เข้าสู่ระบบบรรยากาศมาคุขยายตัวห่อหุ้มไปทั้งห้อง ต่างคนต่างนั่งเว้นระยะห่างออกจากกันแต่ครานั้นด้วยความตีบตันของสมอง พวกเขากลับเหมือนถูกบีบคั้นให้ร้อนรนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมิวท์ผู้เป็นคนรับผิดชอบทุกสิ่ง ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกไป ฟากฝั่งของคุณหมอได้พยายามซักถามแล้ว ถึงประเด็นเกี่ยวกับหยูกยาและเสบียงของบริษัท AP ที่สำนักงานใหญ่น่าจะยังมีอยู่ถมเถ
.
แต่มิวท์ก็ตอบกลับไปได้ทันควันถึงสถานการณ์อัพเดทล่าสุด ว่าพี่เปรมกลายเป็นสัตว์ประหลาด! พนักงานแพรแตกหนีเอาชีวิตรอด ไม่มีใครอยู่ที่สำนักงานใหญ่แล้ว และจนป่านนี้เหล่าเสบียงและหยูกยาทั้งหลายก็คงจะถูกแคลนผู้รอดชีวิตปล้นสะดมเอาไปหมด
.
“เราเหลือกันอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ.. ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ แต่พวกเราเหลือกันอยู่เท่านี้จริง ๆ ค่ะคุณหมอ”
สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก ใบหน้าอ่อนเยาว์ลุคคุณหนูยับยู่จนเหมือนคุณยายที่ผ่านการนั่งไทม์แมชชีนมาทัศนศึกษา มิวท์เครียดมาก ๆ กระทั่งพลั้งปากเผลอพูดในสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา
.
“โถ่เอ๊ย! ถ้าตอนนี้มีแพรวอยู่ด้วยล่ะก็ ถ้าได้มืออาชีพอย่างเธอการเอาตัวรอดคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ประสบการณ์การหนีคงช่วยเราได้ไม่มากก็น้อย เธออยู่ไหนกันนะแพรว?”
.
เป็นซุ่มเสียงรำพึงรำพันที่งึมงำอยู่ในคอ ดวงตาก็ก้มลงมองแผนที่ไปด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจสะบัดหน้าขึ้นและโพล่งข้อเสนอออกมา
.
“หรือว่าเราจะหนีดีคะ!? หนีออกจากเมืองหลวงดีไหม? ทุกคนคิดว่าไง?”
“ในเมื่อเสบียงเราไม่พอ ที่นี่เลี้ยงเด็ก 40 คนได้ไม่เกิน 3 เดือนหรอก สู้เราหนีออกจากเมืองหลวงแล้วแสวงหาทางรอดใหม่ อาจจะเป็นที่ต่างประเทศหรือที่ใดสักแห่ง ฉันว่าก็ไม่เลวนะคะ”
มิวท์ผายมือออกสุดไหล่ ไล่สบตาเหล่าคุณหมอและพี่ ๆ ทหารหน่วยอารักขาแทบจะเรียงคน
.
ผลออกมาว่ามีทั้งฝั่งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝั่งคุณหมอบอกว่าเป็นแนวคิดที่ดีเพราะมีรายงานการวิจัยออกมาอยู่เหมือนกัน ว่าบางพื้นที่ยังมีการระบาดที่เบาบางอยู่ ประกอบกับบริษัท AP เองก็มีการดิวซื้อขายก๊าซต้านเชื้อกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ เอาไว้ หากเอาข้อมูลมาบูรณาการกันแคลนที่มีแต่เด็ก ๆ นี้ก็น่าจะขับเคลื่อนต่อไปได้ เป็นไอเดียที่ฟังดูมีความหวัง แต่ก็ต้องใช้เส้นสายและการประสานงานที่เยอะอยู่
.
ซึ่งสวนทางกับความคิดของพี่ ๆ หน่วยอารักขา ด้วยความที่พวกเขาเป็นด่านหน้า พวกเขาต้องยิงต้องบู้และเอาชีวิตเข้าเสี่ยง กับกำลังพลที่น้อยเท่าหยิบมือ การจะเคลื่อนที่เด็กมากมายขนาดนั้นเพื่อหลบหนี ย่อมเต็มไปด้วยตัวเลขความเสี่ยงที่สูงเกินไป
.
“แล้วก็โปรดอย่าลืมนะครับคุณมิวท์ ว่าผู้คนข้างนอกเขาเกลียดพวก AP อย่างเรามากแค่ไหน จริงอยู่ว่าปัจจุบันอาจจะไม่มีหน่วยสืบสวนโรคเชิงรุกของคุณเปรมออกไปไล่จับคนมาทำก๊าซแล้ว แต่อดีตมันก็ยังฝังใจ! แค่เราโผล่หัวออกไปผมว่าเผิน ๆ แคลนอื่น ๆ เขาจะรุมสกรัมเราเพื่อช่วยผู้ติดเชื้อเอาน่ะสิครับ! ”
.
“เอิ่ม.. ม..”
มิวท์ถึงกับอึ้ง พี่ทหารรับจ้างรายนี้พูดเหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์โดนรุมยำที่ท้ายรถขยะกับเธอมา ทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก มิวท์เชื่อเขาหมดใจเพราะเห็นกับตาตัวเองแล้วว่า AP นั้นช่างน่ารังเกียจ เธอก็เลยเงียบและนั่งฟังพี่ทหารพูดต่อ
.
“ผมว่าแทนที่เราจะหนีเราควรใช้การเจรจามากกว่า เอาน้ำเย็นเข้าลูบแล้วเฟ้นหาแคลนเก่ง ๆ สักแคลนที่พอมีศักยภาพในการป้องกันตัวเอง เราควรจะไปเข้าร่วมกับเขาและให้เขาช่วย เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาอวดเก่งครับคุณมิวท์ พวกผมไม่เก่งพอจะไปสู้กับพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกหรอก”
.
พวกคุณหมอพยักหน้ามิวท์เองก็เช่นกัน บอกตามตรงว่าเป็นอีกครั้งที่พี่ทหารชุดดำพูดถูกใจ เพราะเมื่อครู่มิวท์เองก็เพิ่งคิดถึงแพรวอยู่หยก ๆ แต่เธอแค่ไม่รู้จะไปหาเพื่อนคนนี้ได้จากไหน
.
ก้มหน้าลงกวาดสายตาใส่แผนที่อีกที และคราวนี้มิวท์ก็ได้บันดาลใจถึงข้อสงสัยอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสัญลักษณ์ในแผนที่ที่เขียนไว้ด้วยปากกาเมจิก
.
“ไอ้ที่กากบาทไว้นี่คืออะไรเหรอคะพี่ทหาร?”
เธอถาม
.
“เพราะเท่าที่ดูมันไม่ได้มีแค่อันเดียว แต่ถูกกากระจายไปทั่วเป็นจุดต่าง ๆ เต็มแมพเลย แล้วก็มีเพียง 2 - 3 แห่งเท่านั้นที่ถูกกาด้วยปากกาสีแดง?”
.
“ก็นี่แหละครับที่ผมกำลังจะบอก สัญลักษณ์นั่นคือจุดทีี่กองกำลังของเราปะทะกับแคลนผู้รอดชีวิตครับ”
“ต้องเรียนอย่างนี้ครับคุณมิวท์ คือพอหน่วยตรวจเชื้อเชิงรุกของคุณเปรมถูกชาวเมืองต่อต้านหนักเข้า พวกหมอ ๆ ก็ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย พวกเราก็เลยถูกว่าจ้างให้มาทำงานให้แก่ AP ตั้งแต่ตอนนั้น เราถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มผู้รอดชีวิตบ่อยมาก จนต้องทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกเขา”
“แต่ก็ไม่แคล้วเจอกลุ่มทีเด็ดที่รับมือได้ยาก จนเราต้องทำเครื่องหมายเป็นกากบาทสีแดงเอาไว้ตัวโต ๆ ”
.
“เอ๋.. แต่เท่าที่เห็นมีอยู่แค่ 2 จุดเองนะคะสำหรับกากบาทสีแดง มีใต้ทางด่วนหนึ่งจุด แล้วก็ตรงสถานีรถไฟฟ้าเก่าอีกหนึ่งจุด”
มิวท์แทรกขึ้น
.
“ใช่ครับคุณมิวท์ มันเป็นแคลน ๆ เดียวกัน แล้วผู้นำของพวกเขาก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ขวบวัยน่าจะเท่า ๆ กับคุณมิวท์นี่แหละ ผมยังจำเส้นผมสีส้มอมแดงของหล่อนได้ ในแคลนของเธอมีแต่ผู้หญิงกับเด็กแล้วก็เกย์ แต่ก็เล่นเอาเราเหนื่อยตลอด จึงไม่ใช่งานง่ายเลยหากคิดจะล่าคนจากแคลนของหล่อนไปรีดเลือดทำก๊าซ”
.
“หรือว่า?!”
คราวนี้มิวท์ถึงกับตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
.
“พี่รู้ไหมว่าเธอชื่ออะไร?! ชื่อแพรวรึเปล่า?! พี่มีข้อมูลไหม? พวกรูปถ่ายหรืออะไรก็ได้!?”
.
“เราไม่รู้ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ในความเห็นของผมถ้าหากเราได้พวกเธอมาเป็นพวกแล้วร่วมมือกัน เราน่าจะบรรลุภารกิจร่วมกันได้”
ทหารอารักขาจ้องหน้ากลับแบบไม่วางตา ลักษณะเหมือนเป็นการข่มขู่อยู่กลาย ๆ ก่อนที่ต่อมาประกายแสงเล็ก ๆ แห่งความหวังจะอุบัติขึ้น ผ่านการเดินเข้ามาตบไหล่ของทหารรับจ้างอีกนายหนึ่ง
.
เขาแจ้งกับที่ประชุมว่าในการปะทะกันครั้งล่าสุดที่สถานีรถไฟฟ้าร้าง แคลน ๆ นี้ได้โชว์กลยุทธ์สุดเก๋าด้วยการใช้ LGBT ชายสองรายเป็นเหยื่อล่อ และเปิดทางให้สมาชิกคนอื่น ๆ หลบหนี
.
“เราไม่มีรูปภาพของเธอ แต่เรามีเศษผ้าผืนนี้ครับคุณมิวท์ ผมเก็บได้จากศพ มีทั้งลายเซ็นต์และลายมือของสมาชิกทุกคนในแคลน และที่สำคัญคือพวกเขาเขียนว่าจะไปพบกันอีกครั้งที่ "พื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง" เชิญคุณมิวท์ตรวจสอบดูก่อนได้ครับ!”
.
หลักฐานพยานถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ มิวท์จับเศษผ้าสีดำขนาดเท่ากับปลอกแขนกัปตันทีมฟุตบอลขึ้นมาดูใกล้ ๆ พลางทอดสายตาอ่านบรรดาข้อความอวยพรทั้งหลาย จนกระทั่งไปสะดุดตาเข้ากับลายมืออันหนึ่งที่คุ้นตาเธอเป็นอย่างมาก!
.
“ใช่แล้ว! ไม่ผิดแน่! นี่มันลายมือของแพรวฉันจำได้!”
.
“คุณมิวท์รู้จักด้วยเหรอครับ?”
.
“อือ.. เพื่อนสนิทฉันเอง แพรวกับพี่เปรมแล้วก็ฉันเราสนิทกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็มีพีอีกคนหนึ่ง”
.
“งั้นก็ดีเลยสิครับ บังเอิญมากแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสุด ๆ ไปเลย ผมการันตีเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เธอจะช่วยเราได้มากยิ่งเป็นเพื่อนกับคุณมิวท์ด้วยแล้ว เด็ก ๆ ทั้ง 40 คนต้องรอดแน่ครับ”
.
“หึ ๆ ดูพี่จะมั่นใจกว่าฉันซะอีก พอดีว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างซับซ้อนน่ะค่ะ ถ้าเจอหน้ากันตอนนี้บางทีแพรวอาจจะไม่มองหน้าฉันเลยก็ได้ ไม่รู้สิ.. ไม่รู้เหมือนกัน..”
.
“ไม่เป็นไรครับอย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าเธออยู่ไหน?”
ทหารหนุ่มคว้าเศษชายผ้าออกจากมือมิวท์ พลันชูมันขึ้นอังกับแสงไฟนีออนบนฝ้าเพดาน
.
“ใช่ค่ะพี่ “ที่ราบลุ่มภาคกลาง” ไม่รู้ว่ามีอะไรดี แต่เราจะเริ่มต้นจากตรงนั้น”
“การประชุมได้ข้อสรุปแล้วนะคะ เชิญทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ พร้อมเมื่อไหร่เราจะแพ็คกระเป๋าและตามรอยแพรวไปให้ทัน”
.
“ครับ , ค่ะ”
ทั้งทหารทั้งหมอตอบรับเสียงแข็ง นับวันดูทรงมิวท์จะยิ่งเหมือนแพรวเข้าไปทุกที
เจนิสโผเข้าหาแบบไม่สะทบสะท้าน เธอปล่อยชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากลำตัวทิ้งลงเบื้องล่าง พลางเผยอริมฝีปากขบลงที่ซอกคอของมิวท์."งั่ม.. ม.. ม.."เบามากจนเหมือนกับการแทะซะมากกว่า ด้วยเพราะรู้ว่าถ้าหนักกว่านี้พี่สาวคงเจ็บ และจะให้อารมณ์ที่รุนแรงเกินกว่าคำว่าเงี่ยนไปไกลโข เจนิสจึงพยายามจะเลี้ยงไว้ด้วยการละเลงเลีย."หยุดนะน้อง.. นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันติดเชื้อ! อยากตายไปด้วยกันงั้นเหรอ?!"มิวท์ตะโกนดุเสียงดังสนั่น ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาหาเธอแบบไม่ทันตั้งตัว มีอย่างที่ไหนได้สติขึ้นมาก็ดูทรงจะต้องเย่อร์กับผู้หญิงซะแล้ว เป็นใครมันจะทำใจได้ แถมยังเป็นเรดี้ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ต่อให้เป็นเด็กหน้าตาดีไฟหน้าใหญ่เบิ้มแค่ไหน ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่! มิวท์เอาแค่กับผู้ชายแล้วเธอก็ไม่ต้องการแพร่เชื้อให้ใครอีกแล้ว.เจนิสก็เลยอ้อนกลับ."โถ่พี่มิวท์.. ก็ทำแบบที่พี่มิวท์ทำกับคนอื่น ๆ ไง เวลาผู้ติดเชื้อจะขย้ำใครก็มักจะกัดที่คอแบบนี้ก่อนไม่ใช่เหรอ?""หนูอ่ะ.. แค่อยากลองทำแบบพี่ดูบ้าง.. พี่จะได้ไม่เกร็ง.."."งั่มมมม!""งับ! , งั่ม.. , งั่ม.. , งับ! , งับ! , งับ!""แผล็บ, แผล็บ , แผล็บ , แผล็บ
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล







