LOGINหลายวันต่อมา
@มหาวิทยาลัย
“โอเคไหมแก” ของขวัญถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพหมดอาลัยตายอยากของเพื่อนรักที่แม้จะมาเข้าเรียน แต่เหมือนจะลืมเอาวิญญาณมาด้วย
“แกคิดว่าไงล่ะ” เกวรินหันไปคุยด้วยช้าๆ เบะปากเตรียมจะร้องไห้ แต่โดนชี้นิ้วห้ามไว้เสียก่อน
“หยุดค่ะ! ไม่ต้องร้องแล้ว!”
“อึก...ไม่ได้ร้อง~”
“เฮ้อออ...มานี่เลยแก อายชาวบ้านเขา”
ว่าแล้วก็ดึงข้อมือเล็กของเกวรินให้เดินตามไปที่ศาลาใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งหนึ่งนอกอาคาร ซึ่งบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านเหมือนตอนอยู่ในโรงอาหารเมื่อครู่
“เอาเลย ทีนี้อยากร้องก็ร้องเลย”
“อึก...บอกแล้วไงว่าไม่ได้ร้อง” เธอตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้ม ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ทีหนึ่ง แล้วสูดน้ำมูกกลับคืนแรงๆ ราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น ตอนเช้าเขาแค่มาส่งที่คอนโดแล้วก็กลับไป เธอรู้ว่าเขาโกรธ แต่เธอก็น้อยใจเขาเหมือนกัน เลยไม่ได้โทรไปง้อหรือคุยกับเขาเลยสักคำจนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว...
“จ้ะ ไม่ร้องเลย”
“ฮึก...แกว่าเฮียภีมเขารังเกียจฉันไหม”
“ฉันว่าไม่นะ”
“แต่เฮียไม่ให้ฉันไปหาที่ห้องแล้วนะ...”
“เดี๋ยวก็หายโกรธเองแหละน่า แกอย่ากังวลไปเลย ฉันไม่เคยเห็นเฮียภีมของแกใจแข็งได้สักที”
“รอบนี้ดูโกรธมากเลยนะแก...บางทีฉันอาจจะรุกแรงเกินไป” เกวรินเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าหวานดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดจนของขวัญรู้สึกเห็นใจ แต่เรื่องความรู้สึกก็ไม่มีใครบอกแทนกันได้นอกจากเจ้าตัว
“งั้นก็ไปง้อซะสิ...คิดถึงก็ไปง้อ อย่าทำให้มันยาก”
“ไม่รู้ดิ...ฉันไม่กล้า...”
“ทำไมไม่กล้า สู้เขาหน่อยสิแก มัวแต่นั่งนอยด์ทั้งวันแบบนี้จะได้คืนดีกันไหม” ของขวัญพยายามพูดให้กำลังใจ เกวรินรู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วง อยากให้ปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด
แต่มันติดอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอไม่กล้า...
“ฉันอาย...” เธอเอ่ยเสียงเบา เขี่ยปลายเท้ากับพื้นไม้ของศาลาหลังเล็กไปมาอย่างคิดไม่ตก ไม่รู้จะแบกหน้าไปง้อเขาได้ยังไงหลังจากที่ใจกล้าทำเรื่องนั้นไปแล้วโดนปฏิเสธเข้าอย่างจัง
“เฮ้อ...แกเนี่ยน้า~”
“ฉันกลัวมองหน้าเฮียไม่ติดอะ...ตอนนั้นตั้งใจพลีกายถวายตัวให้เฮียเต็มที่ แต่โดนจับทุ่มใส่เตียงแล้วสั่งเสียงแข็งว่าไม่ให้ไปหาซะขนาดนั้น เป็นแก แกยังจะกล้าไปเจอหน้าเฮียไหมล่ะ”
“ก็จริงแฮะ...แต่สำหรับฉันนะ ฉันว่าเฮียไม่ได้รังเกียจอะไรแกหรอก รู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ถ้าไม่ชอบจริงๆ ที่ผ่านมาคงไม่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ แกแบบนี้หรอกมั้ง”
“เฮียอาจจะคิดแค่น้องหรือเปล่าอะ...ฉันเดาใจเฮียไม่ถูกเลย บางทีก็ดูเหมือนจะมีใจให้ฉัน แต่บางทีก็ไล่กันง่ายๆ เหมือนไม่แคร์ฉันเลย” ดวงตากลมโตหม่นแสงลงอย่างนึกเศร้าใจ
“อยากรู้ไหมล่ะว่าเฮียเขาคิดยังไงกับแก?”
“ก็ต้องอยากสิ”
“งั้นก็ลองแบบนี้...”
ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ เอามือป้องปากซุบซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน เล่าเสร็จก็ผละหน้าออกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะได้ผลไหมอะ”
“บอกแล้วไง ไม่ลอง ไม่รู้”
ได้ฟังวลีเด็ดจากเพื่อนรักแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างคิดหนัก รอบที่แล้วแผนก็ล่มไม่เป็นท่าจนโดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปหาที่คอนโด ไม่รู้ว่ารอบนี้จะรอดหรือจะร่วงกันแน่
แต่ก็อย่างที่เพื่อนของเธอพูดนั่นแหละ...
ไม่ลองก็คงไม่รู้!
@บริษัทภากร
ภายในห้องประชุมแอร์เย็นเฉียบ เสียงนำเสนอพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มซึ่งกำลังจะเปิดตัวใหม่ในไม่ช้าได้หยุดลง ทุกคนเงียบกริบรอฟังความคิดเห็นจากท่านประธานหนุ่มไฟแรงในวัยเพียง 28 ปี ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูอึมครึมลงอย่างเห็นได้ชัด หลายคนคิดว่าเขาคงไม่ค่อยชอบใจกับสิ่งที่ประชุมกันไปเมื่อครู่ แต่ใครจะรู้ว่าในตอนนี้ในหัวเขาเอาแต่วนเวียนคิดถึงเด็กแสบจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
“เอ่อ ไม่ทราบว่า...”
“รูปแบบโฆษณาเอาเอาตามนั้นแล้วกัน แต่ว่าตัวของพรีเซนเตอร์...” ภากรเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ว่าฟังดูสุขุมและมีอำนาจอย่างที่น้อยคนจะมี ก่อนจะสั่งให้เปลี่ยนคนที่จะเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ใหม่ ซึ่งแม้จะดังมากในตอนนี้ แต่อายุยังน้อยเกินไป เขาต้องการให้ภาพลักษณ์ของสินค้าตัวใหม่ไร้ที่ติและไม่มีประเด็นให้ต้องกังวลหลังจากเปิดตัวไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะเอาแต่คิดถึงเด็กดื้อทั้งวัน ทำให้ไม่ได้จดจ่อกับหัวข้อประชุมเท่าที่ควร แต่ด้วยความสามารถของเขา อาศัยเพียงการฟังและปราดมองบนหน้าจอขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายกำลังนำเสนอเพียงรอบเดียวก็สามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด
“เอ่อ อะไรนะคะ?”
“ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำสอง” น้ำเสียงที่กดต่ำลงทำให้หลายคนกลืนน้ำลายไปตามๆ กันอย่างนึกหวาดหวั่น เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าท่านประธานเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมากแค่ไหน สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจฟังเรื่องที่เขาพูดจนต้องเอ่ยบอกเป็นรอบที่สอง เป็นคนประเภทที่เขาไม่ชอบที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อครู่หล่อนทำพลาดเข้าอย่างจัง...
“ขะ ขอโทษค่ะท่านประธาน” เธอคนนั้นรีบค้อมศีรษะพร้อมเอ่ยขอโทษอย่างนึกหวาดกลัว ผิดพลาดครั้งแรกนั้นยังสามารถให้อภัยได้ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครอยากโดนหมายหัวจากท่านประธานสุดเนี้ยบคนนี้
ภากรเหลือบมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา กำชับเรื่องที่เขามอบหมายให้ฟังอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป คล้อยหลังประธานหนุ่มก็ได้ยินเสียงหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกกับบรรยากาศอัดอึดเมื่อครู่
“ตารางช่วงบ่ายมีอะไรบ้าง”
เมื่อเข้ามาให้ห้องทำงานหรูส่วนตัว ภากรก็หยิบมือถือขึ้นมาเช็กข้อความจากคนตัวเล็ก ในขณะที่เลขาสาวกำลังยืนแจกแจงแผนในช่วงบ่ายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
เธอเห็นสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก หลายวันมานี้ก็โหมทำงานมากกว่าปกติจนพนักงานในบริษัทหัวหมุนกันไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านประธานหนุ่มกันแน่
“เอ่อ...เย็นนี้คุณภากรจะทานอะไรไหมคะ ข้าวจะได้เตรียมไว้-...”
“ไม่ต้อง คุณออกไปได้แล้ว”
เสียงทุ้มตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองหน้าแม้เพียงนิด
‘น้ำข้าว’ จึงค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวออกไปจากห้องด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวกับความเย็นชาของท่านประธาน แม้ว่าจะเธอทำงานเป็นเลขาให้เขามาหลายปีแล้ว แต่รังสีเย็นยะเยือกของเขาที่แผ่ออกมาก็ไม่ได้ลดลงเลย
ตึ๊ง~
ภากรได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นก็รีบกดมือถือเข้าไปดูทันที เขานึกว่าจะเป็นเกวรินที่ทักมาหา แต่ว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด จึงพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
ตั้งแต่เอ่ยปากกับเธอว่าไม่ต้องมาหาเขาที่คอนโด เขาก็ไม่ได้เจอเธออีกและไม่มีแม้กระทั่งข้อความส่งมาหาเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ปกติแล้วเธอขี้อ้อนขนาดนั้น ทั้งวันชอบถ่ายรูปอัปเดตเรื่องราวส่งมาให้เขาไม่หยุด ไม่ว่าจะอารมณ์ดี หรือรู้สึกแย่ก็จะโทรมาหาเขาก่อนเป็นคนแรก แต่ตอนนี้กลับเงียบกริบจนน่าใจหาย
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึงอย่างนึกหงุดหงิดใจ จริงอยู่ที่เขาเป็นคนปฏิเสธเรื่องในคืนนั้น แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงตัวเธอเอง กลัวว่ายิ่งได้ใกล้ชิดจะยิ่งอดใจไม่ไหว แล้วเผลอทำอะไรที่ทำให้เธอต้องเสียใจในภายหลัง...
“อ่าส์ ให้ตายเถอะ...”
พอเผลอนึกถึงกลิ่นตัวหอมๆ ร่างนุ่มนิ่มเย้ายวนในชุดเมื่อคืน ลำเนื้อแกร่งใต้กางเกงก็ปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
ยัยเด็กดื้อจะรู้บ้างไหม ว่าตอนนี้เขาคิดถึงเธอจนแทบคลั่งอยู่แล้ว!
Trrrrrrrrr
Trrrrrr
เสียงมือถือดังขึ้นเรียกสติของภากรกลับมา เขาพยายามข่มกลั้นอะไรบางอย่างด้านล่างให้สงบลงแล้วกดรับสายทันที
ติ๊ด!
“ครับแม่”
[ยุ่งอยู่หรือเปล่าลูก]
“เปล่าครับ ผมเพิ่งประชุมเสร็จพอดี”
[เสาร์หน้าว่างหรือเปล่า ชวนน้องมากินข้าวที่บ้านสิภีม เดี๋ยวแม่ทำของโปรดไว้ให้]
ได้ฟังแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาจนผู้เป็นแม่อย่าง ‘นวมล’ จับสังเกตความผิดปกติจากลูกชายได้
“คือว่าช่วงนี้...”
[ทะเลาะกันใช่ไหม ทำน้องงอนอีกหรือเปล่าตาภีม?]
เมื่อโดนจับได้ ภากรก็เริ่มไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง จึงโกหกไปเพื่อให้แม่สบายใจ เพราะรู้ดีว่าแม่ของเขาท่านรักและหวงเกวรินมากขนาดไหน
“เปล่าครับ ช่วงนี้ผมงานยุ่งนิดหน่อย เสาร์หน้าน่าจะไม่ได้ไปครับ”
[อ่อ...ก็แล้วไป อย่าโหมงานหนักมากนะภีม หาเวลาว่างพาน้องไปเที่ยวเล่น ผ่อนคลายบ้างอะไรบ้างเข้าใจไหม?]
“ครับแม่...”
แววตาของเขาหม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคนตัวเล็ก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเข้าใจผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นหรือเปล่า เขาอยากจะโทรไปหา พาไปเที่ยว พาไปทานของโปรดที่เธอชอบเหมือนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้แค่นึกถึงร่างเย้ายวนของเธอก็แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว เขาจึงโหมทำงานอย่างบ้าคลั่ง พยายามไม่ติดต่อไปเพราะอยากให้อารมณ์บางอย่างสงบลงก่อน
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยเลยสักนิดเดียว...
กลับกัน เขายิ่งโหยหาเธอจนหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดแล้ว!
[ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันแน่นะ?]
“ไม่ครับ”
[งั้นก็ดีแล้ว...อย่าลืมพักผ่อนบ้างนะภีม อย่าเอาแต่ทำงาน พ่อกับแม่เป็นห่วงรู้ไหม]
“ครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป จากนั้นจึงขับรถออกไปทานอาหารข้างนอกแล้วกลับมาเคลียร์งานต่อจนถึงช่วงค่ำ...
ร่างอวบอิ่มในชุดเดรสสั้นสายเดี่ยวสีดำหมุนตัวไปมาหน้ากระจกอย่างพอใจ ปกติเกวรินไม่ค่อยใส่ชุดรัดรูป แหวกหลัง โชว์เนินอกแบบนี้เท่าไหร่ แต่เพราะคืนนี้เธอวางแผนบางอย่างกับเพื่อนรักเอาไว้แล้ว เลยต้องเปลี่ยนลุคให้ดูเซ็กซี่มากกว่าปกติแชะ แชะ“ลงรูปนี้แล้วกัน...” เกวรินโพสต์ท่าถ่ายรูปหน้ากระจก จงใจโน้มตัวลงต่ำเล็กน้อย แล้วถ่ายมุมสูงให้เห็นร่องอกขาวชัดๆ แล้วลงสตอรี่ในไอจี พร้อมกับแท็กสถานที่ที่เธอนัดกับของขวัญเอาไว้TrrrrrrrrTrrrrrrจังหวะที่เธอหยิบกระเป๋ากลิตเตอร์สีดำขึ้นมา เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นพอดี เกวรินจึงกดรับสายแล้วใส่รองเท้าส้นสูงไปด้วย[ออกมายัง]“ใกล้ถึงแล้ว”[ถึงไหน]“ถึงหน้าประตูห้องฉันเนี่ยแหละ” เกวรินตอบกลับไปกวนๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจแรงๆ จากเพื่อนรักอย่างที่คิดเอาไว้แกล้งยัยขวัญนี่สนุกจริงๆ ~[ไม่กวนสักวันได้ไหมยัยเกี๊ยว?]“ชิ...ให้ฉันมีความสุขบ้างเหอะ ฉันร้องไห้มาเยอะแล้ว”[ความสุขแกคือการแกล้งชาวบ้าน?]ได้ฟังแบบนั้นเธอก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วตอบกลับไปทันควัน“ถูก!”[…….]“ชิ ไม่แกล้งแล้วก็ได้...แล้วนี่แกถึงไหนแล้วอะ”ตอนนี้ต้องให้เพื่อนตัวดีช่วย เธอเลยยอมหยุดกวนประสาทชั่
หลายวันต่อมา@มหาวิทยาลัย“โอเคไหมแก” ของขวัญถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพหมดอาลัยตายอยากของเพื่อนรักที่แม้จะมาเข้าเรียน แต่เหมือนจะลืมเอาวิญญาณมาด้วย“แกคิดว่าไงล่ะ” เกวรินหันไปคุยด้วยช้าๆ เบะปากเตรียมจะร้องไห้ แต่โดนชี้นิ้วห้ามไว้เสียก่อน“หยุดค่ะ! ไม่ต้องร้องแล้ว!”“อึก...ไม่ได้ร้อง~”“เฮ้อออ...มานี่เลยแก อายชาวบ้านเขา”ว่าแล้วก็ดึงข้อมือเล็กของเกวรินให้เดินตามไปที่ศาลาใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งหนึ่งนอกอาคาร ซึ่งบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านเหมือนตอนอยู่ในโรงอาหารเมื่อครู่“เอาเลย ทีนี้อยากร้องก็ร้องเลย”“อึก...บอกแล้วไงว่าไม่ได้ร้อง” เธอตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้ม ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ทีหนึ่ง แล้วสูดน้ำมูกกลับคืนแรงๆ ราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปานหลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น ตอนเช้าเขาแค่มาส่งที่คอนโดแล้วก็กลับไป เธอรู้ว่าเขาโกรธ แต่เธอก็น้อยใจเขาเหมือนกัน เลยไม่ได้โทรไปง้อหรือคุยกับเขาเลยสักคำจนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว...“จ้ะ ไม่ร้องเลย”“ฮึก...แกว่าเฮียภีมเขารังเกียจฉันไหม”“ฉันว่าไม่นะ”“แต่เฮียไม่ให้ฉันไปหาที่ห้องแล้วนะ...”“เดี๋ยวก็หายโกรธเองแหละน่า แกอย่ากังวลไปเลย ฉันไม่เคยเห็นเฮี
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ เกวรินก็อ้อนให้ว่าที่คู่หมั้นไปร้านคาเฟ่ดัง ตกเย็นก็แวะซื้อขนมเข้าห้องเล็กน้อย และด้วยความเพลียจากการเดินทางเมื่อวาน บวกกับการเที่ยวเล่นในวันนี้ ระหว่างทางที่ขับกลับคอนโด เด็กสาวจึงผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย กว่าจะตื่นอีกทีก็เป็นตอนที่ภากรอุ้มเธอขึ้นมานอนบนเตียงนุ่มแล้ว“อื้อ~…เฮียภีมขา นอนเป็นเพื่อนหนูหน่อย” เธอปรือตามองคนตัวโตที่กำลังห่มผ้าให้ ดึงข้อมือหนาเต็มไปด้วยเส้นเอ็นของเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน“เฮียต้องไปเคลียร์งาน” ภากรตอบเสียงเบา ลูบผมนุ่มของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน“ไหนบอกวันนี้ไม่ทำงานไงคะ”“อย่าดื้อสิเกี๊ยว”“แต่ว่า...”“ถ้าไม่ให้ทำงานคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าได้อยู่ห้องคนเดียวนะ จะเอาแบบนั้นไหม”“ไม่เอาค่ะ” เกวรินตอบกลับไปทันควัน ยู่ปากน้อยๆ อย่างเสียดาย อยากให้เขานอนเฝ้าเหมือนสมัยเรียนประถมต้น แต่ก็เข้าใจว่าเขามีภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องจัดการเธอไม่ดื้อแล้วเธออยากเป็นเด็กดีของเฮีย...“งั้นฝันดีนะครับ ค่ำๆ เดี๋ยวปลุกไปอาบน้ำกินข้าว”“อื้อ...สู้ๆ นะคะเฮียภีมคนเก่งของหนู” เธอคลี่ยิ้มหวานส่งไปให้ก่อนจะปิดปากหาววอดแล้วปิดเปลือกตาลงช้าๆ ภากรเห็นแบบนั้นหัวใจแกร่ง
@ห้างสรรพสินค้าขณะที่เดินเข้าไปในห้าง เกวรินก็พิมพ์คุยอะไรบางอย่างในมือถือไม่หยุดจนเกือบจะเดินชนเข้ากับคนอื่นอยู่หลายที จนภากรต้องเป็นฝ่ายจูงมือให้เธอเดินตาม เด็กสาวถึงยอมละความสนใจจากมือถือแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้เขา“มือเฮียใหญ่จัง...หนูชอบ”ว่าแล้วก็ประสานนิ้วมือเข้ากับเขาแล้วแกว่งไปมาอย่างอารมณ์ดี ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ไม่บ่อยนักที่เฮียจะเป็นฝ่ายจับมือเธอก่อนแบบนี้ มีแค่เธอที่อ้อนกึ่งบังคับจับมือเขาเองมากกว่า“ไม่เล่นมือถือต่อแล้วหรือไง”“ทำไมคะ น้อยใจเหรอ?”“เปล่า...” เขาปฏิเสธเสียงเรียบ ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักกับเรื่องเมื่อครู่“หนูคุยกับแม่ค่า~ ไม่ได้คุยกับผู้ชาย เฮียไม่ต้องหึงน้า”“ไร้สาระ...”“ชิ ว่าหนูตลอดเลย” เธอยู่ปากน้อยๆ ไม่ได้แซวอะไรเขาอีก“แล้วได้บอกแม่หรือยังว่ามานอนที่ห้องเฮีย”“บอกแล้วค่ะ แม่บอกว่านอนยาวๆ เลย ไม่ต้องห่วง แม่โอเค”“เกี๊ยว...เอาดีๆ”“แหะๆ ไม่กล้าบอกค่ะ เฮียอย่าบอกแม่นะ หนูกลัวโดนดุ”“แต่ไม่กลัวเฮียดุว่างั้น?”“ถึงเฮียดุ แต่ได้ค้างห้องเฮีย หนูก็ยอมค่ะ” เธอยิ้มแป้นอย่างภูมิใจ แม้จะรู้สึกผิดที่โกหกแม่ แต่เรื่องค
“เฮ้อออ...เฮียภีมขา ทำไงดีคะ หนูลืมเอาคีย์การ์ดคอนโดมา ว้า~ แย่จัง...ลืมของสำคัญได้ไงน้า~”เสียงหวานของเกวรินเอ่ยขึ้นเหมือนรู้สึกผิดเต็มประดา ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“เกี๊ยว...เฮียไม่เล่น” ภากรกดเสียงต่ำ หันไปมองเด็กสาวที่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ข้างๆ อย่างคาดโทษ“โถ่...เฮียอะ ให้หนูไปค้างห้องเฮียแค่ไม่กี่วันเอง แป๊บเดียวก็สิ้นเดือนแล้ว นะๆๆๆ”“ไปติดต่อนิติ ขอคีย์การ์ดอันใหม่”“ไม่เอา~”“งั้นไปนอนโรงแรม”“ง่ะ...เฮียให้หนูไปนอนด้วยน้า~”ว่าแล้วก็กอดแขนล่ำๆ ของอีกฝ่ายไว้แน่น มองเขาตาแป๋วอย่างน่าสงสารเผื่อเขาจะใจอ่อนบ้าง“ไม่ได้”“แต่แม่ฝากหนูไว้ให้เฮียดูแลแล้วนะ ถ้าเฮียผิดคำพูดมันจะไม่ดีเอานา~”“นี่วางแผนมาแล้วใช่ไหม?” เขาหรี่ตาลงมองคนตัวเล็ก รู้ดีว่านี่ต้องเป็นแผนการของเด็กสาวอย่างแน่นอนรอบก่อนที่มาเล่นในห้องเขาก็แกล้งหลับไม่ยอมกลับห้อง จนต้องอุ้มออกไปส่งที่คอนโดด้วยตัวเอง แต่เธอก็ไม่วายงอแงตลอดทาง จะนอนค้างกับเขาให้ได้ให้ตาย...ทำไมนับวันยิ่งดื้อแบบนี้!“ปะ เปล่านะคะ”“โทรไปบอกน้าภาดีไหมว่าเด็กดื้องอแงจะไปค้างห้องเฮีย?”“เฮียอ่า~ อย่าขู่หนูสิคะ ปกติหนูก็ไปเล่นห้องเฮียอยู่แล้ว แค
แอดดดเสียงเปิดประตูเข้ามา ทำให้เจ้าของใบหน้าน่ารักหันไปมองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ฉีกยิ้มหวานส่งไปให้ทันที“เสร็จหรือยังเกี๊ยว พี่เขามานั่งรอสักพักแล้วนะ”“ใกล้เสร็จแล้วค่า~ เดี๋ยวหนูตามลงไปนะคะ”เสียงของ ‘เกวริน’ ตอบรับเสียงใส ก่อนจะหันมามองกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปัดแก้มและเติมลิปกลอสสีชมพูหวานอย่างเร่งรีบ“อย่าให้รอนานนักล่ะ รีบๆ ลงมาได้แล้ว กว่าเดินทางถึงกรุงเทพ เดี๋ยวก็มืดค่ำเสียก่อน”“ค่าๆ เดี๋ยวรีบตามไปค่า~”ว่าแล้วร่างอวบอิ่มในชุดเดรสสีชมพูแขนตุ๊กตาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมุนตัวไปมาหน้ากระจกอยู่หลายที จนมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงรีบไปลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเลทางฝั่งของ ‘ภากร’ ซึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้เป็นแม่ของเด็กสาวอยู่ด้านล่าง พอเหลือบเห็นเจ้าของร่างอวบอิ่มเดินลงมาจากบันได ก็ลุกขึ้นแล้วไปช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางใบนั้นอย่างที่ทำเป็นประจำ“เอามา เฮียช่วย”“อุ้ย...ขอบคุณค่ะเฮียภีม”เกวรินฉีกยิ้มสดใสส่งไปให้ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ สุดหล่อของตัวเองอย่างนึกขอบคุณ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงตีหน้านิ่งเหมือนเดิม และตอบกลับมาว่า ‘อืม’ เพียงคำเดียวเท่านั้นปกติแล้ว







