Se connecterนับศพทหารตั้งแต่สงครามยังไม่จบ กองไฟที่อยู่ห่างไปราว 400 เมตรมีแต่จะถ่างวงกว้างขยายรัศมี ป่าไม้อันแห้งผากกลายเป็นเชื้อไฟโหมทวี ย่างศพเหล่าผู้ติดเชื้อให้ได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์กลายเป็นหุ่นเชิดให้ใครได้เชิดเล่นอีก นี่คือความจริงที่มีแต่ผู้อ่านอย่างเราเท่านั้นที่รู้ บนยอดสันกำแพงไม่ว่าจะเป็นเจนิส หัวหน้าหน่วย หรือแม้แต่ชาววิลเลจที่รอดชีวิต ต่างก็ไม่มีใครทราบว่า "เปรม" เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังกองทัพผู้ติดเชื้อทั้งหมด
.
ตัดภาพข้ามฟากไปไกลกว่า 102 กิโลเมตร ณ ใจกลางเมืองหลวง ร่างหนาที่ละม้ายคล้ายปีศาจของเปรมถึงกับสะดุ้ง! เขาโก่งตัวขึ้นจากพนักพิงโซฟา ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมากุมใบหน้าขยี้ลูกตา พลางกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด!
.
"กรอออดดด.. ด.. ด.. , หนอยแน่!"
"แสบตาจริงวุ๊ยยย!"
"ไม่เห็นเคยรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย! ไอ้พวกบ้านนอกหลังกำแพง!"
.
"กรอออดดด!"
.
สบถคำหยาบตามออกมาอีกหลายคำ เปรมนั่งอยู่ในห้องสูทสุดหรูบนตึกสำนักงานใหญ่ของ AP ตามเดิม ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเขาจำกัดวงอยู่ตรงบริเวณลูกตาทั้ง 2 ข้าง ที่ทั้งแดงก่ำแล้วก็มีน้ำตาไหลเจิ่งนองออกมาตลอด มันไม่ถึงกับเลือดตกยางออกและเขาก็ยังทนไหว แต่ความเจ็บใจนี่สิ ที่ทำให้รู้สึกเสียหน้ายังไงก็ไม่รู้ เมื่อคราวสู้กับกองทัพ Riot โดรนของโบ๊ทเขายังไม่เจ็บขนาดนี้เลย
.
เปรมหันรีหันขวางสะบัดคอพรึบพรึบ!
.
"ชิ! หลุดการเชื่อมต่อไปแล้ว? ต้องเป็นเพราะแสงไฟเจิดจ้านั่นแน่ ๆ"
.
"กรรรรรร! , โคร่งงงงง! , เจ็บใจวุ๊ยยย! , เจ็บตาด้วยยย! , โคร่งงงงง ๆ ๆ , โคร่งงงงง!"
.
กระทืบเท้าโครม ๆ สลับกับการใช้ฝ่ามือถูไถใบหน้า อาจจะเป็เพราะอยู่คนเดียวด้วยล่ะมั้งถึงดิ้นพร่านได้เต็มที่ แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือเปรมที่เปรียบเสมือนองค์จักรพรรดิ ได้สูญเสียการเชื่อมต่อกับฝูงผู้ติดเชื้อตรงภาคกลาง ไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกมันหันไปหาแสงไฟ ความเข้มของแสงบวกกับความร้อนจากสปอร์ตไลท์ ดึงดูดให้ทุกสายตาหันมาพร้อมกัน
.
และด้วยความที่การเชื่อมต่อนั้นต้องใช้การมองเห็นเป็นหลัก ผู้ติดเชื้อเห็นแบบใดเปรมเห็นแบบนั้น พอพวกมันเป็นร้อยเป็นพันหันเข้าหาแสงสว่างจ้า คนที่คอนโทรลอยู่จากอาคารสูงชั้น 55 จะทนไหวเหรอ? ก็เลยมีอันต้องเจ็บปวดลูกตาน้ำหูน้ำตาไหลอย่างที่เห็น! ซึ่งพอหลุดจากการเชื่อมต่อไปก็ไม่ต่างอะไรจากการปล่อยจอย
.
ภาพที่ออกมาจึงเป็นการกระโดดกรูกันเข้าไปในกองไฟที่โหมกระพือแบบโง่ ๆ แม้เปรมจะพยายามรั้งแล้วและเขาเองก็เสาะแสวงหากลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ในละแวกมาเพิ่มเติมได้ แต่สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม! คือทันทีที่บังคับพวกมันให้วิ่งกรูออกมาพ้นแนวชายป่า พอเจอแสงสว่างจากกองไฟที่เจนิสก่อไว้เข้า ทุกการเชื่อมต่อก็หลุดพลั๊วออกอีกเช่นเดิม
.
การรบหนนี้จึงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเปรม เขาแพ้ตั้งแต่ศึกแรกที่ออกนอกเขตเมืองหลวง เขาเหนื่อย เขาเพลีย และเขาก็ร้องไห้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมก่อนหน้านี้วิลเลจถึงต้านการบุกรุกของผู้ติดเชื้อได้มาตลอด ก็ขนาดมีเปรมคอยกำกับดูแลยังไม่รอด แล้วกับครั้งก่อน ๆ ที่ปล่อยผู้ติดเชื้อเดินงุ่นง่านป่ายปีนกำแพงกันเองมันจะไปเหลืออะไร
.
เห็นทีคราวหน้าถ้าอยากแก้ตัวใหม่ เปรมคงต้องซื้อแว่นกันแดดให้ลูกสมุนตัวเองใส่กันให้ครบทุกคน แต่ก็อีกนั่นแหละ! เพราะก็ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อ Covid-19 ที่ฝังอยู่ในหัวเขาจะอนุญาตไหม อย่าลืมสิว่าเปรมไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เขาก็แค่ร่างพาหะร่างหนึ่งเช่นกันกับผู้ติดเชื้อทุกคนนั่นแหละ
.
.
ตัดภาพกลับมาที่ฝั่งวิลเลจ , บนยอดกำแพงสูง , เวลา 22 .03 น.
.
"เสร็จเราแล้วลุง! เรียบร้อยแล้ว! ทีมเวิร์คเราเยี่ยมมากหนูว่าพวกมันคงขึ้นมาบนนี้ไม่ได้อีกเป็นอาทิตย์ นี่คือกองไฟเผาซากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วเท่าที่หนูเคยเห็นมา ฮ่า ๆ ๆ !"
เจนิสกอดอกแอ๊คท่าโดยมีฉากหลังเป็นแสงสีส้มเจิดจ้า กับเสียงโหยหวนของกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ถูกเผาทั้งเป็น
.
ทว่าหัวหน้ากลับมีท่าทีที่ยังตึงเครียดอยู่ แกผายมือขอวิทยุคืนจากเจนิสก่อนจะพูดขึ้น
.
"วันนี้ฉันเสียลูกทีมไปหลายคน.. ขนาดระดมพลจากคลังอาวุธมาช่วยแล้วก็ยังต้านพวกมันไว้ไม่ไหว.. เรื่องนี้มันยากเกินจะรับได้ ฉันพลาด! ฉันน่าจะทำได้ทีกว่านี้! "
สายตาโคตรจะว่างเปล่าพลางเหลือบมองดูลูกน้องที่น่าจะเหลือรอดอยู่ราว 15 - 20 คน จากที่ขึ้น ฮ. มาด้วยกันร่วม 50 กว่าคน แกเห็นคนตายมามาก ฆ่าคนตายมาแล้วก็ไม่รู้กี่ศพต่อกี่ศพ แต่กับครั้งนี้นั้นต่างออกไป
.
แกรู้สึกเหมือนตัวเองโดนย่ำหน้าด้วยเด็กมัธยมหมอยโปร่ง แถมยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จนทำให้แกถึงกับสูญเสียความมั่นใจในความเป็นชายชาตินักรบไปเลย สบช่องให้เจนิสต้องเข้ามาปลอบ
.
"ลุงเป็นพวก AP ใช่ไหม? ลุงมากับ ฮ. คุณมิวท์ใช่ไหมหนูจำพวกลุงได้"
.
"อือ.. มีอะไร! จะให้ฉันขอบใจเธอที่สอดเข้ามาช่วยเหรอ?"
วีนอย่างกับตุ๊ดดูแว๊บเดียวก็รู้ว่าหัวหน้าประชด ทหารรับจ้างอีโก้สูงระดับนี้มีหรือจะยอมใครง่าย ๆ ทำเอาเจนิสถึงกับเบือนหน้า
.
"หนูชื่อเจนิสเป็นคนดูแลที่นี่แทนพี่แพรว แล้วลุงชื่ออะไร? เกมจบแล้วลุงเราสู้มาด้วยกันแต่ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย?"
.
กลับกลายเป็นผู้ใหญ่เสียอีกที่เลือกที่จะดึงหมวกไอ้โม่งลงปิดบังใบหน้า ความตึงเครียดจากสนามรบทำให้แกลืมที่จะปิดบังตัวตนไปชั่วขณะถ้าไม่ถูกเจนิสทักขึ้น
.
"ในกลุ่มเราไม่มีใครใช้ชื่อจริงหรอกนังหนู! พวกเราไม่มีชื่อ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะมีชีวิตรอดรึเปล่าของแบบนั้นจึงไม่จำเป็น! "
.
"โห..จริงดิ! จริงจังน่าดู!"
.
"ตกลงมีอะไรแค่นี้ใช่ไหมที่จะถาม? ฉันยังต้องเคลียร์พื้นที่ช่วยลูกน้องอีก"
.
"แหม.. ก็ไม่ได้มีแต่คนของลุงสักหน่อยที่ต้องเคลียร์ พวกพี่ ๆ ชาววิลเลจก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยเหมือนกัน สิ่งที่หนูจะบอกก็คือลุงอ่ะจะมาถือสิทธิ์ยึดครองที่นี่ให้เป็นของตัวเองไม่ได้ พวกเราอยู่มาก่อนแล้วก็มีเทคนิคภูมิปัญญาในการเอาตัวรอดที่เป็นของเราเอง เราอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังทหาร หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ลุงขนมาเลยด้วยซ้ำ"
.
"ฟังเสียงโหยหวนโน่นสิ มองดูเปลวไฟบรรลัยกัลป์เหล่านั้น ถ้าไม่มีพวกหนูป่านนี้พวกลุงตายไปแล้ว แล้ววิลเลจก็จะตกอยู่ในอันตราย ลุงยึดคลังอาวุธของหนูไปหนูไม่ว่า แต่บทบาทบนกำแพงหนูรับไม่ได้ที่จะให้พวกลุงที่มาจากไหนก็ไม่รู้มาเป็นคนรับผิดชอบ พวกลุงอ่อนแอเกินไป อาศัยอำนาจจากพี่แพรวที่แต่งตั้งให้หนูเป็นคนดูแลที่นี่ หนูไม่อนุญาตให้ลุงคุมที่นี่ค่ะ! "
.
"เชิญลงไปจากกำแพงได้เลย! ทิ้งปืนกับอาวุธเอาไว้ ที่เหลือเราจะสานต่อเอง!"
.
เจนิสกอดอกร่ายยาวเป็นฉาก ๆ โดยมีพี่ ๆ ชาววิลเลจออกันเข้ามาประกบเป็นฉากหลัง บรรยากาศจึงแลดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก รัศมีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาเต็ม สอดคล้องกับฟากฝั่งของทหารรับจ้างเองก็นอนตายกันระเนระนาด หัวหน้าหน่วยจึงไม่มีทางเลือกแม้แกจะเจ็บแค้นที่โดนเด็กมัธยมเบ่งใส่ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าสิ่งที่เจนิสพูดล้วนแต่ถูกต้องทุกคำ
.
"โอเคฉันยอมก็ได้ ฉันแมนพออยู่แล้ว ฉันจะพาคนของฉันลงไปที่เรือนพยาบาล"
"อาวุธทุกอย่างฉันยกให้ รวมถึงระบบเบิกจ่ายที่ติดตั้งไว้ที่คลังอาวุธด้วย เราไม่เหลือคนมากพอที่จะแบ่งเบางานที่นี่ได้แล้ว และเมื่อเธอเองก็ไม่ต้องการพวกเราก็จะไป ขอพักสักคืนก่อนแล้วกันเพราะวันนี้พวกเราเหนื่อยกันมาก.."
.
ยังมีคำบ่นไล่หลังอีกหลายประโยค หัวหน้าหน่วยวิทยุบอกทุกคนให้ปลดอาวุธและแยกย้ายกันนำศพเพื่อนกลับลงไปด้านล่างกำแพง แกไม่แยแสแม้แต่คำค้านของเจนิสที่ไล่หลังมา ดูแกจะอารมณ์เสียและเหนื่อยสุด ๆ เจนิสก็เลยปล่อยเลยตามเลย เธอยืนมองดูหัวหน้าหน่วยและพรรคพวกปีนบันไดเชือกกลับลงไปด้านล่างด้วยเนื้อตัวเปล่า ๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อเกราะ พี่ชาววิลเลจที่ยืนอยู่ข้างกันเลยแทรกขึ้น
.
"จะเอางี้จริง ๆ เหรอน้องเจนิส? พวกเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นมั้งพี่ว่า? แล้วไอ้ปืนกลพวกนี้เราก็เคยเห็นแต่ในหนัง เรายิงมันไม่เป็นสักหน่อย ไหนจะแว่นอินฟาเรท ไหนจะสลักระเบิดพวกนี้อีก?"
.
เจนิสถอนหายใจยาว พลันรีบตอบกลับไปโดยพลัน
.
"ไม่หรอกพี่ยังไงพวกเขาก็ยังมีประโยชน์ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ฝึกการใช้อาวุธให้พวกเราก่อน แต่หนูคิดว่าคนที่เป็นหัวหน้าคงยังหัวร้อนอยู่ พูดอะไรไปตอนนี้ก็ดูจะเปล่าประโยชน์ ไว้พรุ่งนี้ให้อารมณ์ดีขึ้นหน่อยค่อยเจรจากันใหม่ก็ยังไม่สาย อาวุธดี ๆ ทันสมัยขนาดนี้ถ้าไม่นำมาใช้ก็บ้าเต็มที"
"สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรฉายเดี่ยวพี่ เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคต ที่หนูพูดแบบนั้นออกไปก็เพราะอยากให้พวกเขาเห็นหัวชาววิลเลจอย่างเราบ้าง เราไม่ได้กากหรือกระจอก! การทำงานร่วมกันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับซะก่อน พี่ว่าถูกไหม?"
.
"แปะ! , แปะ! , แปะ! , แปะ! , แปะ! , แปะ!"
เสียงปรบมือดังลั่นจากบรรดาพี่ ๆ ที่ยืนอยู่รายรอบ
.
"คมมากครับน้องเจนิส สมแล้วที่เป็นคนที่น้องแพรวไว้วางใจ พวกเราจะทำตามที่น้องบอกนะ"
.
"เหอะ ๆ"
"อย่ากวนส้นตีนค่ะพี่! ไป! แยกย้ายกันเคลียร์พื้นที่เถอะ ดึกแล้วหนูเองก็ต้องหลับต้องนอน ทุกคนก็ด้วย! ช่วยเร่งมือหน่อยนะคะเสร็จแล้วจะได้ไปพักผ่อนกัน"
.
.
ปากพูดไปแบบนั้นแต่ในใจเจนิสนั้นเหมือนจะสังหรณ์ใจแปลก ๆ เธอคิดว่าพรุ่งนี้คงไม่แคล้วมีเรื่องให้ปวดกบาลอีกเป็นแน่ แต่จะเป็นอะไรล่ะ? ใช่เด็กตุ๊ดเด็กแต๋วกลุ่มเด็ก LGBT ที่บินมากับ ฮ. ไหม? อันนี้ต้องรอดู..
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ