“ตะลึงในความหล่อของฉันขนาดนั้นเลยเหรอสาวน้อย หึ!”
ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงผม ใบหน้าหวานเห่อแดงขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อะไรวะ นี่เธอกำลังเขินผมจริงๆ ระหว่างที่ผมกำลังพินิจพิจารณาเจ้าของห้องตัวน้อยอยู่ ฝ่ามือเล็กก็ฟาดมาบนใบหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นซะสะดุ้งโหยงเลย
เพียะ!
โอ๊ะ!!
“ยัยเด็กบ้า!! กล้าตบหน้าฉันเหรอ ฮะ!!!” ผมหลุดตะคอกผู้ประทุษร้ายตรงหน้าสุดเสียงด้วยความโมโหพลางเอามือลูบแก้มตัวเองป้อยๆ ไม่ถึงกับแรงมากก็แค่แสบๆ คันๆ แต่ที่ปี๊ดสุดคือไม่มีใครกล้าตบหน้าผมมาก่อนเลยนะ ยัยเด็กบ้านี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถ้าเป็นผู้ชายผมคงสวนหมัดกลับไปแหละ
“มะ...ไม่ใช่ฝันงั้นเหรอ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย
“ฝันบ้าบออะไรของเธอ ฮะ! แล้วทำไมไม่ตบหน้าตัวเองเล่า ยัยเด็กบ้า!!!” ผมตอกกลับเสียงดังลั่น คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ฝันงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองฝันอยู่แล้วมาตบหน้าผมเนี่ยนะ น่าจับบีบคอให้ตายจริงๆ
“นะ...หนู ขอโทษ! คะ...คุณเจ็บไหมคะ”
ยัยตัวเล็กตรงหน้ายกมือไหว้ผงกๆ และถามผมด้วยความเป็นห่วง แต่นั่นไม่ได้ทำให้โทสะผมลดลงเลยสักนิดแค่แปลกใจเท่านั้นเองว่าเธอต้องห่วงคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอขนาดนี้เลยเหรอ
“ลองดูปะล่ะ” ผมตอบคำถามเธอด้วยคำถามพลางง้างมือขึ้น คนตัวเล็กพอเห็นแบบนั้นก็หลับตาปี๋ หดคอลง มือเล็กก็ยังคงพนมอยู่ตรงหน้าผากนั่น ปากเล็กก็พร่ำเพ้อไม่หยุด
“หื้อ นะ...หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษค่ะ”
“เหอะๆ” กลัวอะไรเบอร์นี้วะ คิดว่าผมจะตบผู้หญิงได้จริงเหรอ บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้หน้าตัวเมียขนาดนั้นหรอก
แต่ยัยตัวเล็กนี่แทนตัวเองว่า หนู กับคนที่เพิ่งเจอ? หรือว่าเธอรู้จักผม
เฮ้ย!!!
“เฮ้ย! อะไรวะ! ตกใจหมด”
เจ้าของห้องโพล่งขึ้น ตากลมเบิกกว้างเหมือนเธอตกใจอะไรสักอย่าง เล่นซะผมตกใจไปด้วยเลย ยัยนี่ทำผมเกือบช็อกตายได้วันละหลายรอบเลยนะ ก่อนเธอจะรีบวิ่งไปดึงประตูห้องนอนปิดลงอย่างแรงและยืนบังหน้าประตูไว้แบบนั้น
ปึง!
“ทำอะไรของเธอ” ผมเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย พลางเดินเข้าไปหาเธอตรงหน้าประตูนั่น จ้องนัยน์ตากลมโตเพื่อควานหาคำตอบ ยัยตัวเล็กนี่มีท่าทีแปลกมาก เธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่เห็นหน้าผมและผมเริ่มรู้สึกคุ้นหน้าเธอ หรือเราเคยเจอกันงั้นเหรอ เธอลุกลี้ลุกลนเมื่อผมเลื่อนหน้าเข้าใกล้มากขึ้น
“เอ่อ...คะ...คือ อ๋อ" เธอเอ่ยขึ้นเสียงตะกุกตะกักพลางเบี่ยงหน้าหลบสายตาผม ก่อนจะทำเหมือนนึกอะไรออกแล้วมองไปยังโต๊ะอาหาร "หนูกำลังจะกินข้าว กินข้าวด้วยกันไหมคะ”
“ฮะ!!! ชวนฉันกินข้าว?” ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ พลางทวนประโยคนั้นของเธออีกที ผมชะงัก อึ้งในอึ้ง ยัยตัวเล็กนี่ต้องเป็นไบโพลาร์หรือไม่ก็บ้าไปแล้วแน่ๆเธอชวนผู้ชายที่เพิ่งจะบุกเข้าห้องกินข้าวด้วยเนี่ยนะ แถมตอนแรกร้องขัดขืนจะเป็นจะตาย นี่ผมกำลังเจอกับอะไรอยู่วะเนี่ย
“ไม่ซิ ไม่ใช่ หนูต้องไล่คุณใช่ไหมคะ คุณต้องออกไปจากห้องหนูซิ ถึงจะถูก ใช่ไหมคะ งั้นคุณต้องออกไปนะคะ”
“เหอะๆ” ผมได้แต่เค้นเสียงอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออกเลย เมื่อเจอประโยคที่เหมือนจะเป็นคำถามแต่ก็ไม่ใช่ ผมคิดว่าเธอกำลังเตือนสติตัวเองอยู่มากกว่า ยัยนี่เป็นบ้า แบบไม่ต้องสงสัยเลยและผมควรพาตัวเองออกจากที่นี่โดยด่วนที่สุด แต่ก่อนไปผมควรบอกเธอในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง
“ไปหาหมอบ้างก็ดีนะ”
“คะ...คุณบอกหนูเหรอคะ แต่หนูไม่ได้ป่วยนะคะ ตัวก็ไม่ร้อนด้วย” เธอถามผมกลับด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์พลางยกหลังมือแตะหน้าผากตัวเองเพื่อเช็กอุณหภูมิในร่างกาย โว้ย...กูอยากจะบ้าตาย เธอใช้ชีวิตอยู่บนโลกมาจนถึงป่านนี้ได้ไงวะ ไม่น่าโตมาเลยจริงๆ
“เออ!!! ฉันบอกตัวเอง พอใจยัง” ยัยเด็กบ้านี่ทำลายความอดทนผมได้ดีชะมัด ร่างบางสะดุ้งโหย่งกับเสียงตะคอกของผม ก่อนจะก้มหน้างุดมองปลายเท้าตัวเองอยู่แบบนั้น นี่ถ้าผมเป็นโจรจริงๆ ยัยนี่ตายตั้งแต่ชวนผมกินข้าวแล้วนะ
ผมหมุนตัวกลับกำลังจะเดินออกจากห้องแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนหลังตู้เย็น ผมเปลี่ยนทิศทางเดินตรงไปหาสิ่งนั้นทันที มือหนายกขึ้นเปิดโหลคุกกี้ที่คุ้นตาแล้วหยิบมันขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ
“ไม่!!!” เสียงยัยตัวเล็กนั่นตะโกนมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กที่สาวเข้ามาหาผม
“กินไม่...ม่ายทันแล้ว” แต่ผมยัดมันใส่ปากเรียบร้อยแล้วในจังหวะที่เสียงเธอแผ่วลงเพราะห้ามไม่ทัน
“นี่มัน!!”
ตาผมเบิกกว้างหันมองหน้าเจ้าของห้องตัวน้อยยืนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่มองปากผมที่เคี้ยวคุกกี้ของตัวเอง รสชาตินี้ผมจำมันได้แม่นจนติดลิ้น ทั้งกลิ่น ทั้งรส บ่งบอกได้เลยว่ามันเป็นฝีมือคนทำคนเดียวกันอย่างแน่นอน
“เธอเป็นคนทำ?” ผมเลิกคิ้วถาม
“ปะ...เปล่า เปล่าคะ ไม่ใช่นะ หนูไม่ได้เป็นคนทำ” คนตัวเล็กรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ถึงเธอจะบอกว่าเป็นคนทำ ผมก็ไม่เชื่อหรอก ยัยบ้าเนี่ยนะ...จะทำคุกกี้ได้อร่อยขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผมอยากรู้คือต้นตอของคุกกี้อันนี้ต่างหาก
“งั้นใครทำ”
“คะ...คือ ซื้อมา ใช่ๆ ซื้อมา”
“จากไหน” ผมจ้องหน้าเธอเขม็ง แต่สายตาเธอโคตรล่อกแล่ก
“จากไหน อ้อ จากเพื่อน เพื่อนซื้อมาให้” ผมรู้สึกได้ว่าเธอกำลังโกหก แต่อะไรคือเหตุผลก็ช่าง ยังไงผมก็ต้องได้คำตอบ
“ไปถามเพื่อนมา ว่าซื้อมาจากไหน”
“คุณไม่รู้จักหรอกค่ะ จะอยากรู้ไปทำไมกันเล่า” ประโยคแรกเธอพูดกับผมด้วยเสียงปกติ แต่ประโยคหลังเสียงแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน นั่นแสดงว่าเธอกำลังบ่นให้ผมอยู่ แต่เผอิญผมได้ยินชัดทุกคำ
“ฉันสั่งให้ไปถาม ก็ไปถามมา แล้วฉันจะมาเอาคำตอบ ถ้าไม่ได้ละก็ เธอตายแน่! เข้าใจไหม ฮะ!!!” ผมพูดในโทนเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมพลางจับแขนเล็กทั้งสองข้างบีบแน่น และทิ้งท้ายประโยคด้วยการตะคอกใส่หน้าเธอเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว
“งื้อออ ค่ะๆๆ เข้าใจค่ะ” ร่างบางหลับตาปี๋พลางหดคอลงเป็นเต่าก่อนจะตอบรับผมเสียงสั่นอย่างน่าสงสาร ใจผมกระตุกวูบกับภาพตรงหน้าก่อนจะปล่อยแขนเล็ก เอามือขึ้นเท้าเอวพ่นลมออกจากปากด้วยความหงุดหงิดและพาตัวเองออกมาจากห้องยัยเด็กบ้านั่นทันที
ปึง!
“แม่งเอ๊ย!!” ผมสบถออกมาอย่างหัวเสียทันทีที่ประตูถูกปิดลงอย่างแรงด้วยฝีมือผมเอง ตอนแรกผมไม่เคยอยากรู้เรื่องคุกกี้บ้าบอนั่นเลย แต่พอได้กินมันจากคนอื่น ผมกลับอยากรู้ขึ้นมาใจจะขาดซะงั้น แต่ต้องไม่ใช่ยัยเด็กบ้านี่แน่ๆ
จะว่าไป...ผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอจริงๆนะ ต้องเคยเจอที่ไหนแน่ๆ แต่นึกไม่ออก จิ๊! ช่างแม่งเหอะ เสียอารมณ์ฉิบหาย กลับไปแดกเหล้าต่อดีกว่า หงุดหงิดโว้ยยยย!!
@ผับ
พรึบบบ
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างแรงพลางหยิบแก้วเปล่ามาชงเหล้าตรงหน้า พ่นลมหายใจออกมาซ้ำๆ ทำไมในหัวผมถึงมีแต่ภาพยัยเด็กบ้านั่นก็ไม่รู้ ต้องเคยเจอแน่ๆ แต่ทำไมคิดไม่ออกวะ มันติดอยู่รอยหยักเล็กๆ ในสมองผมเนี่ย ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสามตัวนั่งจ้องผมอยู่ ส่วนไอ้พวกที่มีเมียคงกลับไปนอนกกเมียกันหมดแล้ว
“เป็นห่าอะไรวะ หน้าแม่งยังกะส้นตีน” ไอ้หมอถามขึ้นหลังจากที่มันนั่งจ้องผมมาสักพัก อยากรู้อยากเห็นเรื่องของกูจังเลยนะพวกห่า จะให้กูคิดคนเดียวอยู่ในใจบ้างไม่ได้เลยรึไงวะ ต่อมเผือกนี่แม่งกระดิกไวยิ่งกว่าหางหมาอีกนะ
“อ้าว ไอ้เวร ด่ากูในใจอี๊ก” ไอ้แม็กซ์มันว่าพลางผลักหัวผมจนโยกไปตามแรงของมัน
แค่กๆๆๆ
ผมถึงกับสำลักเหล้าที่กำลังดื่มอยู่ทันที ไม่ใช่เพราะมันผลักหัวผม แต่เพราะไอ้ห่านี่มันรู้แม้กระทั่งผมด่ามันในใจอะ คิดดูเหอะ ยิ่งกว่าเมียกูไปแล้วมั้ง พวกมึงเนี่ย
“เวรฉิบหาย มีเพื่อนแบบพวกมึงเนี่ย” ผมบ่นให้เพื่อนตัวเองพลางส่ายศีรษะไปมาแบบเอือมๆ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ! ไอ้หมอ มึงบินวันไหนนะ” ผมเอ่ยถามไอ้หมอถึงเรื่องที่มันจะไปประชุมเรื่องโรงพยาบาลของมันที่ญี่ปุ่น เห็นว่าจะไปตั้งสองอาทิตย์กว่าประเด็นสำคัญคือมันจะพา มิเชล น้องสาวบุญธรรมของผมไปเที่ยวด้วย และพ่อกับแม่ก็อนุญาตเฉย ใจผมไม่อยากให้น้องไปเท่าไหร่ มันไปทำงานกลัวจะไม่มีเวลาดูแลมิเชล แต่ก็ต้องยอม เพราะมิเชลเองก็อยากไปเอามากๆ
“น่าจะพุธ ทำมะ? จะฝากกูซื้อตุ๊กตายางงะ” มันว่าด้วยหน้าตาที่กวนตีนสุดๆ โธ่..ไอ้เพื่อนเวร คิดได้ไงว่ากูจะใช้ของพวกนั้น ดูถูกกูเกินไปแล้ว
“นี่ใคร ดูด้วยครับเพื่อน ระดับกูไม่ต้องพึ่งของพวกนั้นไหมล่ะ แค่กระดิกนิ้ว สาวๆ ก็ต่อคิวรอจนกูผลิตน้ำไม่ทันแล้วเนี่ย”
ถุย!!!
สิ้นเสียงผม มันสามตัวก็ถ่มน้ำลายใส่ผมพร้อมเพรียงกันแบบไม่ได้นัดหมาย เล่นซะกูหลบเกือบไม่ทันเลยนะ ไอ้พวกเวรนี่! แถมต่อด้วยประโยคที่โคตรขยี้ปมของไอ้เชี่ยแม็กซ์
“โธ่ๆ กล้าพูดนะครับเพื่อน แล้วไอ้ที่มานั่งหน้าเป็นส้นตีนอยู่เนี่ย ไม่ใช่ว่าอดแดกมารึงะ”
“ไอ้สัส! เดี๋ยวถีบแม่งเลย”
ปึกกก...ตุ๊บบ
แต่เผอิญตีนผมดันไวกว่าปาก ยกขึ้นถีบมันจนลงไปนั่งบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ก่อนไอ้แม็กซ์จะลุกมาตบหัวผมฉาดใหญ่เสียงดังลั่นและคือผมหลบไม่ทันไง ไอ้ห่านี่แม่งก็ไวใช้ได้เหมือนกันนะ เล่นซะมึนเลย...
ผัวะ!!
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวพ่อง!!”
“ไวเหี้ย...เหี้ย” ผมว่าพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะหันมาพูดกะไอ้หมอต่อ
“กูจะบอกว่าให้มึงดูแลน้องกูให้ดี ถ้ามิเชลเป็นอะไรขึ้นมานะ มึงตาย!!”
“งั้นมึงคงไม่มีวันได้ฆ่ากูหรอก ไอ้เพื่อนรัก หึ!” มันพูดขึ้นด้วยความมั่นใจพลางยักคิ้วให้ผมอย่างกวนตีน ไอ้ห่านี่ นับวันยิ่งทำตัวไม่น่าไว้ใจ
ความจริงก็ดีเหมือนกันที่มีคนรักและเอ็นดูน้องสาวผม จะได้มีคนช่วยดูแลเธอด้วย และผมต้องไปเอาคำตอบเรื่องคุกกี้นั่นด้วย เอ้า! ไอ้ห่าวา คิดเรื่องน้องอยู่ดีๆ ไหงวนไปเรื่องยัยเด็กบ้านั่นอีกแล้วเนี่ย...
หมับบบบจากที่ผมวิ่งสี่คูณร้อยลงมาจนจะถึงรถอยู่รอมร่อก็ต้องหยุดชะงักเพราะแรงฉุดของใครบางคน แม่งเอ๊ย! ใครอีกวะ วุ่นวายกะกูฉิบหาย ผมหันกลับไปหามันคนนั้นด้วยสีหน้าที่พร้อมบวกสุดๆ แต่พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นแหละ อารมณ์มาเต็มกว่าตอนแรกอีกเป็นหลายร้อยเท่า“ไอ้เหี้ยยู เดี๋ยวก็ถีบแม่งเลย กูยิ่งรีบๆ อยู่”“เฮียจะไปไหน”“เรื่องของกู”“แต่กูรู้ว่ามึงจะไปไหน” เสียงไอ้แม็กดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกแม่งทั้งหมด พากันมาทำเหี้ยอะไรเนี่ย ไอ้หมอแน่ๆ คิดถูกคิดผิดว่ะที่โทรหามันเนี่ย“รู้แล้วก็อย่ามาห้ามกู” ผมพ่นคำใส่ไอ้แม็กเสียงลั่นก่อนจะสะบัดแขนหลุดจากการจับกุมของไอ้น้องชายตัวดีได้สำเร็จ และหมุนตัวกลับแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา ไอ้ดินก็โดดมาขวางหน้าผมไว้ซะก่อน“ใจเย็นกว่านี้ดิวะเฮีย” ไอ้ดินว่า ผมกัดฟันขบกรามแน่นด้วยความโมโห ก่อนจะกระชากคอเสื้อไอ้ดินขึ้นมาประจันหน้า ถ้าคนตรงหน้าผมตอนนี้ไม่ใช่น้องนะ ผมซัดล่วงไปแล้ว แต่นี่คือได้แค่ด่าไง“ใจเย็นเหี้ยอะไร ตอนเมียมึงหายไป มึง
20:00 น.ตื้ดด ตื้ดดดดด[มีไรให้รับใช้ครับ คุณวาโยเพื่อนรัก]ผมเอามือถือออกจากหูทันทีที่ปลายสายพูดจบ เพื่อมาดูว่าใช่คนที่ผมต้องการจะโทรหาจริงๆ รึเปล่า ก็ถูกแล้วนี่หว่า มันทำเสียงเหี้ยอะไรของมันว่ะ แม่งกระดกลิ้นเล่นรอ.เรือตรงคำว่ารักซะกูขนลุกเลย แต่ผมยังไม่มีเวลาด่ามันในตอนนี้“มึงเช็กเดี๋ยวนี้เลยว่าเฌออยู่โรงพยาบาลไหม”[ทำไมวะ]“กูให้ถามรึไงห๊ะ! หาคำตอบให้กูเดี๋ยวนี้!!!”ติ๊ด!ปึงงงง“โธ่โว้ย! หายไปไหนนะยัยเด็กบ้า” ผมถีบประตูห้องยัยเด็กนั่นอย่างแรงพร้อมสบถออกมาเสียงดังลั่น ไม่สนใจด้วยว่าห้องข้างๆ จะได้ยินไหมหรือจะด่าผมยังไง ตอนนี้ผมคลั่งจนแทบจะเป็นบ้า นี่มันสองทุ่มแล้วนะ ยัยเด็กนั่นยังไม่กลับมาห้องได้ยังไงกัน ไหนบอกเลิกคลาสตั้งแต่บ่าย ที่สำคัญคือผมไม่มีอะไรที่จะติดต่อเธอได้เลย เพราะเธอเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ ประวัติทุกอย่างก็ยังคงลงเป็นเบอร์เก่า เบอร์ที่เคยโทรเข้าหาผมก็เป็นเบอร์เก่า.........ครืดดดด…ผมเลื่อนสไลด์หน้าจอรับสายเพื่อนตัวเองอย่างไวพร้อมกับใจจดใจจ่อรอ
Warayu Talk@สนามแข่งรถผมเดินควงกุญแจรถบวกกับผิวปากมาตามทางอย่างอารมณ์ดี ทำไมผมถึงรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ยัยเด็กบ้านั่นวะ ผมคิดว่า...คงจะชอบยัยหนูเฌอนั่นเข้าให้แล้วแน่ๆ ในหัวผมมีแต่ภาพเธอเต็มไปหมดโอ๊ะ!!“ไอ้สัส!!! ตกใจหมด มาทำเหี้ยอะไรแต่เช้าเนี่ยย”ผมสะดุ้งสุดตัว สติแตกกระเจิงไปเลย หุบยิ้มแทบไม่ทันพร้อมกับพ่นคำด่าออกมาเป็นชุดเมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเจอไอ้น้องเวร ที่ดีดตัวขึ้นนั่งจ้องหน้าผมอย่างจับผิดอยู่บนโซฟากลางห้อง แม่งเอ้ย!! กูเกือบช็อกแต่ประเด็นสำคัญคือมันน่าจะเห็นรอยยิ้มบนหน้าผมแล้วแน่ๆ และแม่งก็ต้องเสือกอยากรู้ชัวร์“ฮั่นแน่! ใครน้าทำให้เฮียกูอารมณ์ดีได้ขนาดนี้”นั่นไง...กูว่าแหละ ต่อมเผือกกระดิกเร็วฉิบหายและหน้าตาแม่งก็กวนตีนสุดๆ ซะด้วย“ไม่เสือก!!” ผมด่ามันแบบชัดถ้อยชัดคำแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ภายในเวลาไม่นานกลุ่มควันสีหม่นถูกพ่นออกมาจนฟุ้งไปหมด คงเป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้แตะมันเลยละมั้ง มีความรู้สึกโหย
เช้าวันต่อมา….@มหาวิทยาลัย M“ขอบคุณนะคะ ที่มาส่งหนู”“อืม”ฉันไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณเฮียวาโยที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งที่มหาลัยแต่ได้กลับมาแค่คำตอบรับสั้นๆ ห้วนๆ เท่านั้น ก็จะไปหวังให้เขาพูดอะไรกลับมาล่ะ ตั้งใจเรียนนะ ตอนเย็นจะมารับ งี้เหรอ หวังเยอะไปไหม เฌอนารีนนนน...เฮ้อออ ลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคอที่ตกลงโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ แต่…แกร่กกกฉันยังไม่ทันเปิดเลยนะ แล้วเสียงเปิดประตูนั้นก็ต้องเป็นของฝั่งคนขับซินะ“เฮียจะไปไหนคะ” ฉันรีบหันไปคว้าแขนเฮียวาโยอย่างถือวิสาสะก่อนเขาจะพาตัวเองลงจากรถ“ก็...”“ไม่ได้นะคะ เฮียห้ามลงไปนะ” ฉันไม่รู้หรอกว่าจุดหมายปลายทางของเขาคือที่ไหนเพราะฉันโพล่งแทรกขึ้นซะก่อน แต่ฉันไม่ยอมให้เขาลงไปยืนเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางผู้หญิงพวกนั้นแน่ ขนาดแค่เปิดประตูรถไว้นะ เลด้าของพวกนางยังทำงานได้ดีไม่มีตกเลยสักนิด ทั้งๆ ที่มีฉันนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่แท้ๆ ไม่มีความเกรงใจบ้างเลยรึไงกัน ฉันกวาดสายตามอ
ไม่ใช่แค่ไอจีหรอกนะที่แจ้งเตือนเด้งไม่หยุด แต่ไลน์ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ดีที่ฉันตั้งสั่นไว้ ไม่งั้นละก็...ไม่อยากคิดเลย หนวกหูตายแน่ แค่รูปนิดเดียวเอง ตื่นเต้นไรกันนักหนา อย่าว่า...แต่พวกนั้นเลย ฉันเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้พวกนั้นหรอก ฮึ่ยๆ โมเมนต์แบบนี้ไม่ได้มีกันง่ายๆ นะบอกก่อน แลดูบ้าผู้ชายจริงจังมาก ถ้าวันหนึ่งเขาหายไปจากชีวิตฉัน...ฉันต้องตายแน่ๆ เลย แต่มันยังมาไม่ถึง ช่างไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันมีความสุขก็พอ….ครืดดด~ ครืดดดด~~โอ๊ะ!ฉันสะดุ้งโหยงพร้อมกับปล่อยมือถือที่อยู่ๆ มันก็สั่นจากสายเรียกเข้าของใครบางคนหลุดมือด้วยความตกใจป๊อกกโอ๊ยยย…และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือองศาที่มุมมือถือตกลงไปกระแทกนั่นคือใจกลางหน้าผากของคนบนตักพอดิบพอดี...ร่างหนาร้องลั่นด้วยความเจ็บก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่งจ้องหน้าฉันอย่างเอาเรื่องพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ“หนูขอโทษค่ะ เจ็บมากไหม หนูขอโทษ” ฉันรีบเอ่ยบอกเขาแบบร้อนรน แล้วเอามือขึ้นลูบรอยแดงตรงหน้าผากเขาเบาๆ อีกสักพักมันต้องปูดขึ้นเป็นลูกมะนาวแหงๆ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่นา แต
ปังๆๆ สวบๆๆๆ ปัง ปัง หวืออออระหว่างที่ฉันกำลังทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือนอย่างขะมักเขม้นอยู่นั่น ทั้งเสียงปืน เสียงวิ่ง เสียงหวอก็ยังคงดังสนั่นหวั่นไหวลั่นห้อง ให้ตายเถอะ...นึกว่าล้างจานอยู่ในสนามรบก็ไม่ปาน แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันตกใจได้เท่ากับเสียงเอะอะโวยวายของคนหัวร้อนที่ควบคุมอยู่ในโลกของความเป็นจริงนี้หรอก“นั่นๆ กูโดนเข้าแล้วสัส ไอ้แม็กซ์ ไอ้เหี้ย มาช่วยกูก่อน”และยังไม่พอนะ….ยังคงมีเสียงเอะอะโวยวายของอีกหลายคนตามมาด้วย คาดว่าน่าจะประมาณสี่คนได้ถ้ารวมเฮียวาโยด้วยก็เป็นห้า คิดดูเหอะ...เล่นกันห้าคน แล้วคือเสียงทุกคนก็ดังประสานกันแบบ...เสียงในเกมนี่เบาไปเลย แล้วคือ...สารพัดสัตว์มาเดินป้วนเปี้ยนในห้องฉันเต็มไปหมดแล้วเนี่ย[ไอ้สัส!! กูก็จะตายแล้วเนี่ย ไอ้เหี้ยดิน เก็บหาส้นตีนอะไรนักหนาปืนอ่ะ มาช่วยพวกกูก่อน][อ้าววว เฮีย อ่อนเองอย่าพาลดิวะ]คือมันจำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้ไหม ฉันเช็ดไม้เช็ดมือหลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพลางเหลือบตามองคนหัวร้อนที่นั่งหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันอยู่บนโซฟา ท่าทางกระฟัดกระเฟียดสุดๆ สายตายั