LOGINด้านหน้าเวทีมีแขกเหรื่อเต็มไปหมด ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่วนมากฉันไม่รู้จัก บรรดาเพื่อนๆของพวกเรา พอฉันและเขาเดินมาหยุดอยู่กลางเวทีที่ไม่สูงจากพื้นเท่าไหร่ พอที่จะก้าวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้บันไดได้ ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังระงม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ออกไปทางรำคาญด้วยซ้ำ
ส่วนด้านซ้ายถัดไปจากพิธีกรก็เป็นอาม่า แม่ของฉันและพ่อแม่ของเขา
ทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฉันไม่ได้สนใจแม้แต่เสียงประกาศออกไมค์ของพิธีกร จนกระทั่งเธอเอาไมค์มายื่นให้ฉัน
“คะ...?”
“พูดอะไรหน่อยค่ะ” เขากระซิบบอกฉันเบาๆ ฉันรับไมค์มาถือไว้ในมือสักพัก ก่อนจะนึกออกว่าจะพูดอะไร...
“เฮ้อออ…” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ผ่านไมโครโฟนในมืออย่างตั้งใจ บรรยากาศตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัดลงในพริบตา รู้จักสงครามเย็นกันไหม...มันคล้ายกับสถานการณ์ที่ฉันกำลังก่อขึ้นในเวลานี้
“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มา ทั้งที่บางคนก็ไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ” ทุกคนในงานเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พากันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนผู้ชายที่ยื
“ฝากทางนี้ด้วยนะ” ทุกคนพยักหน้ารับอย่างรู้งาน คุณแม่ยายและอาม่าก็ยังช็อกกับเหตุการณ์หลายอย่างที่มันประดังเข้ามาพร้อมกัน เพราะงั้นต้องมีคนคอยอยู่ดูแลท่านทั้งสองด้วยหลังจากที่ไอ้หมอไวน์เปิดประตูรถให้ผมก็บรรจงวางร่างบางลงบนเบาะหลังอย่างเบามือและตามขึ้นไปนั่งข้างๆ เรียวแขนเล็กโอบรอบเอวผมแน่นทันทีก่อนจะซุกหน้าเข้ากับแผงอก เธอยังไม่หยุดร้องไห้ผมทำได้แค่ถอนหายใจออกมาซ้ำๆ ขณะลูบหัวเธอ“ห้าวนัก เป็นไงละมึง” ประโยคทำลายความเงียบหลุดออกมาจากปากไอ้หมอไวน์หลังจากรถเคลื่อนออกมาได้สักพัก ขณะที่มันลอบมองผมผ่านกระจกหลังตลอดเวลา“....” ผมเงียบ เหลือบตาขึ้นมองกระจกสบตาเพื่อนรักเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาหลบ ก็รู้ตัวแหละ…ว่าทำให้ใครหลายคนต้องเป็นห่วง ด้วยความคิดน้อยของตัวเอง ถึงพวกมันจะไม่เคยพูด แต่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตาทั้งหมด โดยเฉพาะ...“เกือบตายไหมล่ะ ไอ้เวร”“กูสำนึกผิดอยู่ แต่มึงช่วยขับไปเงียบๆ ได้ม่ะ” ผมตวัดตามองไอ้โชเฟอร์จำเป็นผ่านกระจกมองหลัง แค่เห็นสภาพคนในอ้อมกอดเป็นแบบนี้ ผมก็ไปต่อไม่
ปึก!อ๊ะ…แต่ผมดันลืมคิดถึงอาวุธที่มันจะมีแรงกระแทกจากของแข็งที่ฟาดเข้ากลางหลังอย่างจังส่งผลให้เข่าผมทรุดลงไปกับพื้นข้างหนึ่งทันทีหวืดดดด..และผมเกือบโดนซ้ำอีกรอบ โชคดีที่ประสาทสัมผัสยังไวอยู่ในระดับหนึ่ง สำคัญคือไม่มีใครโง่ซ้ำสองหรอกนะ…ปึก!...ตุบ!เท้าผมถูกยกขึ้นยันกลางอกไอ้เวรนั่นจนมันถลาไปนอนราบอยู่กับพื้น ก่อนที่จะอาศัยจังหวะนี้ในการทรงตัวยืนขึ้นตรงภายในครึ่งนาที“อ๊ะ!!...ซี๊ดด” เกิดเอฟเฟคนิดหน่อยในตอนที่ผมขยับไหล่ มันเจ็บแปลกจนผมเผลอซูดปากแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้พอตั้งตัวได้ผมก็พุ่งไปคร่อมร่างมันทันที หวังจะซ้ำให้น่วม…หมัดที่ง้างขึ้นกลางอากาศชะงักงัน“มึงคิดว่า...มึงเก่งนักเหรอ” ประโยคที่หลุดออกมาจากปากไอ้สวะนี่ไม่ใช่สิ่งที่หยุดการกระทำของผมได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของวัตถุโลหะชั้นยอดที่จิ้มอยู่ตรงปลายค้างต่างหากผมไม่ได้ขี้ขลาดแต่ก็ไม่ได้อยากตายตอนนี้ปืนนะ…ไม่ใช่ไม้ โป้งเดียวจอดสนิทมันใช้ปลายกระบอกปืนลูกโม่ดันต
@เรืองขจรกรุ๊ปฉันเปิดประตูลงมาจากรถแบบเข่าอ่อนจนแทบทรุด ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ โกดังเก็บสินค้าของเรืองขจรกลายเป็นทะเลเพลิงในชั่วพริบตารถดับเพลิงหลายสิบคันระดมฉีดน้ำกันอย่างบ้าคลั่งเฮียแม็กซ์รีบวิ่งเข้าไปหาแม่กับอาม่าที่นั่งน้ำตาตกอยู่ที่รถแอมบูแลนซ์พลางดมยาอย่างหมดแรง ส่วนฉันยังยืนพิงรถไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ โชคดีที่ไม่มีพนักงานอยู่ในคลังตอนเกิดเหตุ ในทางกลับกันเพราะไม่มีคนอยู่ไฟถึงได้ลุกลามเร็วขนาดนี้ บวกกับสินค้าส่วนมากเป็นลังกระดาษและของแห้ง สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น เสียหายไปเกินครึ่งปึก! ปึก! ปึก!ฉันทุบรัวไปที่ประตูรถเพื่อระบายอารมณ์ น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างที่ป๊าสร้างมากำลังสลายไปต่อหน้าต้องเป็นไอ้สารเลวนั้นแน่ ถึงว่าไม่มีใครหามันเจอ เพราะมันมุดหัวอยู่ในโกดังนี่เอง“แม่งเอ๊ย!!!”ฉันสูดลมหายใจเข้าพลางปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินตรงเข้าไปหาอาม่ากับแม่“อาลลิล” อาม่าเรียกฉันเสียงสั่น ใบหน้าเหี่ยวย่นเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ฉันโผเข้ากอดท่านทันที
“แต่ถ้าถามกูว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพ่อคุณหนูลลิล กูไม่รู้นะ เพราะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดินพูดพลางเหลือบมองฉัน“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ฉันว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงเราควรจบแค่เรื่องปัจจุบันก็พอ เพราะถึงจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ฉันพูดต่อ“อันนี้กูเห็นด้วย” เฮียหมอไวน์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเสริมขึ้นและทุกคนก็พยักหน้ารับ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วดินก็ก้มลงไปกดดูอะไรบางอย่างใน Macbook ของตัวเองอีกครั้ง“เออนี่ รูปมัน”ทุกคนพากันลุกมาเป็นไทยมุงโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องได้รับคำเชิญฉันเพ่งมองใบหน้าของคนในรูปที่ดินเปิดขึ้น มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไหนสักที่ ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็ระบุตัวตนได้ ถ้าบังเอิญเดินส่วนกัน ที่สำคัญมันใส่หน้ากากปิดหน้าซีกซ้ายตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาถึงขอบปากก่อนจะเหลือบไปเห็นน้องมิณที่มีอาการแปลกไป เธอก้าวถอยหลังออกห่างไปสักระยะ หลังจากนั้นเธอก็สาวเท้าออกไปจากคอนโดโดยไม่พูดไม่
วันต่อมา…10:00 น.ครืดดด...ครืดดดฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะการสั่นของสายเรียกเข้าจากใครสักคน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งรบกวนการนอนมาจ่อตรงหน้า หรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเฌอณารีน…?ปลายนิ้วเรียวเลื่อนรับสายและเอาแนบหู กรอกเสียงแหบแห้งไปยังปลายสาย“ว่าไงเฌอ”[พี่ลลิล เฮียดินฝากให้โทรตามพี่กับเฮียแม็กซ์มาที่คอนโดเฮียดินค่ะ]“อ๋อ โอเคๆ” แน่นอนว่าฉันตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อดิน[ด่วนเลยนะคะ]“อือ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ฉันวางสายและทิ้งมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะหันไปเขย่าตัวปลุกคนข้างๆ“เฮียๆ ตื่นเร็ว”“อื้อออ…” คนถูกรบกวนส่งเสียงครางเล็กน้อย นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันก้าวลงจากเตียง เพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้ว“ดินมีเรื่องด่วน” ฉันพูดขณะสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า“ห่ะ…อ้อ” พอได้ยินชื่อดินคนที่สะลึมสะลือก็ดีดตัวขึ้นนั่งราวกับสปริงและโดดลงจากเตียงด้วยความเร็วฉันจัดการธุระส่วนตัวด้วยความเร่
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยนะ แต่มือก็ยังลูบหัวคนบนตักอย่างอ่อนโยน ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะจะบอกให้…เขาเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวด้วยที่ฉันจะยอมทำให้ทุกอย่างบางทีเขาก็มีมุมที่ดูเป็นเด็ก คล้ายกับตอนที่เขาอ้อนแม่ของตัวเองยังไงยังงั้นเลยพอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆเขาคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นแม่เขาอีกคนหรอกใช่ไหมผ่านไปหลายนาที ร่างหนาไม่ไหวติงจนฉันเริ่มสงสัย“เฮีย หลับแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงแผ่ว“ยัง” ไม่หลับแต่ทำไมนิ่งขนาดนี้…“เฮียว่า…ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วใช่ไหม” ฉันเริ่มประเด็นที่ยังค้างคาในใจ บางทีการได้คุยกับเขาอาจทำให้ฉันสบายใจขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา“แน่นอน” เขาตอบ ขณะพลิกตัวกลับมานอนหงายและเอ่ยถาม“ทำไม กังวลเหรอ”“ไม่รู้สิ มัน…” ฉันหยุดไว้แค่นั้น พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกเลื่อนสายตาโฟกัสท้องฟ้าสีน้ำเงินเข็มด้านนอกตรงช่องว่างของม่านที่แง้มไว้ไม่กว้างนัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกเขา แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเร







![NightZ [IV] UNFAITHFUL](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)