เสียงเพลงเปียโนบรรเลงช้า ๆ ไหลวนในอากาศอย่างไร้จุดสิ้นสุด — เป็นทำนองเดิมที่เปิดทุกวันในคอนโดสูงชั้นสุดของใจกลางกรุงเทพมหานคร
แต่กับไลลา...มันไม่ใช่เพลงอีกต่อไป
มันคือเสียงหลอน
มันคือหลักฐานว่าเธอกำลังอยู่ในฉากซ้ำเดิมที่ไม่ใช่ของตัวเอง
เธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แนวฟลอรัลที่อบอวลอยู่ทั่วห้องยังคงเป็นกลิ่นเดิม — กลิ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามาในสถานที่นี้
สถานที่ที่เธอไม่เคยรู้สึกว่าเป็น ‘บ้าน’
อคินไม่พูดมาก เขายังคงทำหน้าที่ของเขาในโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด แต่ทุกคืนเขากลับมาที่นี่ — พร้อมกับกิจวัตรที่เป๊ะเหมือนจับวาง
เปิดเพลงเดิม เวลาเดิม
เปิดแอร์ที่อุณหภูมิเดิม...แม้ไลลาจะปรับขึ้นให้สูงเพียงใด มันก็จะถูกเปลี่ยนกลับทุกครั้งที่เขาเข้าห้อง
ที่แย่กว่านั้นคือ...แม้แต่คำพูดของเขา
“นอนได้แล้ว ลลิน...”
นั่นไม่ใช่ชื่อเธอ
และเขาก็รู้...ว่าไม่ใช่
แต่เขาก็ยังเรียกมัน
“กินข้าวให้หมด...เหมือนทุกที”
เมนูอาหารไม่เคยเปลี่ยน — แกงจืดหมูสับ ไข่ต้มยางมะตูม และข้าวกล้องร้อน ๆ
มันไม่ใช่ของโปรดของเธอ แต่เขาไม่เคยถามว่าเธอชอบอะไร
เหมือนเขารู้ ‘แล้ว’ ว่าเธอชอบอะไร...แต่ไม่ใช่เธอคนนี้
เหมือนเขาเขียนบทไว้ล่วงหน้า และแค่รอให้เธอ “เล่น” ตาม
ไลลายืนอยู่หน้า walk-in closet ที่เธอไม่เคยเลือกเปิดด้วยตัวเองสักครั้ง
ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ที่อยู่ถัดจากเตียงนอน ตู้ที่เขาบอกว่า “เตรียมไว้ให้เธอหมดแล้ว”
เธอเปิดมันออก...ช้า ๆ
เสื้อผ้าทั้งหมดเรียงรายอย่างประณีต — เสื้อเชิ้ตผ้าซาตินสีขาวเดิมซ้ำ ๆ เดรสผ้าชีฟองลายดอกเล็ก ๆ สีซีด กางเกงผ้าลินินขาเต่อแบบเดียวกันหลายตัว รองเท้าไม่มีคู่ไหนเกินเบอร์ 38 และไม่มีสีอื่นนอกจากขาว ครีม น้ำตาล
ไม่ใช่สไตล์ของ ‘เธอ’
และบางชิ้น...มีกลิ่นของน้ำหอมแบบเดียวกับที่วางอยู่ในห้องน้ำ
กลิ่นเดียวกับที่เขาใช้...หรือใครอีกคนเคยใช้?
เธอลองหยิบเดรสตัวหนึ่งออกมาถือไว้ในมือ
ปลายแขนเสื้อมีรอยปักชื่อเล็ก ๆ สีขาวซีด
L.L. — หรือ...ลลิน?
เธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นชื่อย่อ หรือแค่ความบังเอิญ
แต่ในวินาทีนั้น ร่างกายเธอกลับเย็นเยียบเหมือนถูกสาดน้ำเย็นจัดจากฝันร้าย
เธอหันกลับไปมองเตียง
ผ้าห่มลายดอกสีซีดที่เขาวางไว้ให้เธอห่มทุกคืน...เหมือนกันกับสีเสื้อผ้าที่เธอเห็นในตู้
ผืนผ้าที่เหมือนมี ‘กลิ่นของใครบางคน’
โคมไฟข้างเตียงที่เป็นลายลูกไม้...ดูไม่เข้ากับเขาเลยแม้แต่น้อย
ตุ๊กตาผ้าเล็ก ๆ ที่วางอยู่ตรงหัวเตียงฝั่งเธอ — เธอไม่ได้เอามา
แต่เขาไม่เคยเก็บมันออกไป
ราวกับว่า...
ทั้งหมดนี่เคยเป็นของใครบางคน
และเธอ...แค่ถูก ‘วางแทนที่’ ลงในภาพจำ
คืนนั้น ฝนตกหนัก
ไลลานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ขณะอีกฝ่ายนอนอยู่ในห้องนอนที่พวกเขาใช้ร่วมกัน
เธอไม่ได้หนี...แต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้เขาอีกแล้ว
เธอเคยพยายามทำความเข้าใจเขา เคยคิดว่าเขาแค่เย็นชา — ไม่รู้วิธีรักใคร
แต่ตอนนี้...เธอเริ่มแน่ใจว่าเขากำลัง ‘รักใครบางคนผ่านเธอ’
และที่น่ากลัวกว่านั้น...
เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ...ว่าเธอไม่ใช่ ‘ลลิน’
ตีสอง — เธอยังไม่หลับ
เสียงเพลงเปียโนยังคงบรรเลง...ช้า ๆ วนซ้ำ ๆ ทุกคีย์ที่ดังขึ้น ไม่ใช่แค่เสียงเปียโน — แต่มันคือเสียงตอกตะปูปิดโลงให้เธอช้า ๆ ทุกวัน
อคินเดินออกจากห้องนอน เสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอร์มที่เขาใส่ทุกคืนยิ่งทำให้เขาดูเหมือนภาพซ้ำในฝัน
เขาเดินผ่านเธอไปที่ห้องครัว
“คุณจะไม่เบื่อเพลงนี้หน่อยเหรอคะ?” เธอถามเสียงเบา ขณะยังหันหน้ามองออกไปที่หน้าต่างกระจกสูง
เขาหยุดชะงักเล็กน้อย
“…ไม่” คำตอบของเขาสั้น และห้วน
“คุณเปิดมันทุกวันเลยนะคะ”
“เธอก็แค่ฟังไป อย่าคิดมาก” น้ำเสียงเขาเย็นเฉียบ
ไลลาเม้มริมฝีปาก เธอลุกขึ้นช้า ๆ แล้วเดินตามเข้าไปในครัว
“ฉันหนาวค่ะ”
“แอร์มันปรับอัตโนมัติ อย่าไปยุ่งกับมัน”
“แต่มันหนาวเกินไป ฉัน—”
“เธออยู่ได้” เขาตัดบท ไม่มองหน้าเธอแม้แต่น้อย
เธอนิ่งไป
นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ
ไม่ใช่เสื้อของเธอ ไม่ใช่กลิ่นของเธอ ไม่ใช่เพลงของเธอ ไม่ใช่เตียงของเธอ
และเขาก็ไม่ได้เห็นว่าเธอเป็น “เธอ”
เขาเห็นเธอเป็น “เธอคนนั้น”
“คุณเห็นฉันเป็นใครกันแน่คะ?” เธอถามออกมาในที่สุด
เสียงนั้นแผ่ว แต่ตรง — และตรงพอจะทำให้มือเขาหยุดค้างตรงแก้วน้ำที่กำลังจะหยิบ
อคินเงียบ — เงียบจนได้ยินเสียงหยดน้ำจากก็อกที่ปิดไม่สนิท
เธอมองเขาเต็มตา
“…คุณเรียกชื่อคนอื่นตอนหลับ” เธอพูดต่อ
“คุณกอดฉัน เหมือนกำลังกอดคนอื่น”
เขายังเงียบ
เหมือนทุกคำที่เธอพูดกำลังแทงทะลุเข้ากลางอก — แต่เขาไม่ยอมให้มันไหลออกมาทางสายตาหรือสีหน้า
“ฉันไม่ใช่ลลินค่ะ” เธอพูดชัดเจน
เขาหันมาช้า ๆ ดวงตานั้นยังคงไร้อารมณ์
“ฉันจะไม่เป็นตัวแทนของใครอีกแล้ว...” เธอกระซิบต่อ
แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป
เสียงเพลงยังคงเล่น
ทำนองเดิม คีย์เดิม จังหวะเดิม
แต่มันคือเสียงของความป่วยไข้ — ไม่ใช่เสียงดนตรีอีกต่อไป
บรรยากาศในห้องนอนเย็นจัด แม้ไม่มีใครแตะรีโมตปรับอุณหภูมิก็ตาม
ไลลานอนนิ่งบนเตียง ร่างกายสั่นเพราะพิษไข้เก่าที่ยังไม่หายดีนัก แต่นั่นไม่ร้ายแรงเท่าใจที่เริ่มปริแตกในแต่ละวัน
ตั้งแต่คืนนั้น...คืนนั้นที่เธอถามเขาว่าเห็นเธอเป็นใครกันแน่ — และตอบกับตัวเองว่าเธอจะไม่ยอมเป็นตัวแทนของใครอีกต่อไปแล้ว — ความเงียบก็เริ่มเปลี่ยนโทน
ไม่ใช่ความเงียบที่สงบ
แต่คือความเงียบที่เต็มไปด้วยแรงสะท้อนจากความตึงเครียดที่ไม่มีใครยอมพูด
อคินยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ — เปิดเพลงเดิม ปรับอุณหภูมิห้องแบบเดิม จัดเตียง จัดอาหาร จัดชุดนอนเหมือนทุกวัน
และเธอ...ก็เริ่ม “ต่อต้าน”
“ไปนอนได้แล้ว” เขาสั่งขณะยืนพิงขอบประตูห้องนอน
“ฉันยังไม่ง่วงค่ะ” เธอตอบโดยไม่หันมามอง ขณะยังจ้องมองหน้าต่างเมืองยามค่ำจากโซฟาตัวเดิม
อคินนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวกลับออกไป โดยไม่พูดอะไร
แต่แววตาที่เขามองหลังเธอ — ราวกับเปลวไฟในเงาสะท้อน
วันต่อมา
“กินข้าว” เขาวางจานข้าวบนโต๊ะ กระชับเสียงสั้น ๆ
“เดี๋ยวค่ะ ฉันยังไม่หิว” ไลลาตอบอย่างนุ่ม แต่หนักแน่น
เงียบ...
เขาเดินออกไปอีกเช่นกัน
แต่ประตูห้องถูกปิดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
ไลลารู้ตัวดี
เธอกำลังเล่นกับ ‘เงื่อนไข’ ที่อคินไม่เคยให้ใครล้ำเส้น
และแล้ว…วันหนึ่ง
วันพฤหัสบดีที่เขาพาเธอไปเยี่ยมนที — เธอแอบใช้เงินเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ติดกระเป๋า ซื้อลูกไม้ผืนบางและเสื้อมือสองตัวใหม่จากตลาดใกล้โรงพยาบาล
เสื้อนั้นเรียบง่าย สีฟ้าอ่อน ผ้าบางเบา
ไม่หรูหรา ไม่แพง...แต่คือ “เสื้อของเธอ”
เสื้อตัวนี้ไม่ใช่แค่ผ้า...แต่มันคือการประกาศว่าฉันยังมีอยู่
ไม่ใช่ของใครบางคนที่เขาเอามาให้เธอใส่จนเหมือนกลายเป็นหุ่นเชิดในความหลอนซ้ำเดิมของเขา
และนั่น...คือวันที่เขาระเบิด
หลังกลับจากโรงพยาบาล
ประตูห้องถูกปิดด้วยเสียงที่ทำให้พื้นสะเทือน
อคินก้าวเข้ามาหาเธอ — ดวงตาคมกริบเหมือนมีดผ่าตัดที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
“นั่น...เสื้อมาจากไหน?” เสียงเขานิ่ง แต่เย็นเฉียบ
ไลลากำชายเสื้อตัวเองแน่น สูดลมหายใจ
“ฉันซื้อเองค่ะ...”
“ไม่ได้ถามว่าเธอซื้อได้ยังไง — ถามว่าใครอนุญาต”
“ฉันไม่คิดว่าต้องขออนุญาตใส่เสื้อของตัวเอง...” เธอตอบช้า ๆ น้ำเสียงแผ่วแต่หนักแน่น
เสียงนั้นคือประกายไฟสุดท้าย ก่อนที่เงามืดจะครอบคลุมห้องไปทั้งหมด
เขาก้าวเข้ามา แล้วกระชากเสื้อตัวนั้นจนขาด
เส้นด้ายหลุดออกมาเหมือนหัวใจที่ฉีกกระชากในวินาทีเดียว
ผ้าเบาบางนั้นหลุดจากร่างเธอ ทิ้งไว้เพียงบราเก่าที่เขาเองก็เคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง — เพราะมันคือหนึ่งใน ‘ของใช้ของใครบางคน’ ที่เขาไม่เคยเปลี่ยนให้
ไลลาเบิกตา น้ำตาพร่า...แต่ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“ถ้าเธอจะหนีจากบทที่ฉันเขียน...เธอไม่ต้องอยู่ที่นี่” เขากระซิบชิดริมใบหู
แล้วเขาก็ผลักเธอลงกับโซฟา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พร้อมกับ ‘ล็อกประตู’
ประตูที่เคยเปิด...กลายเป็นผนังทึบ เสียงล็อคที่ดังแกร๊กคล้ายเสียงตอกตรึงตรา — เธอไม่ใช่คนอีกต่อไป...แต่เป็นทรัพย์สินที่ถูกเก็บไว้
คืนนั้น...เธอถูกขัง
เหมือนนักโทษ
เหมือนสัตว์เลี้ยง
เหมือน ‘ร่างหนึ่ง’ ที่ไม่มีสิทธิจะเป็นตัวเอง
เธอเคยคิดว่าห้องนี้คือกรง
แต่คืนนี้...มันคือคุกจริง ๆ
เสียงเพลงเปียโนบรรเลงช้า ๆ ไหลวนในอากาศอย่างไร้จุดสิ้นสุด — เป็นทำนองเดิมที่เปิดทุกวันในคอนโดสูงชั้นสุดของใจกลางกรุงเทพมหานครแต่กับไลลา...มันไม่ใช่เพลงอีกต่อไปมันคือเสียงหลอนมันคือหลักฐานว่าเธอกำลังอยู่ในฉากซ้ำเดิมที่ไม่ใช่ของตัวเองเธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แนวฟลอรัลที่อบอวลอยู่ทั่วห้องยังคงเป็นกลิ่นเดิม — กลิ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามาในสถานที่นี้สถานที่ที่เธอไม่เคยรู้สึกว่าเป็น ‘บ้าน’อคินไม่พูดมาก เขายังคงทำหน้าที่ของเขาในโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด แต่ทุกคืนเขากลับมาที่นี่ — พร้อมกับกิจวัตรที่เป๊ะเหมือนจับวางเปิดเพลงเดิม เวลาเดิมเปิดแอร์ที่อุณหภูมิเดิม...แม้ไลลาจะปรับขึ้นให้สูงเพียงใด มันก็จะถูกเปลี่ยนกลับทุกครั้งที่เขาเข้าห้องที่แย่กว่านั้นคือ...แม้แต่คำพูดของเขา“นอนได้แล้ว ลลิน...”นั่นไม่ใช่ชื่อเธอและเขาก็รู้...ว่าไม่ใช่แต่เขาก็ยังเรียกมัน“กินข้าวให้หมด...เหมือนทุกที”
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนของฤดูฝนลอดผ่านม่านทึบแสงในห้องนอนสีเทาอมน้ำเงิน ความเงียบยังคงปกคลุมอย่างเหนียวแน่น ราวกับเวลาที่นี่เดินช้ากว่าทุกแห่งบนโลกบนเตียงขนาดคิงไซส์ ร่างบางของไลลานอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ดวงตายังหลับพริ้ม แต่เหงื่อที่ซึมตามไรผม และสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอไม่ได้หลับสบายอย่างที่ควรเป็นพิษไข้จากความเครียดและความเหนื่อยสะสมกำลังเล่นงานเธอจนไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวประตูห้องนอนถูกเปิดออกช้า ๆอคินยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นทรงเรียบจ้องร่างเธอแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้“ไข้ขึ้น...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องทันทีไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา เขากลับมาพร้อมถาดข้าวต้มร้อน ๆ และกล่องยาสีขาวสะอาดเสียงช้อนกระทบถ้วยเบา ๆ ทำให้ไลลาค่อย ๆ ลืมตา ดวงตากลมโตที่แดงก่ำมองเขาอย่างเลื่อนลอย“คุณ...ทำข้าวต้มเหรอคะ?” เสียงเธอแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“กินซะ จะได้กินยา” เขาตอบสั้น ๆ วางถาดไว้บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะยื่นผ้าเย็นเช็ดหน้ามาให้เธอรับไว้เงียบ ๆ ซับ
เสียงหายใจของเขาหนักขึ้นในห้องที่เงียบกริบ ราวกับเครื่องช่วยหายใจที่สูบกลืนเอาออกซิเจนจากร่างทั้งสองไปจนหมดสิ้นอคินโน้มกายลง แนบริมฝีปากกับลาดไหล่ของไลลาอย่างแนบแน่น เขาไม่ได้จูบ...แต่ ‘กด’ ลงไปด้วยแรงข่มความรู้สึกบางอย่างลมหายใจของเขาร้อนผ่าว — ต่างจากมือที่ยังเย็นจัดราวเหล็กจากห้องผ่าตัดเขาเลื่อนจูบลงต่ำ ซุกไซ้แนวผิวเนื้อที่เปลือยเปล่า ราวกับต้องการ 'ยืนยัน' ว่านี่คือของจริง ไม่ใช่ภาพหลอน ไม่ใช่ลลิน...แต่ความเหมือนของใบหน้า กลิ่นผิว และดวงตาคู่นั้น กลับกระแทกจิตใจเขาจนทุกสัมผัสกลายเป็น ‘พิษ’ ที่เขาเองก็กลืนไม่ลงมือเขาสอดใต้แผ่นหลังของเธอแล้วดึงขึ้นเล็กน้อย สะโพกของเธอเบียดชิดเข้ามาโดยปริยายจากแรงโน้มของเขาไลลานอนนิ่ง...ดวงตาไร้โฟกัส มองเพดานว่างเปล่าร่างกายเธอเกร็งเล็กน้อยยามมือของเขาไล้ผ่านแนวเอว สะโพก ก่อนจะกดแนบชิดเข้าหาเธอเต็มแรงเขาไม่พูด...เธอไม่ร้องและในความเงียบนั้น เสียงครางต่ำของเขาค่อย ๆ ดังขึ้น — ไม่ใช่ด้วยความสุขสม แต่เหมือนคนที่กำลัง ‘คลั่ง’ อยู่ในความฝันที่บิดเบี้ยวเขาประกบริมฝีปากกับลำคอ
เสียงกระดาษเสียดสีกับโต๊ะไม้เรียบสนิทดังเบา ๆ ในห้องรับรอง VIP ที่เงียบสนิทเกินจะเชื่อว่าตั้งอยู่ใจกลางโรงพยาบาลที่พลุกพล่านหมออคินผลักแฟ้มเอกสารบางส่วนมาทางเธอ ก่อนจะวางปากกาแท่งเรียบหรูสีดำที่ดูแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะกล้าใช้ลงตรงหน้าไลลานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มือบางกำชายเสื้อแน่น ดวงตาแดงก่ำจากหยาดน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งดี“ฉันต้องเซ็น...จริง ๆ เหรอคะ?”“ทุกคำที่อยู่ในนั้น จะคุ้มครองคุณและน้องของคุณ...ถ้าคุณทำตามทุกข้อที่ผมกำหนด”น้ำเสียงของเขายังคงเรียบ ไม่สูง ไม่ต่ำ ราบรื่นอย่างน่าขนลุกไลลาหยิบปากกาขึ้นช้า ๆ เธอไม่อ่านแม้แต่บรรทัดแรก — เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางไหนให้เลือกอีกต่อไปเสียงหมึกแตะลงบนกระดาษในวินาทีที่มือของเธอสั่นอย่างห้ามไม่ได้เธอไม่รู้ว่ากำลังเซ็นสัญญาชีวิต...หรือฆ่าความเป็นคนในตัวเองทิ้งไปพร้อมลายเซ็นนั้นเมื่อเธอเซ็นเสร็จ อคินก็หยิบเอกสารกลับมา แยกออกเป็นสองชุด ยื่นให้เธอหนึ่งฉบับ“เก็บไว้ให้ดี” เขากล่าวสั้น ๆ ก่อนจะเก็บชุดของตัวเองลงในแฟ้มและลุกขึ้น
“ขอโทษนะทีน...”เสียงไลลากระซิบแผ่วขณะก้าวลงจากรถสองแถวเก่า ๆ ที่มุ่งหน้าเข้าซอยลึกย่านชุมชนบางบัวทอง ใบหน้าเธอยังคงเปียกจากฝนปรอยๆ ที่โปรยลงมาระหว่างทาง น้ำฝนผสมเหงื่อไหลซึมตามไรผมลงสู่ปลายคางถุงผ้าที่ใส่ของใช้สำหรับน้องชายแน่นไปด้วยเสื้อยืดสีซีด ยา และเอกสารโรงพยาบาล แต่หัวใจของเธอเบากว่าเดิม — เพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคตให้คาดหวังอีกแล้วเสียงหัวเราะของผู้โดยสารคนหนึ่งในรถยังดังก้องในหัวเธอ แม้มันจะแค่ชั่วครู่ แต่กลับเหมือนมีดเล่มบางกรีดผ่านใจเธอกำลังตกงานในวันที่ไม่มีแม้แต่เงินเหลือติดกระเป๋าเกินสามหลักและพรุ่งนี้...เธอควรจะซื้อยาให้นทีแต่ยาราคาเกือบพัน — ในขณะที่เธอเหลือไม่ถึงห้าร้อยเธอนั่งนิ่งอยู่ริมถนน หัวใจว่างเปล่าราวกับหล่นหายระหว่างทางฝนตก เธอไม่แม้แต่จะปาดน้ำตาที่เริ่มรินช้า ๆ จากหางตา“อย่าเพิ่งร้องไห้...เดี๋ยวทีนจะไม่มีคนดูแล” เธอบอกตัวเองในใจอย่างร้าวลึกทันใดนั้น...เสียงโทรศัพท์มือถือที่จอแตกร้าวและปุ่มกดค้างบางปุ่มก็ดังขึ้น“ฮัลโหล?” เธอรับสายด้วยเสียงเหนื่อยล้า“คุณไลลาหรือเปล่
"ชื่อเต็ม...ไลลา อินทรานนท์"อคินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในห้องส่วนตัวของเขา ภายในออฟฟิศแพทย์ระดับบริหารชั้น 17 ที่มีเพียงไม่กี่คนในโรงพยาบาล RAVEN เท่านั้นที่มีสิทธิใช้โต๊ะไม้โอ๊คแท้ทาสีดำวาว เครื่องคอมพิวเตอร์สเปกสูง รายล้อมด้วยชั้นหนังสือและตู้เก็บประวัติคนไข้ที่ล็อกทุกช่องอย่างแน่นหนาชายหนุ่มแตะนิ้วลงบนจอแล็ปท็อป เขากำลังอ่านข้อความจากไฟล์รายงานที่เลขาฯ ส่วนตัวส่งมาให้เมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนข้อมูลที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขานิ่งงันอยู่พักใหญ่— หญิงสาวอายุ 26 ปี อาศัยอยู่ในแฟลตเช่าเก่า ๆ ชุมชนแออัดย่านบางบัวทอง— อาชีพ: พนักงานเสิร์ฟร้านกาแฟ / รายได้ประมาณ 10,000 – 12,000 บาทต่อเดือน— ผู้ปกครองของ ‘ด.ช. นที อินทรานนท์’ ผู้ป่วยโรคหัวใจแต่กำเนิด— ประวัติเคยเป็นเด็กในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งและที่สำคัญที่สุด — หมอประจำเคส รพ.รัฐที่เธอเคยไปรักษา ส่งเธอมา ‘ขอคำปรึกษา’ กับเขา เพราะเป็นเคสซับซ้อนหายากระดับประเทศอคินพิงหลังกับพนักเก้าอี้หนัง เสียงลมหายใจของเขาสะท