีชีวิตจากเงามืดที่กำลังรุกรานโลก และพบเจอกับคนอื่นๆ ทั้งปกติและทั้งรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดเจซซี่กล่าวว่า“เรารู้ว่ามันคือใคร... เราเรียกมันว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ พร้อมเปิดภาพชายมีปีกขนดำสนิทเหมือนในฝัน — นามนั้น คืออากัส ผู้ปกครองของเหล่าเดอะฟอล“มันมี ‘ดิอาย’ หนึ่งในอาวุธโบราณ...” ราฟาเอลเสริมหลังเรื่องราวที่ยังคงวุ่นวาย อีธานกับแดเรียส พ่อลูกนั่งคุยกัน แดเรียสร้องไห้พร้อมขอโทษผู้เป็นพ่อที่เขาเป็นสัตว์ประหลาด แต่อีธานก็ยิ้มแล้วกอดลูกพร้อมบอกว่าลูกไม่ใช่สัตว์ประหลาด ลูกคือคนที่พิเศษต่างหากจากนั้นเจซซี่ก็พาแดเรียสมารู้จักคนอื่นๆในกลุ่มเนทีรี่ ราชินีแห่งโลกมังกร ผมขาว ผิวขาว นิสัยใจดีนิว มาจากเผ่าพันธุ์ไททัน เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ร่าเริงกาวาบ้า ครึ่งเผ่าพันธุ์เทวรูปครึ่งเผ่าพันธุ์ทะเล ตัวสูงใหญ่นิสัยใจดี รักพวกพ้อง มีเคราเป็นปลาหมึก
"ในค่ำคืนหนึ่ง ที่หมอกเย็นกัดผิวและเงามืดกอดกุมมหานคร... ลมหายใจของรัตติกาลพัดผ่านม่านหมอกเหน็บหนาว แดเรียสสะดุ้งตื่นจากความฝันอันลึกล้ำ — ฝันที่ดั่งเปลวเพลิงเผาใจเขาจนแทบมอดไหม้ ในฝันนั้น เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากปรักพัง เงาดำปกคลุมฟ้า อีกาสีดำตัวมหึมาเกาะอยู่บนตึกสูงสุดของมหานคร มันกรีดร้องก้องฟ้า เหมือนประกาศจุดจบของมนุษยชาติ เสียงระเบิด เสียงร้องไห้ และกลิ่นเลือดคละคลุ้ง ทุกอย่างย่อยยับป่นปี้ กลางเมืองย่อยยับนั้น ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ เงาของเขาราวปีศาจจากบาดาล ปีกสีดำปานค้างคาว ปกคลุมด้วยขนนกกา สายตาเย็นชาไร้ความปรานี มองตรงมาที่เขา — แดเรียส เขาตื่นขึ้นมา ใจเต้นโครมคราม เด็กหนุ่มคนหนึ่งสะดุ้งตื่นจากฝันที่คล้ายภาพลางร้าย เขาหอบหายใจ ปวดหัวอย่างรุนแรง "อีกแล้ว... ฝันแบบเดิม... เมืองพัง เงาดำ... แล้วก็... มัน..." ในเช้าวันนั้น แดเรียสนั่งมองออกนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ไปยังถนนกรุงเทพที่วุ่นวาย เขามุ่งหน้าไปโรงพยาบาลจิตเวชที่เ