LOGIN“พี! , อีพี! , นี่กูเอง! แพรวเพื่อนมึงเองนะ! เกิดอะไรขึ้นกับมึงเนี่ยะ!”
ลากตัวเพื่อนลงมาจากอานมอเตอร์ไซต์ นิสิตสาวจับเขานั่งราบลงกับพื้นถนนเอาหลังพิงตัวรถเอาไว้
.
“อั๊ก~!”
“กะ.. กูไม่รู้กูหายใจไม่ออก.. ก.. ก.. ช่วยกูด้วย!”
“อั๊ก.. ก.. ก.. , อั๊ก.. ก.. ก.. ก , อั๊ก.. ก.. ก!”
ไม่เหลือเค้ากระเทยคิงคองที่ทรงพลัง พีแทบจะพูดไม่เป็นคำอยู่แล้วหน้ากากครอบแก้วของเขาเริ่มขึ้นฝ้า ผสมกับลิ่มเลือดที่เจ้าตัวสำลักออกมาเป็นจุด ๆ
.
มือเริ่มชักเกร็งขาเริ่มสะบัดเตะป่ายปัดไปทั่ว ทั้ง ๆ ที่ตัวเลขออกซิเจนบนหน้ากากยังเหลืออยู่เกือบ 50% อาการแบบนี้น่าจะเกิดกับแพรวที่ใส่หน้ากากเวอร์ชั่นแฮนด์เมดอยู่มากกว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัท AP แสนจะมีคุณภาพแต่มาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับลูกค้าได้ยังไง ลุงไทยมุงคนเดิมก็เลยตะโกนสวนขึ้นอีกครั้ง
.
“ไม่ไหวหรอกอีหนูเอ๊ย! พาขึ้นมอไซต์แล้วไปส่งหมอที่ด่านตรวจโควิดดีกว่า ด่านอยู่หัวมุมถนนตรงนี้นี่เองพวกเราพยายามช่วยทุกอย่างแล้ว แต่หมวกครอบแก้วมันถอดไม่ออกเลย! มันแข็งแรงมาก! ไอ้หนุ่มนี่กำลังจะตายเพราะมันนะ!”
.
แพรวเห็นด้วยอย่างยิ่ง เธอเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าหน้ากากครอบแก้วที่พีใส่อยู่นั้นไม่ใช่รุ่นปกติ ตัวล็อคเป็นเหล็กสายรัดเป็นยางโพลิเมอร์ที่ทั้งเหนียวและทนไฟ แผ่นกั้นด้านหน้าก็ไม่ใช่พลาสติกธรรมดาแต่น่าจะเป็นกระจกกันกระสุน ทุกทีที่เคาะลงแรง ๆ กระดูกมือนั้นแทบหัก ดูรวม ๆ แล้วไอ้หมวกซังกะบ๊วยนี่แหละคือตัวปัญหา พีตายคาอุปกรณ์ชนิดนี้แน่ถ้าถอดมันไม่ออก
.
เหงื่อนองท่วมหน้าตัวเลขบอกปริมาณก๊าซในหน้ากากแพรวลดเหลือแค่ 2 % ด้วยความสัตย์จริงว่าเธอเองก็จวนจะวิกฤต แพรวหันซ้ายแลขวาคิดวิเคราะห์ว่าจะเอายังไงต่อไปดี จะส่งพีที่เป็นกระเทย LGBTQ ไปให้หมอดีไหม คงไม่ดี! เพราะเจ้าตัวก็เพิ่งปฏิเสธอยู่หยก ๆ ครั้นจะไม่ทำอะไรเลยเพื่อนก็เจียนจะขาดใจตายลงต่อหน้าต่อตา
.
นี่มันวันวินาศสันตะโรอะไรกัน ทำไมคนอย่างแพรวถึงเจอแต่เรื่องแย่ ๆ ไม่หยุดหย่อน เธอเป็นตัวเอกของเรื่องนี้นะ จะมาสูญเสียคนรักกับของรักไปในคราวเดียวกันมันก็กระไรอยู่ ว่าแล้วสาวเจ้าจึงสอดมือเข้าไปยังใต้คางตัวเอง พลางปลดตะขอรัดคางของหน้ากากกันแก๊สออก
.
“คลิก!”
.
“ฟู่~!!!”
เขม่าควันโพยพุ่งผมยาวสลวยสะบัดพรึบหยาดเหงื่อกระเซ็นซ่าน ทำเอาไทยมุงถึงกับแตกตื่น พวกเขาต่างถอยกรูออกห่างเป็นวงรัศมี ไม่มีใครอยากสัมผัสโดนสารคัดหลั่งของคนแปลกหน้า ต่อให้ตรงหน้าจะเป็นนิสิตสาวสวยงามหุ่นดีระยับ ก็มิอาจปฏิเสธความกลัวต่อเรื่องนี้ได้
.
“เฮ๊ย!”
“แล้วนั่นเอ็งถอดออกทำไมล่ะนังหนู? ประเดี๋ยวก็ตายห่าหรอก?!”
ถ้อยคำเป็นห่วงกึ่งต่อว่าโพล่งออกจากปากของลุงคนเดิม แกใช้ปลายนิ้วเคาะลงที่หน้ากากครอบแก้วของตัวเอง "ป๊อก ๆ !” ราวกับต้องการจะส่งสัญญาณว่า ยุคนี้สมัยนี้มีไอเท็มชนิดนี้เป็นสิ่งจำเป็น
.
แพรวก็เลยตะคอกเสียงใส่ โดยมีร่างอันแน่นิ่งของพีนอนหนุนอยู่บนตัก
.
“หยุดพูดไปเลยลุง!”
“หนูแค่จะลองปลดตะขอตรงสายรัดคางของหนูดูเฉย ๆ ถ้าเราสอดนิ้วเข้าไปข้างล่างได้แล้วดึงกลับทาง แค่นี้ล็อคก็จะหลุดออกได้ง่าย ๆ "
.
แววตาดุดันโคตรน่ากลัว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันคือภารกิจช่วยชีวิต
.
"แล้วถ้าเราเอาตรรกะเดียวกันมาใช้กับเพื่อนหนูดูบ้าง มันอาจจะเวิร์คพวกลุงอาจจะใช้ความรุนแรงกับพีมากเกินไป หน้ากากก็เลยไม่หลุดออก ขอหนูลองพิสูจน์ทฤษฎีดูหน่อยเถอะนะคะ”
.
แพรวอธิบายด้วยใบหน้าที่เปล่าเปลือย ความขาวไม่มีประโยชน์ความคมเป็นแค่เรื่องไม่จำเป็น มันปกป้องเธอไม่ได้และตอนนี้คำถามสำคัญก็คือ เธอจะทนกลั้นหายใจไม่ให้ไวรัสเข้าสู่โพรงจมูกไปได้นานแค่ไหน นี่ต่างหากที่พวกลุง ๆ ไทยมุงเป็นห่วง บางส่วนในพวกเขาจึงได้แอบผละตัวออกไปเพื่อโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนโรค ซึ่งพวกเขากำลังจะมา
.
โฟกัสของแพรวมีแค่พีเพื่อนรัก เธอจึงเริ่มสอดนิ้วเข้าไปที่ใต้คางของพีซึ่งน่าจะมีระยะห่างระหว่างผิวเนื้อ กับขอบหน้ากากมากพอให้นิ้วเรียว ๆ ของหล่อนแยงเข้าไปได้ อ้างอิงจากก่อนหน้านี้ที่ทำกับหน้ากากของตัวเองสำเร็จไปแล้วหนหนึ่ง แต่ดันไม่ใช่!
.
“กึก!”
ติดขนัดนิ้วมือชนเข้ากับขอบวัสดุที่งอกเสริมออกมา อุปกรณ์ดังกล่าวปิดกั้นช่องว่างที่ควรจะมีเอาไว้ ทำให้แพรวสอดนิ้วเข้าไปได้แค่ไม่กี่มิลลิเมตร
.
“บะ.. บ้าน่ะ!”
“อะไรกัน! ทำไมถึงแหย่เข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้ล่ะ?!”
.
ตกใจจนต้องดึงนิ้วออกมาสะบัดรุนแรง สีหน้าแพรวดูไม่ดีนักวินาทีที่เธอก้มมองดูเพื่อนผ่านส่วนหน้าของหน้ากาก กลับพบแต่คราบเลือดสีแดงฉาน ที่กระเซ็นซ่านเปรอะจนมองไม่เห็นว่าคนข้างในเป็นยังไง
.
แขนพีพาดห้อยต่องแต่งขาเขาหยุดดิ้นทุรนทุราย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงครือครางขอความช่วยเหลือ ไม่มีแม้แต่การกระเพื่อมของทรวงอกที่บ่งบอกถึงสัญญาณชีพ นั่นจึงหมายความว่า
.
“พี~!”
“อีพี~!”
“เฮ๊ย! ไม่เอาสิ! อย่าทำแบบนี้เพื่อน! มึงจะมาตายอย่างหมาข้างถนนแบบนี้ได้ไง!”
“มึงคือซุปเปอร์โมเดลไม่ใช่หรอ?”
“ไหนมึงบอกมึงจะไประดับโลกไง?!”
“อีพี~!”
“อีพี~!!!”
“พี!!! , พี!!! , พี!!!"
“ม่ายยย~!!! , กรี๊ดดด~!!!”
.
น้ำตาแตกเป็นสายโลหิตแพรวแผดร้องเจียนจะขาดใจตาย เธอทั้งทุบทั้งตีทั้งเขย่าร่างหนาของเพื่อนด้วยเรียวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ต่อด้วยการซุกหน้าลงไปอิงแอบกับแผ่นกระจกกั้นที่กักกันเธอออกจากเพื่อนและเลือดของเขา หยาดน้ำตาย้อยเป็นทาง มันเปรอะเปื้อนเลอะเทอะจนใครเห็นเข้าก็อดเวทนาสงสารไม่ได้ ทำทุกอย่างแล้วทำทุกทางแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววที่พีจะได้สติกลับคืนมาเลย
.
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจากแพรวที่โกรธแค้นเปรมกับมิวท์อย่างหนัก มาบัดนี้โชคชะตากับเล่นตลกใส่เธอด้วยการพรากเพื่อนที่สนิทที่สุดไป พีจากไปแบบคลุมครือ การตายของเขาสุดแสนจะเป็นปริศนา แต่ก็มิวายทิ้งเบาะแสอะไรบางอย่างเอาไว้ ว่าไอ้หน้ากากครอบแก้วจากบริษัท AP ที่เขาใส่นี่แหละคือตัวแปรสำคัญ ไม่มีมันพีก็ไม่ตาย นี่คือข้อเท็จจริงเดียวที่แพรวมีในตอนนี้
.
“วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~!”
“วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~! , วี้หว่อ~!”
.
ช็อคจนไม่รู้สติแพรวจิตหลุดไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตัวชาหน้าชาก้นจ้ำเบ้าจนไม่รู้ว่าทีมแพทย์กับทีมเปลแล้วก็รถพยาบาลได้ลงสู่พื้นที่แล้ว บรรดาไทยมุงต่างพากันโบกมือเพื่อส่งสัญญาณว่ามีผู้ป่วยอยู่ตรงนี้ แล้วก็เป็นโชคดีของแพรวที่ได้ลุงพลเมืองดีคนเดิมเป็นคนลากตัวเธอออกมาจากจุดเกิดเหตุ พร้อมกับหาหน้ากากอันใหม่มาให้
.
“หมอครับ..ตรงนี้อีกหนึ่งครับ! นังหนูนี่ไม่มีหน้ากาก!”
แกว่า
.
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นแกซะเองที่แม้จะช่วยพีไม่ได้ แต่ก็ได้ช่วยแพรวเอาไว้แบบไม่ได้ตั้งใจ ร่างบางโดนหิ้วปีกออกมาวางลงตรงที่ว่างข้าง ๆ ริมถนน ตาแพรวแข็งเป็นหินดวงตาดำทะมึนหลุดลอย ราวกับถูกกระชากวิญญาณออกไปสู่ยมโลก กระทั่งวินาทีที่มีหน้ากากอันใหม่ครอบสวมลงมาให้ และมีลมก๊าซบริสุทธิ์เสริมเข้ามาในปอด ปากเธอก็ยังทำได้แค่พึมพำในลำคอ
.
“ม่ายยย~ , ม่ายยย~ , อย่าเอาไป~ , อย่า.. า.. า.. , อย่าเอาไป~!”
“อย่าเอาพีไป~ , อย่าเอาพีไป~ , อย่าเอาพีไปนะ~ , อย่าเอาไป~!”
วนไปวนมาอยู่แค่นี้
.
เธอช่วยเพื่อนไม่ได้และภาพสุดท้ายที่เห็น ก็คือร่างอันแน่นิ่งของพีบนเปลสนามที่มีทีมแพทย์ในชุด PPE 4 คนหามขึ้นไปบนรถ
.
“อย่านะ~ , ได้โปรดอย่าเอาพีไป~! , อย่าาา~!”
.
“คร่อกกก!!!”
.
สลบไปทั้งน้ำตาความเสียใจขั้นโคม่าบวกกับความช็อคอันบ้าคลั่ง ใครไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้สึก แพรวบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรงจนหมดสติไปทั้ง ๆ อย่างงั้น กว่าจะตื่นขึ้นอีกครั้งเรื่องราวก็คงดำเนินไปไกลแสนไกลจนตัวละครหลักอย่างเธอ อาจจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันไปซะแล้ว
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ