ฉันสะดุ้ง เบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะเสียงของบานประตูที่งับเข้าหากันสนิท ดูเหมือนคนปิดพยายามจะทำให้มันเบาที่สุดแล้ว แต่ก็นั่นแหละ…เฮ้อ ฉันเองก็ไม่ได้หลับสนิทเท่าไหร่ การลงกลอนประตูอย่างแน่นหนาสามารถขัดขวางการบุกรุกของคนภายนอกได้เพียงอย่างเดียวสินะ นายมธุษินทร์ต้องมีกุญแจห้องนอนอยู่ในมือแน่ๆฉันยันตัวขึ้นนั่ง ปรายตามองบนฟูกด้านข้างที่ไม่มีแม้แต่รอยยับ สิ่งนี้ทำให้ฉันโล่งใจนิดหน่อยมือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นคลึงเบ้าตาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมออกปาก ไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน…ฉันถึงจะชินกับการที่ต้องมีเขาอยู่ในชีวิตแสงไฟสลัวจากโคมไฟยังพอทำให้ฉันมองเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังแสดงเวลาตีหนึ่งสิบห้านาทีฉันเอื้อมไปคว้าเหยือกน้ำที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่หยดขึ้นมาดู ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมฉันถึงลืมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้นะ ต้องออกไปข้างนอกจนได้…ขาเล็กหย่อนลงใส่สลิปเปอร์ข้างเตียงและเดินตรงไปดึงประตูเปิดดวงไฟบนเพดานยังคงเปิดสว่างโร่ทั้งสี่มุมของห้องนั่งเล่น เสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่องดังมาจากห้องน้ำ เขาคงกลัวว่าฉันจะตื่นเลยออกมาอาบ
สองชั่วโมงผ่านไป…“ของเยอะสัส” มันบ่นพลางก้มมองถุงใบเล็กใหญ่ในมือ ที่มีทั้งของฉันแล้วก็ของมันด้วย“กูไลน์บอกให้คุณลุงคนขับรถมารับมึงละ” ฉันพูดพลางเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง “ฝากเอาของไปคอนโดหน่อย ที่นั่นมีแม่บ้านอยู่ เดี๋ยวเขาจะลงมารับของจากมึงเอง แล้วมึงก็ให้คุณลุงไปส่งนะ บาย” ฉันยกมือโบกให้เพื่อนรักก่อนจะเดินถือกระเช้าออกมาโบกแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าและบอกให้คนขับไปตามโลเคชั่นที่จ๊ะจ๋าส่งมาให้ รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปบ้านนั้นเป็นสิบปีได้แล้วมั้งไม่นานแท็กซี่ก็พาฉันมาส่งหน้าบ้าน อัครจินดามือเล็กกระชับหูกระเช้าแน่นก่อนจะพ่นลมหายใจออกปากเพื่อผ่อนปรนความประหม่าของตัวเอง แล้วเดินไปกดกริ่งหน้าประตูรั้วบ้านสไตล์นอร์ดิก โทนสีอบอุ่น นี่เหมือนจะเป็นหลังใหญ่หลังเดียวที่โดดเด่นสุดในละแวกนี้ ฉันเองก็รู้สึกคุ้นขึ้นมานิดหน่อย“คุณหนูลลิล มายังไงคะเนี่ย” หญิงวัยกลางคนในชุดฟอร์มสีขาวสะอาดตาเอ่ยทักหลังจากที่เปิดประตูเล็กออกมาเห็นฉันยืนอยู่“อ๋อ แท็กซี่ค่ะ”
ฉันเลื่อนกระจกรถฝั่งที่ตัวเองนั่งลงในตอนที่เพื่อนสนิทกำลังจะเอื้อมคว้าที่จับประตู มันตกใจนิดหน่อย ขมวดคิ้วเอียงคอมองฉันและผู้ชายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยสลับไปมาชั่วขณะอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะชักมือกลับและเบี่ยงตัวไปเปิดประตูข้างหลังแทน“สวัสดีค่ะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยทักทายเจ้าของรถหลังจากที่มันดึงประตูรถปิด“สวัสดีครับ” นายมธุษินทร์โค้งรับแบบยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมาโฟกัสถนนด้านหน้าและเข้าเกียร์ออกรถ ดูมารยาทดีกันจังเลยแฮะ“สวัสดีค่ะ…เพื่อน” ฉันหันไปล้อเลียนเพื่อนสนิทตัวเอง “กูจะอ้วก”“อีนี่…” มันสบถเสียงแผ่วแต่เน้นหนักในตอนที่ฉันกำลังเอื้อมมือไปยีหัวมันด้วยความหมั่นไส้“หึ...” ฉันชะงัก ตวัดตามองคนข้างๆ เขารีบยกแขนขึ้นใช้ศอกเท้าประตูรถฝั่งขวา เอามือบังปากตัวเองที่ยังหยุดขำไม่ได้ เนียนมากมั้ง…เหอะ“ใครอนุญาตให้หัวเราะไม่ทราบ” ฉันถามพร้อมกับดึงตัวกลับมาพิงเบาะ จ้องหน้าเขาเขม็ง“เอ้า! มันห้ามกันได้ด้วยไง๊? ประหลาด” เขาว่า&
เช้าวันต่อมา…ฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงไลน์แจ้งเตือนดังรัวไม่หยุด หงุดหงิดชะมัด มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรแต่เช้า รู้สึกเหมือนเพิ่งจะได้หลับสนิทไปแค่แป๊บเดียวเอง ฉันเอื้อมมือไปควานหามือถือเจ้าปัญหาบนหัวเตียงทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิทและเริ่มกะพริบตาถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงจากหน้าจอที่สาดส่องอยู่ตรงหน้าในเวลาต่อมาจะเที่ยงแล้วเหรอเนี่ย นี่ฉันหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ…แจ้งเตือนแรกที่ฉันเปิดเข้าไปดูก็คือแชทของเพื่อนสนิทตัวเอง ที่มันส่งมารัวๆ เพราะเรื่องที่เรานัดกันเมื่อคืนและข่าวงานแต่งที่ดูเหมือนจะจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ของฉันเมื่อคืน ขึ้นเต็มหน้าฟีดจริงๆ ด้วย แล้วแต่ดิ…ใครสนกันฉันกดล็อกหน้าจอและวางมันคืนที่เดิมกะจะนอนต่ออีกสักหน่อยค่อยโทรไปนัดมันอีกที ก่อนจะเริ่มสังเกตว่ามีอะไรหนักๆ วางพาดบนหน้าท้องตัวเอง มือเล็กจับผ้านวมเลิกขึ้นทันทีอร๊ายยยยย!!!แปะๆๆๆ“นี่!!! ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ ใครให้คุณมานอนบนเตียงฉัน ห๊ะ!!” ฉันฟาดรัวไปที่ท่อนแขนแกร่งและพยายามจะเอามันออกไปให้พ้นตัวด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะอีกข้างถูกยกขึ้นปิดหน้าอกที่อยู่ภายใต้ชุดนอนคอตตอน โดยไม่มีบราเซียปกปิดมันอีกชั้น ปกติฉันไม่ใส่
ฉันถูกพามาคอนโดที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีการพูดคุยระหว่างเราหลังจากจบประโยคนั่น และพอส่งฉันถึงที่เขาก็รีบร้อนออกไป ฉันเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักว่าเขาจะไปไหนหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็เดินเช็ดผมตัวเองสำรวจรอบคอนโด ครั้งก่อนฉันรีบร้อนออกไปจนไม่ทันได้ดูว่าข้างนอกห้องนอนเป็นยังไงบ้างมันเพอร์เฟกต์มากแทบจะทุกตารางนิ้ว ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงมุมพอดีเลยทำให้เห็นวิวเมืองผ่านผนังกระจกได้ทั้งสองด้าน ห้องครัวที่แทบจะมีครบทุกอย่าง ประมาณว่าเปิดร้านอาหารย่อมๆ ได้เลยแหละ สำคัญคือมีตู้โชว์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองอำพันหลากหลายยี่ห้อ ล้ำค่าสุดๆแต่ก็แอบแปลกใจอยู่นะ คอนโดใหญ่ขนาดนี้มีห้องนอนห้องเดียวได้ยังไง ถึงห้องนอนมันจะใหญ่มากก็เถอะฉันเดินกลับเข้ามาสำรวจตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ถูกบิ้วอินไปกับผนังฝั่งห้องน้ำทั้งหมด ค่อยๆ เปิดออกดูทีละตู้ ข้าวของเกินครึ่งของฉันถูกย้ายมาจัดไว้ในนี่อย่างเป็นระเบียบ น่าจะเป็นตอนที่เรายุ่งอยู่กับงานช่วงกลางวัน เด็กที่บ้านบางส่วนคงถูกแบ่งมาจัดการเรื่องนี้ส่วนตู้สุดท้ายเป็นของ…เอ๊ะ! ทำไมมีของเขาอยู่ในนี้ด้วยล่ะ ที่นี่มีห้องนอนห้องเดียว ไม่ใช่สำหรับฉันคน
ด้านหน้าเวทีมีแขกเหรื่อเต็มไปหมด ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่วนมากฉันไม่รู้จัก บรรดาเพื่อนๆของพวกเรา พอฉันและเขาเดินมาหยุดอยู่กลางเวทีที่ไม่สูงจากพื้นเท่าไหร่ พอที่จะก้าวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้บันไดได้ ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังระงม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ออกไปทางรำคาญด้วยซ้ำส่วนด้านซ้ายถัดไปจากพิธีกรก็เป็นอาม่า แม่ของฉันและพ่อแม่ของเขาทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฉันไม่ได้สนใจแม้แต่เสียงประกาศออกไมค์ของพิธีกร จนกระทั่งเธอเอาไมค์มายื่นให้ฉัน“คะ...?”“พูดอะไรหน่อยค่ะ” เขากระซิบบอกฉันเบาๆ ฉันรับไมค์มาถือไว้ในมือสักพัก ก่อนจะนึกออกว่าจะพูดอะไร...“เฮ้อออ…” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ผ่านไมโครโฟนในมืออย่างตั้งใจ บรรยากาศตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัดลงในพริบตา รู้จักสงครามเย็นกันไหม...มันคล้ายกับสถานการณ์ที่ฉันกำลังก่อขึ้นในเวลานี้“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มา ทั้งที่บางคนก็ไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ” ทุกคนในงานเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พากันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนผู้ชายที่ยื