LOGINหน้ากากผ้าถูกสวมคลุมกระชับ บางคนถึงกับควักเอาหน้ากากกันแก๊สขึ้นมาครอบทั้งหน้าเอาไว้ สถานการณ์ดูโกลาหลหนัก ทุกส่วนสัดวุ่นวายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เหล่ารปภ.ต่างกรูกันเข้ามารุมทึ้งร่างอันไร้วิญาณของลุงคนสวน พวกเขาเปลี่ยนคฤหาสน์ส่วนหน้าให้เป็นดั่งตลาดสดที่คนออกันเต็มพื้นที่
.
การสิ้นชีพของลุงเป็นดั่งหลักฐานสำคัญว่าต่อให้เคหะสถานหรูแค่ไหนเชื้อมันก็ไม่เว้น ทุกคนในบ้าน AP กำลังไม่ปลอดภัย และทางที่ดีก็ควรจะรีบย้ายศพออกไปทำลายทิ้ง แล้วก็ปิดข่าวให้เงียบที่สุด
.
พีวิเคราะห์
.
เขายังคงนั่งยองกุมมือแพรวเอาไว้แน่น ความตื่นเต้นทำเอาเจ้าตัวสั่นไปหมด แม้จะอยู่ในร่างชายแต่จิตใจหาได้กล้าหาญสมดั่งสรีระไม่ เหงื่อเปียกชุ่มมือ มีจังหวะหนึ่งแพรวคิดจะชะเง้อคอส่องเข้าไปดูข้างในเขาก็ยังรั้งเธอเอาไว้
.
"อีพี! มึงเป็นบ้าอะไร? กูแค่จะชะเง้อดูเฉย ๆ นิดเดียวเอง!"
ไม่แปลกที่แพรวจะโกรธเพราะเธอโดนเบรคมาหลายทีแล้ว
.
"ชู่ววว~!"
.
ร่างหนารีบจี่ปากสั่งให้เงียบ เนื่องด้วยเสี้ยววินาทีต่อมานั้นบรรดารปภ.ที่รายล้อมศพอยู่ก็เริ่มออกอาการชักเกร็ง พวกเขาทยอยคุกเข่าลงกับพื้นทีละคนสองคน บางคนกุมมือไว้ที่หน้าอกแล้วก็เริ่มไอค๊อก ๆ แค๊ก ๆ ณ ตอนนี้หน้ากากผ้าดูจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว พีกับแพรวเห็นเต็มตาว่าสายรัดนั้นเริ่มละลาย บริเวณที่เป็นแผ่นกรองก็ถึงกับย้วยหยดหลอมลงมาเป็นเมือก
.
"แหมะ!"
.
หน้ากากกันแก๊สเองก็เช่นกัน แผ่นกระจกกั้นขึ้นฝ้ามองไม่เห็น อุณหภูมิภายในน่าจะสูงสุดมันถึงได้ร้าวแล้วก็ปริแตกออกจากกันเสียงดังเพล๊ง! ยามแต่ละคนดิ้นพล่านราวกับตกนรก ลำตัวพวกเขาหงิกงอพับยู่พลันสิ้นใจตายด้วยทุกขเวทนาสังขาร 10 ศพแน่นิ่งอิงชิดติดกับศพลุง
.
"อ๊ะ!"
"อะ..อะไรกันเนี่ยะ?"
แพรวปิดปากแผดเสียงกรี๊ดในลำคอ ก่อนจะหลุบสายตาหันมามองใบหน้าพีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
.
"มันชัดยิ่งกว่าชัดอีกมึง มิวท์ติดเชื้อและพวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่"
"ต้องรีบไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ให้เร็วที่สุด! , ไป! , ไปเดี๋ยวนี้เลย!"
.
กระเทยควายตะคอกใส่ หมดความจำเป็นที่ทั้งสองจะกระซิบกระซาบกันอีกต่อไป เพราะต่อให้เสียงดังยังไงก็ไม่เหลือยามหน้าไหนมาล็อคตัวอยู่ดี แพรวเห็นด้วยกับสิ่งที่พีพูดทุกอย่างเธอประเมินสถานการณ์เข้ากับข่าวที่เพิ่งดูมา เลยพอจะอนุมานได้ว่ามิวท์น่าจะติดเชื้อจากอสุจิ ดูจากพฤติกรรมการคุกเข่าอมนกเขาให้คนสวนแล้ว แค่นี้เพื่อนลุคคุณหนูก็ไม่ใช่คนเดิมที่แพรวเคยรู้จักอีกต่อไป
.
วาดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซต์โดยพลัน ภาพสุดท้ายก่อนยวดยานพาหนะจะลับทิวรั้วไป เธอมองเห็นภาพมิวท์ตอนกำลังคุกเข่าถ่างปากอ้าซ่าโม้คดุ้นให้พี่เปรม แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
.
"หืม?"
"ใจเย็นแพรว มึงรอดแน่มึงไม่ต้องร้องหรอกกูเปียกหลัง"
.
"ฮึ.. ฮือ.. ฮือ.. ฮือ.."
"ใครบอกกูร้อง กูไม่ได้ร้องสักหน่อย.. ฮือ.. ฮือ.. ฮือ.."
.
.
การตายรายวันยังคงมีต่อเนื่อง เชื้อไวรัสร้ายแพร่กระจายขึ้นสู่อากาศต้านทานแรงโน้มถ่วงทำให้ลอยค้างอยู่ได้นานถึง 3 วัน 3 คืนโดยไม่ตกกระทบสิ่งใด ทำให้มันแพร่ระบาดไปได้ไกลโดยไม่ต้องใช้วีซ่า มันกระจายลงสู่แหล่งน้ำแทรกซึมลงไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา , แม้น้ำลำคลอง , ท่อระบายน้ำอันโสโครก , หรือแม้กระทั่งท้องทะเลมันก็แพร่ลงไปถึง ไวรัสไม่ได้มีเหงือกไว้หายใจแต่มันก็ไม่ตายแม้จะอยู่ในน้ำที่มีออกซิเจนน้อยเต็มที
.
ผลพวงจากการระบาดนี้ทำให้หน้ากากครอบแก้วติดใบพัดของบริษัท AP ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รูปลักษณ์ของเจ้านี่คงไม่ต้องอธิบายซ้ำ แพรวใช้มันจนคล่องแถมคนอื่น ๆ ก็ขาดมันไม่ได้เช่นกัน บริษัท AP ตักตวงจากนวัตกรรมชนิดนี้จนได้รับเม็ดเงินไปมหาศาล พวกเขาขายหน้ากากรุ่นใหม่ตัดราคาหน้ากากอนามัยของรัฐบาล แถมยังส่งออกไปต่างประเทศอีกตั้งหลายคอนเทนเนอร์
.
ยังมีเรื่องของน้ำดื่ม ด้วยความที่ตัวเชื้อแพร่กระจายลงสู่แหล่งน้ำอุปโภคบริโภค ประชาชนจึงจำเป็นจะต้องกดน้ำจากตู้กรองของบริษัท AP เพียงอย่างเดียว มันถูกเรียกว่าตู้อัลตร้าเพราะใช้ระบบแสงอัลตร้าไวโอเลตในการทรานซิสชั่นน้ำให้กลายเป็นไอ ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็เหมือนตู้กดน้ำหยอดเหรียญธรรมดาทั่วไปนี่แหละ มันถูกติดตั้งกระจายไปตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ แล้วก็มีช่องหยอดเหรียญที่รองรับแค่เหรียญ 10 เพียงอย่างเดียว มิหนำซ้ำยังต้องหยอดถึง 8 เหรียญต่อน้ำเพียง 1 ขวด โอ้แม้เจ้า! โปรดจินตนาการเอาเถอะว่าบริษัท AP จะร่ำรวยขนาดไหน
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าท่ามกลางความวิกฤตเช่นนี้ คนเดียวในประเทศที่ยังคงเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ก็คือมหาเศรษฐีจากบริษัท AP นี่เอง มิวท์กับครอบครัวกำลังมั่งคั่งขึ้นเป็นเท่าทวี ซึ่งนี่แหละคือความจริงที่มิอาจปฏิเสธ
.
.
"วี้หว่อ! , วี้หว่อ! , วี้หว่อ! , วี้หว่อ!"
.
เสียงหวอรถตำรวจดังแข่งกับรถพยาบาล สถานการณ์อันตึงเครียดทำให้บุคลากรต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ ทว่าระยะหลังมานี้ปริมาณเกินกว่าครึ่งดันกลายเป็นเสียงหวอสัญญาณของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแทน
.
นั่นก็เพราะชาวต่างชาติทุกคนที่ลงเครื่องมาล้วนต้องถูกกักตัวทั้งหมด พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศได้หากไม่ได้รับการกักกันโรคจนครบระยะเวลาฟักตัวที่ 14 วัน "State Quarantine" คือชื่อเรียกปฏิบัติการ โดยจะทำการคัดสรรโรงแรมต่าง ๆ ที่สะอาดสะอ้านและมีศักยภาพพอเพื่อนำมาใช้เป็นที่กักกัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีโรงแรมไหนเข้าเกณฑ์เลยสักแห่งนอกเสียจากโรงแรมในเครือ AP ที่มีนวัตกรรมฆ่าเชื้อแบบอัลตร้าลักษณะเดียวกับที่ใช้ในตู้กดน้ำ
.
ความชาญฉลาดของพวกเขากลายเป็นการผูกขาดแบบกลาย ๆ เหมือนเป็นการมัดมือชกให้ภาครัฐไม่มีทางเลือกจนต้องยอมจ่ายเพื่อให้มาตรการนี้ดำเนินต่อไป นี่แหละคือธุรกิจเพราะถ้าลองนับดูแล้วตั้งแต่เหนือจรดใต้โรงแรมของบริษัท AP มีมากถึงพันกว่าแห่ง ชนิดที่ต่อให้ไม่มีโรคระบาดเฮงซวยนี่แค่ค่าเปิดห้องให้คนเข้าไปขี้ AP ก็นับเงินแต่ละปีไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
.
ก็เลยไม่แปลกใจที่พอเวลาผ่านไปสักพัก กระแสความไม่พอใจของสังคมจะปะทุขึ้นมา!
.
รถตำรวจตม.วิ่งจับฝรั่งต่างชาติ รถพยาบาลวิ่งขนส่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แล้วรถตำรวจล่ะคิดว่าวิ่งกันทำไม? คำถามนี้คนที่น่าจะตอบเราได้ดีที่สุดเห็นจะเป็นแพรว เพราะตอนนี้เธอแทบจะอยู่ใจกลางกลุ่มผู้ชุมนุมเลย
.
"ออกไป! , ออกไป! , ออกไป! , ออกไป! , ออกไป! , ออกไป!"
"AP จงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ!"
เป็นสโลแกนที่แกนนำตะโกนใส่โทรโข่ง เพื่อเชื้อเชิญให้ม็อบพูดตามจะได้ปลุกพลังให้ฮึกเหิม
.
แน่นอนว่าแพรวเองก็ใส่สุดเสียง เธอชูกำปั้นขึ้นฟ้าขย่มโครม ๆ ไปตามจังหวะ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าสิ่งที่บริษัท AP ทำนั้นไม่ถูกต้อง พวกเขาควรจะอยู่ข้างประชาชนที่ลำบากไม่ใช่มาขูดเลือดขูดเนื้อกันในยามวิกฤตเช่นนี้
.
"ไอ้ขี้ตู่! , ไอ้ขี้ตู่! , ไอ้ขี้ตู่!"
เธอตะโกนเสริม ด้วยความหมั่นไส้ AP ที่ตอแหลมานานแสนนาน ผนวกรวมกับการโกรธมิวท์ด้วยก็ส่วนหนึ่ง
.
บ้านเมืองกำลังเกิดกลียุค สถานการณ์บานปลายจนขยายวงกว้าง ทุกอย่างกำลังจะเอาไม่อยู่ กระแสธารแห่งความไม่พอใจถาโถมหนักขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลต้องเผชิญกับแรงกดดันในทุก ๆ มิติ เพราะถ้าไม่ง้อนวัตกรรมของบริษัทหน้าเลือดนี่ชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็จะเป็นอันตราย บุคลากรที่เก่งที่สุดในประเทศล้วนสังกัดอยู่ใน AP พวกเขามีโรงพยาบาลเอกชนที่เจ๋งที่สุดในโลก พวกเขามีโรงแรมที่ฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตร้าเทคโนโลยีระดับสูง มิหนำซ้ำยังมีทีมวิศวกรที่ควบคุมอุปกรณ์ไฮเทคทุกชนิดในประเทศนี้ได้ โดยใช้เพียงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อบเพียงแค่เครื่องเดียว
.
เรียกได้ว่าภาครัฐไม่มีแต้มต่อใด ๆ เลยมีแต่ตายกับตาย แต่ก็ถือว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างเพราะท้ายที่สุดแล้วประเทศนี้ก็หลุดพ้นจากวิกฤตม็อบมาได้ ด้วยการใช้วิกฤตโรคภัยที่มีอยู่เดิมให้เป็นประโยชน์
.
นั่นก็คือ..
.
จู่ ๆ พื้นถนนก็แตกระแหง รอยแยกฉีกตัวเป็นแนวยาวราวกับสายฟ้าฟาดปักลงไปในเนื้อดิน ท่อแก๊สรั่วพ่นละอองฟูฟ่อง กลุ่มคนแตกกระเจิงต่างคนต่างไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าพลานุภาพของเชื้อไวรัสมรณะสายพันธุ์นรกจะรุนแรงถึงเพียงนี้ คำเตือนที่ว่าให้รักษาระยะห่างจึงไม่ใช่เรื่องตลก เพราะถ้าพวกเขาแออัดยัดเยียดจนเกินไปก็จะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของมัน
.
กลุ่มผู้ประท้วงหลอมละลายดุจไอติมแท่ง เสื้อผ้าพวกเขากลืนหายกลายเป็นน้ำกลั้วไปกับกระดูกที่โดนเชื้อร้ายย่อยสลายจนเละเทะ นับร้อยชีวิตไหลย้อยลงไปในซอกถนนที่แตกระแหง ไม่เหลือแม้แต่ศพ ไม่มีแม้แต่เศษชิ้นส่วนเนื้อ covid สายพันธุ์ใหม่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธเคมีใด ๆ ดีแค่ไหนแล้วที่แพรวหนีรอดออกมาได้อย่างเฉียดฉิว
.
ภาพการตายหมู่กับเสียงโหยหวนยังคงก้องอยู่ในหูเธอ หมดกันความเกรี้ยวกราดอยากเรียกร้องที่เตรียมมา แม้แต่ป้ายผ้าป้ายไฟก็ยังไม่ได้ใช้ งานนี้ม็อบเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ "อย่าเก๋ากับธรรมชาติ" น่าจะเป็นคำคมที่เหมาะที่สุดเพราะศัตรูตัวจริงหาใช่บริษัท AP หรือรัฐบาลไม่ หากแต่เป็นเชื้อไวรัสขนาดจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต่างหาก
.
บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มาตรการต่าง ๆ ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น เสียงไซเรนดังระงมไปทั่ว จากแต่ก่อนที่เป็นเสียงหวอของรถตำรวจ , รถพยาบาล , แล้วก็รถตม. ตอนนี้ได้เพิ่มหวอของรถตรวจเชื้อเคลื่อนที่เข้ามาด้วย พวกมันได้รับคำสั่งให้วิ่งพร่านไปทั่วทั้งเมืองเพื่อสุ่มตรวจผู้คนซึ่งเป็นการตรวจแบบเชิงรุก กล่าวคือหากพบผู้ติดเชื้อเมื่อไหร่ก็จะทำการจับกุมและนำตัวมากักกันในทันทีไม่มีข้อยกเว้น
.
.
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึี่งในสังกัดของ AP
.
ในห้องประชุมปลอดเชื้อต่อหน้าฟิล์ม TC แสกนของผู้ป่วย covid รายหนึ่ง คณะแพทย์กำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นการรักษาอย่างเข้มข้น
.
"ตัวอย่างเลือดหมายเลข 001 ให้ผลออกมาเป็นบวก มีความเป็นไปได้ที่เราจะทำการผลิตแอนติบอดี้จากเลือดของเขาครับ"
นายแพทย์คนหนึ่งบอก เขาเดินไปดูใกล้ ๆ ฟิล์มแสกน พลางทอดสายตาลงต่ำมองดูผู้ป่วยที่สลบอยู่บนเตียงผ่านจอมอนิเตอร์ไปด้วย
.
"แต่มันจะเป็นการทรมานผู้ป่วยนะ พวกเขาไม่ใช่ศพยังเป็นคนที่มีลมหายใจ ผมไม่เห็นด้วย! เราควรทดลองกับสัตว์ทดลองก่อนอย่างน้อยก็ไม่ผิดจรรยาบรรณ"
หมออีกคนค้าน
.
"แล้วมันมีเวลาขนาดนั้นไหมล่ะ! คุณก็เห็นว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่มีหมออย่างเราประเทศนี้ก็ไม่มีทางรอด!"
.
"แต่?"
.
"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เราได้ข้อสรุปแล้ว เชื้อไวรัสนี้จะทำลายตัวเองถ้าใช้แอนติบอดี้ของผู้ป่วยเก่า ถ้าคุณกลัวทำคนตายนักคุณก็แค่ไปหาผู้ป่วยมาสะสมไว้เยอะ ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว"
.
คำพูดจากปากหมอช่างเหมือนหมาซะยิ่งกระไร หลังการถกเถียงอันเผ็ดร้อนก็ได้มีการเซ็นคำสั่งอนุมัติโดยท่านประธานใหญ่ของ AP ข้อมูลผู้ป่วย covid มากมายใน State Quarantine ก็เลยถูกเปิดเผยออกมาหมด นั่นเท่ากับว่าบรรดาผู้ป่วยล้วนต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นหนูทดลองให้พวกหมอ ๆ โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
.
แต่ก็ยังไม่พอเพราะเมื่อความรุนแรงของเชื้อถูกนำมาเป็นข้ออ้างโดยชอบทำ กระดาษคำสั่งแผ่นนั้นจึงเป็นดั่งอาญาสิทธิ์ที่เปิดทางให้รถตรวจเชื้อวิ่งไปที่ไหนก็ได้ เพื่อควานหาคนติดเชื้อเข้ามาเพิ่ม
.
ยานพาหนะสี่ล้อหักเลี้ยวเข้ามาจอดนิ่งอยู่ในซอกตึกแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ในชุดเกราะถือไม้กระบองกระโดดลงจากท้ายรถ พลันกระหน่ำฟาดใส่คนทุกคนที่เดินผ่านมาจนช้ำ พวกเขาพิพากษาคนผ่านปืนวัดอุณหภูมิที่ถือไว้ในมืออีกข้าง ใครมีไข้สูงถือว่ามีความเสี่ยงและจะต้องโดนจับไปตรวจอย่างละเอียดบนรถอีกรอบ หากพบว่าเป็นบวกคือเรียบร้อย! ต้องถูกส่งเข้าสถานกักกันทันที
.
ปากก็อ้างว่ารักษาแต่ความจริงคือการเอาคนไปสกัดเป็นยาเสียมากกว่า นี่เหรอหมอ? นี่เหรอบุคลากรทางการแพทย์ที่ใครต่างก็คาดหวัง
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ
"ซึบ!!!".เสียบ ๆ ๆ ! กระซวก ๆ ๆ ! ย้ำแผลเดิมอีกราวสิบกว่าครั้ง ทำให้ร่างเปลือยของชายที่แน่นิ่งอยู่แล้วกลายเป็นเหมือนหมูที่อยู่บนเขียง กงเล็บของมิวท์ถูกดึงขึ้นมา ความแหลมเฟี้ยวดังกล่าวถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยลิ่มเลือดที่หยดติ๋ง ๆ ไหลซึมลงมาถึงข้อศอก.แววตาแดงก่ำไม่เห็นแม้แต่ลูกตาดำ ขนาดฟันเขี้ยวด้านหน้ายังยื่นแหลมงุ้มออกมาพ้นมุมปาก ไม่มีทางเลยที่มิวท์ตัวจริงจะต่อต้านตัวตนใหม่เฉกเช่นปีศาจนี้ได้ มันบังคับร่างกายเธอให้เคลื่อนไหวไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ และครั้งนี้ก็คงจะหิวถึงได้เริ่มคอนโทรลมืออีกข้างของมิวท์ให้ควักลงไปในปากแผล พลันดึงเอาเครื่องในอวัยวะสด ๆ ออกมาจากลำตัว."ควัก!!!""หมึบบบ! , หมับบบ!!!".ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไม่ถามดินถามฟ้า พอได้ออกมาก็จับยัดเข้าปากแล้วก็เคี้ยวตุ้ย ๆ แทบจะทันที ซึ่งนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่มิวท์หวนคิดถึง....ตัดภาพกลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบันในเฮลิคอปเตอร์.หญิงสาวลุคคุณหนูกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว เธออยู่ในอาภรณ์มิดชิด ปากยังคงเคี้ยวเอื้องเอาเศษอวัยวะของพี่พลขับลงคอไปเป็นอาหาร.. อึก.. อึก...ตอกย้ำว่ามิวท์รู้ทุกอย่างว่าที่ผ่านมานั้นคืออะไร เธอถูกเชื้อโค
เหงื่อนองท่วมร่างกาย กะบังลมเคลื่อนตัวเทียวหดเทียวขยายหอบแฮ่ก ๆ กันทั้งสองคน ลำควยยังคงปักเสียบอยู่ในหี เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งนาทีเมือกคาวสีขาวขุ่นอันเกิดจากน้ำเชื้อแห่งการผสมพันธุ์ ก็ซึมทะลักออกมาตามช่องว่างระหว่างอวัยวะเพศ."แหมะ! , แหมะ!".มันหลากล้นออกมาเปื้อนพุ่มไหมดงแมกไม้ของพี่พลขับเต็มไปหมด แต่ครานั้นนวลนางผู้คร่อมร่างอยู่ข้างบนก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง มิวท์นิ่งราวกับโดนถอดปลั๊ก! เธอยังคงชูแขนพับข้อศอกอยู่ในท่ามัดผม พลันหลับตากัดริมฝีปากแล้วก็ค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น จนพี่เขาชักจะประหลาดใจ."นี่คุณเล่นมุกอะไรของคุณเนี่ยะคุณมิวท์?""แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ "เขาลองตวาดถามดูอีกครั้งถามแม่งทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่หายเหนื่อย และการหอบหายใจสั่นรัวดังกล่าวก็ทำเอาร่างบางที่คร่อมอยู่มูฟตัวเองโยกโยนตามไปด้วย."แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ หนอยแน่! ดีล่ะ! ถ้าจะเล่นแบบนี้ล่ะก็..""ผมก็จะง้างปากคุณด้วยแท่งควยของผมเอง..""ให้มันรู้ไปสิว่าคุณจะนิ่งต่อไปได้ ถ้าโดนควยกระทุ้ง!"."แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ ""ฮึบ!!!"."สวบ! , สวบ! , สวบ! , สวบ! , สวบ! , สวบ!".กัดฟันรวบรวมพลังทั้งหมดส่งจากปลายตีนขึ้นมาถึงบั้นเด้า พี่เขาเอาจริงไม่







