เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนของฤดูฝนลอดผ่านม่านทึบแสงในห้องนอนสีเทาอมน้ำเงิน ความเงียบยังคงปกคลุมอย่างเหนียวแน่น ราวกับเวลาที่นี่เดินช้ากว่าทุกแห่งบนโลก
บนเตียงขนาดคิงไซส์ ร่างบางของไลลานอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ดวงตายังหลับพริ้ม แต่เหงื่อที่ซึมตามไรผม และสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอไม่ได้หลับสบายอย่างที่ควรเป็น
พิษไข้จากความเครียดและความเหนื่อยสะสมกำลังเล่นงานเธอจนไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกช้า ๆ
อคินยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นทรงเรียบจ้องร่างเธอแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“ไข้ขึ้น...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องทันที
ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา เขากลับมาพร้อมถาดข้าวต้มร้อน ๆ และกล่องยาสีขาวสะอาด
เสียงช้อนกระทบถ้วยเบา ๆ ทำให้ไลลาค่อย ๆ ลืมตา ดวงตากลมโตที่แดงก่ำมองเขาอย่างเลื่อนลอย
“คุณ...ทำข้าวต้มเหรอคะ?” เสียงเธอแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“กินซะ จะได้กินยา” เขาตอบสั้น ๆ วางถาดไว้บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะยื่นผ้าเย็นเช็ดหน้ามาให้
เธอรับไว้เงียบ ๆ ซับใบหน้าอย่างช้า ๆ พลางหันไปจ้องข้าวต้มร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนจาง
ไม่มีใครพูดอะไรอีกพักใหญ่
“ขอบคุณนะคะ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะไข้...แต่เพราะความรู้สึกที่ปะปนอยู่ในอก
อคินไม่ตอบ เขาเพียงมองหน้าเธอด้วยสายตาที่เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่างอยู่ภายใน
หลังจากที่เธอกินยาเรียบร้อย ไลลานั่งพิงหัวเตียง ห่มผ้าแน่นแล้วเอ่ยเบา ๆ
“ฉันอยากไปเยี่ยมนทีค่ะ”
“ไม่ได้” เขาตอบแทบทันที ดวงตาเขาเรียบ แต่แน่นอน
“นทีเพิ่งผ่านภาวะฉุกเฉิน ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุม อย่าเพิ่งไปกระตุ้นอารมณ์เขา”
“แต่ฉันเป็นพี่สาวเขา...” เธอพยายามจะค้าน น้ำเสียงแผ่วแต่หนักแน่น
อคินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“อีกสองสามวัน ถ้าอาการนิ่ง ผมจะพาไปเอง”
เธอพยักหน้าช้า ๆ ถึงจะผิดหวัง แต่ก็รู้ว่าเขาพูดถูก
“ฉันจะออกไปหางานทำนะคะ อย่างน้อยก็เพื่อเก็บเงินไว้...”
เขาหันขวับมามอง ดวงตาวาววับคล้ายไม่พอใจ
“ไม่ต้อง”
“แต่...”
“ผมดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่าง คุณแค่ทำหน้าที่ของคุณให้ดีพอ”
คำว่า “หน้าที่ของคุณ” ทำให้ไหล่เธอกระตุกเบา ๆ เหมือนถูกฟาดด้วยไม้เรียบ
เธอก้มหน้า ดวงตาฉายแววสั่นไหวชั่ววูบ ก่อนจะหลบตาเขา
หลังจากนั้น อคินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
ภายในคอนโดหรูที่เงียบราวสุสาน ไม่มีนาฬิกา ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงโทรทัศน์ มีเพียงเสียงเครื่องฟอกอากาศอัตโนมัติที่ทำงานอย่างเงียบงัน
ไลลาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังระเบียงกระจกบานใหญ่
เธอมองออกไปยังท้องฟ้าครึ้มเมฆ หัวใจที่ปวดหนึบอยู่แล้วกลับรู้สึกว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม
โลกภายนอกยังเคลื่อนไหว แต่ชีวิตเธอกลับหยุดอยู่แค่ตรงนี้
วันที่เธอได้ออกไปเยี่ยมนที...มีเพียงวันเดียวในสัปดาห์
และในวันนั้น เธอจะสวมเสื้อคลุมตัวเดิม ก้มหน้าเดินตามอคินราวกับเงา
เด็กชายในห้องผู้ป่วยจะโผเข้ากอดเธอแน่น ไม่รู้เลยว่า...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหลังนั้นโหดร้ายเพียงใด
แต่สิ่งที่เธอสังเกตได้...เริ่มทำให้เธอไม่แน่ใจว่าทุกอย่างในห้องนี้คือ ‘ปัจจุบัน’ หรือ ‘อดีตที่เขาฉายซ้ำ’
เขาเปิดเพลงเดิมทุกวัน — เพลงสากลบรรเลงเก่า ๆ ทำนองเดียว เหมือนกับเป็น loop ของความคิดบางอย่าง
ขวดน้ำหอมที่เขาใช้ในห้องน้ำ เป็นกลิ่นแนวฟลอรัลอ่อน ๆ — หอมละมุนแบบที่ไม่น่าจะเป็นกลิ่นของหมอผู้เย็นชาอย่างเขา
เขาไม่เคยเรียกชื่อเธอเลย — และบางครั้ง...เขามองเธอด้วยสายตาที่แปลกเกินจะอธิบาย
คืนหนึ่ง เธอเดินออกมาเพื่อจะดื่มน้ำ แล้วบังเอิญได้ยินเสียงเขาพึมพำขณะคุยโทรศัพท์
“…เธอไม่เหมือนเลย ไม่เหมือนจริง ๆ…”
เธอแอบฟังอีกครู่ แต่ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงถอนหายใจ และฝีเท้าที่เดินกลับไปในห้อง
และในคืนนั้น เขาเปิดเพลงเดิมวนซ้ำไปเกินหกชั่วโมง
ไลลานั่งบนเตียง ขณะมองผ้าปูเตียงเรียบสนิทที่เธอพับไว้ทุกเช้า
เธอเริ่มสงสัย...
ว่าเขาเห็นเธอเป็นใคร
และมากไปกว่านั้น — เขา เคยมีใครอยู่ที่นี่ก่อนแล้วหรือเปล่า
แต่คำถามทั้งหมด...ยังไม่มีคำตอบ
และเธอก็ยังไม่มีสิทธิจะถาม
ห้องเดิม เตียงเดิม กลิ่นเดิม แต่ความรู้สึก...ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากคืนนั้น—คืนที่เธอสูญเสียบางอย่างไปโดยไม่มีสิทธิแม้แต่จะร้องขอ—หมออคินก็กลับมาใช้ห้องนอนเดียวกับเธอทุกคืน
แต่ไม่มีคำพูด ไม่มีการแตะต้อง ไม่มีแม้แต่รอยจูบปลอม ๆ เพื่อกลบความรู้สึกผิด
เขาเพียงแค่...นอนกอดเธอไว้แน่นจากด้านหลัง
อ้อมแขนนั้นไม่เหมือนกักขัง
แต่มันก็ไม่เหมือนปลอบโยน
ไลลานอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ดวงตาเบิกโพลงมองเพดานในความมืด
เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่...หรือแม้แต่ต้องการอะไรจากเธอ
ทุกคืน อ้อมกอดนั้นแน่นขึ้นเมื่อเธอขยับ
ราวกับว่าเขากลัวว่าเธอจะหายไป
ร่างกายเขาเย็นจากภายนอก แต่ไออุ่นของลมหายใจที่เป่ารดต้นคอเธอ...กลับร้อนผิดปกติ
เหมือนหัวใจเขาระเบิดอยู่ข้างใน แต่นิ่งเฉยเกินกว่าจะปล่อยให้มันปะทุออกมา
อคินในตอนกลางคืนไม่เหมือนในเวลากลางวัน
เขาไม่ใช่หมอศัลยกรรมอัจฉริยะที่เยือกเย็นดั่งมีดผ่าตัดอีกต่อไป
แต่เป็นเพียงชายคนหนึ่ง...ที่หลงติดอยู่ในฝันร้ายของตัวเอง
บางคืนเขาจะสะดุ้งเบา ๆ
บางคืนเขาจะพึมพำชื่อใครบางคนในลำคอ
และเมื่อเธอฟังใกล้ ๆ...
“ลลิน...”
ใช่
นั่นคือชื่อของ ‘เธอคนนั้น’
ไลลาไม่รู้ว่า ‘ลลิน’ คือใคร
แต่ทุกครั้งที่ชื่อนี้หลุดจากปากเขา อ้อมแขนที่โอบรัดเธอก็แน่นขึ้น—แน่นจนเจ็บ
เธอไม่ได้ผลักเขาออก
ไม่ได้ถาม
ไม่ได้แม้แต่จะร้องไห้
เพราะน้ำตาของเธอ...มันแห้งไปหมดแล้ว
วันถัดมา เธอลองขอออกไปหางานทำ
คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม
“คุณไม่ต้องทำงาน ผมดูแลคุณได้”
เขาไม่พูดเสียงแข็ง แต่ท่าทีชัดเจนว่าไม่มี ‘การต่อรอง’
“แล้วหน้าที่ของฉัน...คืออะไร” ไลลาถาม
อคินหันกลับมามองเธอ ดวงตานิ่งราวน้ำแข็ง
เขาไม่พูดตอบในทันที ดวงตาใต้กรอบแว่นมืดวูบไปเสี้ยววินาที ราวกับคำขอและคำถามของเธอกระตุกอะไรบางอย่างในอก
“เธอยังไม่เข้าใจเลยใช่ไหม...ว่าเธอห้ามไปไหนทั้งนั้น...อยู่กับผม ทำตัวดี ๆ แล้วอย่าแหกกฎ”
เขาทิ้งคำตอบไว้เท่านั้น แล้วก็เดินหนีเธอเหมือนทุกครั้ง
เมื่อคืน เขาเผลอเรียกเธอว่า “ลลิน” อีกครั้ง
ขณะเดินผ่านเธอที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาเรียกเบา ๆ ราวกับหลุดจากความคิด
แต่เมื่อเธอหันขวับไปหา เขากลับนิ่ง
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คืนนั้น
เธอเดินผ่านห้องน้ำขณะอคินอยู่ข้างใน
เสียงน้ำจากฝักบัวหยุดลง
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าบนพื้นหิน
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากด้านใน
เบา...แต่ชัดเจน
“ลลิน...ใช่ไหม?”
หัวใจเธอหล่นวูบ
เธอถอยหลังกลับมา...อย่างช้า ๆ
และพึมพำกับตัวเอง
“…ฉันจะไม่เป็นตัวแทนของใคร...แม้ต้องแลกกับการหายไปจากโลกของเขา — ฉันก็จะเป็นฉัน”
เสียงเพลงเปียโนบรรเลงช้า ๆ ไหลวนในอากาศอย่างไร้จุดสิ้นสุด — เป็นทำนองเดิมที่เปิดทุกวันในคอนโดสูงชั้นสุดของใจกลางกรุงเทพมหานครแต่กับไลลา...มันไม่ใช่เพลงอีกต่อไปมันคือเสียงหลอนมันคือหลักฐานว่าเธอกำลังอยู่ในฉากซ้ำเดิมที่ไม่ใช่ของตัวเองเธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แนวฟลอรัลที่อบอวลอยู่ทั่วห้องยังคงเป็นกลิ่นเดิม — กลิ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามาในสถานที่นี้สถานที่ที่เธอไม่เคยรู้สึกว่าเป็น ‘บ้าน’อคินไม่พูดมาก เขายังคงทำหน้าที่ของเขาในโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด แต่ทุกคืนเขากลับมาที่นี่ — พร้อมกับกิจวัตรที่เป๊ะเหมือนจับวางเปิดเพลงเดิม เวลาเดิมเปิดแอร์ที่อุณหภูมิเดิม...แม้ไลลาจะปรับขึ้นให้สูงเพียงใด มันก็จะถูกเปลี่ยนกลับทุกครั้งที่เขาเข้าห้องที่แย่กว่านั้นคือ...แม้แต่คำพูดของเขา“นอนได้แล้ว ลลิน...”นั่นไม่ใช่ชื่อเธอและเขาก็รู้...ว่าไม่ใช่แต่เขาก็ยังเรียกมัน“กินข้าวให้หมด...เหมือนทุกที”
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนของฤดูฝนลอดผ่านม่านทึบแสงในห้องนอนสีเทาอมน้ำเงิน ความเงียบยังคงปกคลุมอย่างเหนียวแน่น ราวกับเวลาที่นี่เดินช้ากว่าทุกแห่งบนโลกบนเตียงขนาดคิงไซส์ ร่างบางของไลลานอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ดวงตายังหลับพริ้ม แต่เหงื่อที่ซึมตามไรผม และสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอไม่ได้หลับสบายอย่างที่ควรเป็นพิษไข้จากความเครียดและความเหนื่อยสะสมกำลังเล่นงานเธอจนไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวประตูห้องนอนถูกเปิดออกช้า ๆอคินยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นทรงเรียบจ้องร่างเธอแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้“ไข้ขึ้น...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องทันทีไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา เขากลับมาพร้อมถาดข้าวต้มร้อน ๆ และกล่องยาสีขาวสะอาดเสียงช้อนกระทบถ้วยเบา ๆ ทำให้ไลลาค่อย ๆ ลืมตา ดวงตากลมโตที่แดงก่ำมองเขาอย่างเลื่อนลอย“คุณ...ทำข้าวต้มเหรอคะ?” เสียงเธอแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“กินซะ จะได้กินยา” เขาตอบสั้น ๆ วางถาดไว้บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะยื่นผ้าเย็นเช็ดหน้ามาให้เธอรับไว้เงียบ ๆ ซับ
เสียงหายใจของเขาหนักขึ้นในห้องที่เงียบกริบ ราวกับเครื่องช่วยหายใจที่สูบกลืนเอาออกซิเจนจากร่างทั้งสองไปจนหมดสิ้นอคินโน้มกายลง แนบริมฝีปากกับลาดไหล่ของไลลาอย่างแนบแน่น เขาไม่ได้จูบ...แต่ ‘กด’ ลงไปด้วยแรงข่มความรู้สึกบางอย่างลมหายใจของเขาร้อนผ่าว — ต่างจากมือที่ยังเย็นจัดราวเหล็กจากห้องผ่าตัดเขาเลื่อนจูบลงต่ำ ซุกไซ้แนวผิวเนื้อที่เปลือยเปล่า ราวกับต้องการ 'ยืนยัน' ว่านี่คือของจริง ไม่ใช่ภาพหลอน ไม่ใช่ลลิน...แต่ความเหมือนของใบหน้า กลิ่นผิว และดวงตาคู่นั้น กลับกระแทกจิตใจเขาจนทุกสัมผัสกลายเป็น ‘พิษ’ ที่เขาเองก็กลืนไม่ลงมือเขาสอดใต้แผ่นหลังของเธอแล้วดึงขึ้นเล็กน้อย สะโพกของเธอเบียดชิดเข้ามาโดยปริยายจากแรงโน้มของเขาไลลานอนนิ่ง...ดวงตาไร้โฟกัส มองเพดานว่างเปล่าร่างกายเธอเกร็งเล็กน้อยยามมือของเขาไล้ผ่านแนวเอว สะโพก ก่อนจะกดแนบชิดเข้าหาเธอเต็มแรงเขาไม่พูด...เธอไม่ร้องและในความเงียบนั้น เสียงครางต่ำของเขาค่อย ๆ ดังขึ้น — ไม่ใช่ด้วยความสุขสม แต่เหมือนคนที่กำลัง ‘คลั่ง’ อยู่ในความฝันที่บิดเบี้ยวเขาประกบริมฝีปากกับลำคอ
เสียงกระดาษเสียดสีกับโต๊ะไม้เรียบสนิทดังเบา ๆ ในห้องรับรอง VIP ที่เงียบสนิทเกินจะเชื่อว่าตั้งอยู่ใจกลางโรงพยาบาลที่พลุกพล่านหมออคินผลักแฟ้มเอกสารบางส่วนมาทางเธอ ก่อนจะวางปากกาแท่งเรียบหรูสีดำที่ดูแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะกล้าใช้ลงตรงหน้าไลลานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มือบางกำชายเสื้อแน่น ดวงตาแดงก่ำจากหยาดน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งดี“ฉันต้องเซ็น...จริง ๆ เหรอคะ?”“ทุกคำที่อยู่ในนั้น จะคุ้มครองคุณและน้องของคุณ...ถ้าคุณทำตามทุกข้อที่ผมกำหนด”น้ำเสียงของเขายังคงเรียบ ไม่สูง ไม่ต่ำ ราบรื่นอย่างน่าขนลุกไลลาหยิบปากกาขึ้นช้า ๆ เธอไม่อ่านแม้แต่บรรทัดแรก — เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางไหนให้เลือกอีกต่อไปเสียงหมึกแตะลงบนกระดาษในวินาทีที่มือของเธอสั่นอย่างห้ามไม่ได้เธอไม่รู้ว่ากำลังเซ็นสัญญาชีวิต...หรือฆ่าความเป็นคนในตัวเองทิ้งไปพร้อมลายเซ็นนั้นเมื่อเธอเซ็นเสร็จ อคินก็หยิบเอกสารกลับมา แยกออกเป็นสองชุด ยื่นให้เธอหนึ่งฉบับ“เก็บไว้ให้ดี” เขากล่าวสั้น ๆ ก่อนจะเก็บชุดของตัวเองลงในแฟ้มและลุกขึ้น
“ขอโทษนะทีน...”เสียงไลลากระซิบแผ่วขณะก้าวลงจากรถสองแถวเก่า ๆ ที่มุ่งหน้าเข้าซอยลึกย่านชุมชนบางบัวทอง ใบหน้าเธอยังคงเปียกจากฝนปรอยๆ ที่โปรยลงมาระหว่างทาง น้ำฝนผสมเหงื่อไหลซึมตามไรผมลงสู่ปลายคางถุงผ้าที่ใส่ของใช้สำหรับน้องชายแน่นไปด้วยเสื้อยืดสีซีด ยา และเอกสารโรงพยาบาล แต่หัวใจของเธอเบากว่าเดิม — เพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคตให้คาดหวังอีกแล้วเสียงหัวเราะของผู้โดยสารคนหนึ่งในรถยังดังก้องในหัวเธอ แม้มันจะแค่ชั่วครู่ แต่กลับเหมือนมีดเล่มบางกรีดผ่านใจเธอกำลังตกงานในวันที่ไม่มีแม้แต่เงินเหลือติดกระเป๋าเกินสามหลักและพรุ่งนี้...เธอควรจะซื้อยาให้นทีแต่ยาราคาเกือบพัน — ในขณะที่เธอเหลือไม่ถึงห้าร้อยเธอนั่งนิ่งอยู่ริมถนน หัวใจว่างเปล่าราวกับหล่นหายระหว่างทางฝนตก เธอไม่แม้แต่จะปาดน้ำตาที่เริ่มรินช้า ๆ จากหางตา“อย่าเพิ่งร้องไห้...เดี๋ยวทีนจะไม่มีคนดูแล” เธอบอกตัวเองในใจอย่างร้าวลึกทันใดนั้น...เสียงโทรศัพท์มือถือที่จอแตกร้าวและปุ่มกดค้างบางปุ่มก็ดังขึ้น“ฮัลโหล?” เธอรับสายด้วยเสียงเหนื่อยล้า“คุณไลลาหรือเปล่
"ชื่อเต็ม...ไลลา อินทรานนท์"อคินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในห้องส่วนตัวของเขา ภายในออฟฟิศแพทย์ระดับบริหารชั้น 17 ที่มีเพียงไม่กี่คนในโรงพยาบาล RAVEN เท่านั้นที่มีสิทธิใช้โต๊ะไม้โอ๊คแท้ทาสีดำวาว เครื่องคอมพิวเตอร์สเปกสูง รายล้อมด้วยชั้นหนังสือและตู้เก็บประวัติคนไข้ที่ล็อกทุกช่องอย่างแน่นหนาชายหนุ่มแตะนิ้วลงบนจอแล็ปท็อป เขากำลังอ่านข้อความจากไฟล์รายงานที่เลขาฯ ส่วนตัวส่งมาให้เมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนข้อมูลที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขานิ่งงันอยู่พักใหญ่— หญิงสาวอายุ 26 ปี อาศัยอยู่ในแฟลตเช่าเก่า ๆ ชุมชนแออัดย่านบางบัวทอง— อาชีพ: พนักงานเสิร์ฟร้านกาแฟ / รายได้ประมาณ 10,000 – 12,000 บาทต่อเดือน— ผู้ปกครองของ ‘ด.ช. นที อินทรานนท์’ ผู้ป่วยโรคหัวใจแต่กำเนิด— ประวัติเคยเป็นเด็กในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งและที่สำคัญที่สุด — หมอประจำเคส รพ.รัฐที่เธอเคยไปรักษา ส่งเธอมา ‘ขอคำปรึกษา’ กับเขา เพราะเป็นเคสซับซ้อนหายากระดับประเทศอคินพิงหลังกับพนักเก้าอี้หนัง เสียงลมหายใจของเขาสะท