(เครื่องบินส่วนตัว)
สามวันต่อมา (ทางฝั่งบรรดาพ่อแม่)
“คิดว่ามันจะได้ผลมั้ยล่ะ” เคทยกแก้วชาขึ้นดื่ม สายตามองไปที่เพื่อนทั้งสอง สลับกันไปมา
“ถ้าไม่ได้ผล ความหวังอยู่ที่ฝีมือการแยกของเจ้าหญิงไอริสแล้วละ” เฮเลนพูดอย่างยอมแพ้
“ก็แยกมาตั้งแต่เด็กจนโต” คิมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนปลงชีวิต
“ก็ยังไม่เห็นจะดีกันได้สักที” เฮเลนเองก็ดูปลงด้วยเช่นกัน
“เอาน่า แบบนี้แหละมีบ้างที่ไม่ถูกกัน เดี๋ยวเขาดีกันได้ต้องเป็นเพื่อนที่รักกันมากแน่” เคทพยายามปลอบใจเพื่อนสุดฤทธิ์
พยายามจะเลี้ยงลูกให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทุกคนเข้ากันได้หมด ยกเว้นฟีฟี่กับลูคัส ทั้งสองคนแข่งกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเรื่องเรียน กีฬา กิจกรรมต่าง ๆ
จนปัจจุบันที่อยู่ในฐานะทายาทมาเฟียอันดับต้นของประเทศด้วยกันทั้งคู่ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ยังเป็นเพียงการทะเลาะระหว่างตัวบุคคล
การที่จะกระทบข้ามเขตนั้นตัดไปได้เลย ทั้งสองฝ่ายมีสัญญาต่อกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว แม้พ่อแม่จะเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้าเรื่องของเขตพื้นที่ ไม่มีฝ่ายไหนก้าวข้ามให้มีปัญหา
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องจัดการก็คือ ทำให้ทั้งสองสงบศึกต่อกัน หรืออีกอย่าง...ทำให้เกลียดกันจนไม่อยากแม้แต่จะเจอหน้ากันจริงจังไปเลย
“กว่าจะถึงวันนั้นต้องมีรถถูกชนยับไปอีกกี่คัน” คิมหันมาพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกคนก็หลาน อีกคนก็ลูก
“บริษัทรถไม่อยากดูแลแล้ว เหนื่อย” เฮเลนที่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดี
“จะบ่นทำไม ท่องไว้สิ ลูกตัวเองทั้งนั้น” มาร์ชินมองหญิงสาวทั้งสามคน ที่ประชุมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เข้าใจความรู้สึกพ่อฉันละ...ลูกเราเลี้ยงมากับมือเหมือนตัวเอง” เฮเลนที่จู่ ๆ ก็นึกถึงคุณพ่อขึ้นมาซะงั้น
“ไม่น่าส่งฟี่ไปอยู่กับไอ้คินมากเลย เลี้ยงนางฟ้าตัวน้อยของฉันให้ออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง” สิ้นเสียงของคิม ทุกสายตาก็หันไปมอง
“เหมือนตัวเองนั่นแหละ!” เสียงจากสองเพื่อนพูดขึ้นพร้อมกัน ทำเอาสามีของพวกเธอต่างหลุดขำไปด้วย
ก็ลูกของแต่ละคนไม่มีใครน้อยไปกว่าพ่อแม่เลยแม้แต่คนเดียว
(ฟีฟี่)
“พ่อกับแม่ไปแล้วเหรอ ~” เสียงหวานร้องขึ้นกลางคฤหาสน์หลังโต ที่หลงเหลือไว้เพียงความเงียบสงบในยามค่ำคืน
“ไปแล้ว” เสียงฟีฟ่าตอบกลับระหว่างที่กำลังเดินผ่านฉันไปยังประตูบ้าน
“ฟ่าจะไปไหน ~”
“ไปข้างนอก”
วิ้ง ~ ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย
“ไปด้วยสิ ~” อยู่บ้านจนเบื่อไม่มีรถจะออกไปไหนมาไหนด้วย เพราะถูกพ่อคาดโทษเอาไว้อยู่
“จะไปแน่นะ” เสียงทุ้มถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ก้มมองฉันที่เอาหน้าแนบอยู่กับท้อง
“ถ้าไปได้ก็ไป เราเบื่อ” อยู่บ้านมาสองวัน ไปไหนไม่ได้ ไม่มีรถใช้ ถูกยึดหมด
“ไปคลับ DDD” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่ที่ฟ่าจะไป
“คลับของแอซเซอร์”
“ใช่ เข้าไปหาเดลมัน จะไปมั้ยล่ะ”
“....” ลาเดลกับซินเซียดูแลแอซเซอร์ ยังไงก็ไม่เจอไอ้บ้านั่นแน่นอน แต่ถ้าเจอล่ะ... ตอนนี้อยู่ในช่วงอารมณ์ดี ไม่อยากใช้ปากมาก เจอทีไรพูดจนเหนื่อยทุกที
“ไอ้คัสไม่มาหรอก” เหมือนฟ่าจะรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่
“แน่ใจ”
“แน่ใจ ถามเดลแล้ว”
“....” ฉันยังชั่งใจอยู่นาน จนฟ่าเริ่มรำคาญ จึงเดินเข้ามาใช้แขนกอดคอ พาเดินไปทางประตูบ้านด้วยกันซะเลย
“ทำตัวเหมือนกลัวมันไปได้ ที่ผ่านมาก็แทบจะฆ่ากันตาย แล้วคัสก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก”
“ไม่ได้กลัว แต่ฟ่าไม่เข้าใจเราหรอก แค่เห็นหน้าก็จะอ้วกแล้ว ยิ่งได้ยินเสียงยิ่งรำคาญหู พาหงุดหงิดไปหมด” เสียงเล็กโวยวาย ในขณะที่ยังถูกกอดคอพาเดินไปยังรถ
“ถ้างั้นฟี่อยู่บ้านต่อไป รถก็ไม่มีให้ใช้ ไปไหนไม่ได้ เหี่ยวตายอยู่บ้านไปเลย” ฟ่าปล่อยแขนออกจากคอทันทีที่พูดจบ แล้วเดินไปยังรถของตัวเองทันที
“ไม่เอา เราไปด้วย!” ร่างบางวิ่งตรงไปเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วฟ่าก็ขับออกไปทันที ตอนนี้สภาพกลายเป็นเด็กติดพี่น้องไปแล้ว ไม่มีรถเป็นของตัวเอง!
คลับ DDD
“ไง” เสียงกล่าวทักทายของลาเดลดังขึ้น ทันทีที่เห็นฉันก้าวเท้าลงจากรถ
ทุกสายตาจากผู้หญิงที่เดินผ่านเข้าไปในคลับต่างหันมามองที่พวกเรา แต่จุดสนใจนั้นก็คือลาเดลกับฟ่าไม่ใช่ฉัน ก็พอเข้าใจหรอก อย่างน้อยนานทีปีหนจะเห็นเดลออกมาให้ผู้คนได้พบ
“ไง” ฉันตอบกลับราวกับคนไร้ชีวิต
“ได้ข่าวว่าโดนยึดรถ” ถามแบบนี้คงรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วแหละ
“ก็เพราะใครล่ะ” ฉันพูดอย่างหัวเสีย อย่าให้รื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกเลย ยิ่งเห็นเดลด้วยแล้ว ก็พาลให้นึกถึงฝาแฝดของเขา
“คัสก็โดนแม่บ่นหูชาเหมือนกัน”
“สมน้ำหน้า” น้อยไปด้วยซ้ำ ยังไงฉันก็ไม่ใช่คนเริ่ม แต่ต้องมารับผิดเรื่องอะไรก็ไม่รู้
“เอามาให้กูยัง” ฟ่าที่เดินมาหยุดยืนด้านหลังถามขึ้น
“เอามาแล้วจะไปดูเลยมั้ย” ให้เดลหาอะไรให้อีกล่ะเนี่ย แต่ช่างเถอะ ฉันแค่เบื่ออยู่บ้าน มาหาที่ฟังเพลงแค่นั้น
“ไปดูอะไรก็ไปดูกันเลยนะ ขอเข้าไปรอที่ห้องทำงานแล้วกัน”
“เข้าไปได้เลย แต่พยายามหลบโซนวีไอพีหน่อยนะ”
“โอเค” ฉันตอบรับคำเตือนของลาเดล
แล้วก้าวเดินเข้าไปยังด้านในคลับทันที ส่วนทั้งสองคนก็ขึ้นไปยังรถของฟ่า แล้วขับออกไปที่ไหนสักแห่ง เดี๋ยวถึงเวลาก็กลับมารับฉันเองนั่นแหละ ถ้าชวนไอริสออกมาหา เจ้าหญิงขี้เซาจะออกมามั้ยนะ ~
ร่างบางเดินตรงไปยังห้องทำงานของลาเดลด้วยความยากลำบาก ภายในคลับที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะคนเยอะผิดปกติ ฉันเพ่งมองไปยังโซนวีไอพีที่เดลพูดเอาไว้ ดูเหมือนจะมีปาร์ตีอะไรสักอย่างสินะ
“ที่ให้หลบเพราะแบบนี้นี่เอง...” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง จ้องมองความวุ่นวายของโซนที่ว่า แล้ววันนี้ก็เหมือนจะมีดีเจดังมาเหรอเนี่ย ถึงว่าคนเลยเยอะเป็นพิเศษนี่เอง
ฉันพยายามเบี่ยงหลบไปทางห้องน้ำ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ดูคนเยอะไปหมด คิดถูกคิดผิดเนี่ยที่เข้ามาเองลำพัง
“กรี๊ด!”
ปึง!
ในระหว่างที่กำลังเดินผ่านห้องน้ำ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อหญิงสาวคนหนี่งถูกผลักออกจากห้องน้ำ แล้วล้มลงตรงหน้า ก่อนจะตามมาด้วยผู้ชายอีกคนที่เดินตามออกมา
หมับ!
เขาใช้มือคว้าเข้าที่เส้นผมยาวของเธอ แล้วออกแรงดึงร่างกายที่สั่นเทานั่นให้ลุกขึ้นยืน แต่ดูเหมือนเธอเองก็ทั้งเมาและบอบช้ำทั้งตัว ในคลับมีเพียงแสงไฟสีม่วงจากหลอดนีออน ทำให้เห็นรอยช้ำไม่ชัดนัก
“มึงขัดคำสั่งกู...” แม้เสียงเพลงจะดัง ฉันก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน บริเวณที่ยืนอยู่ก็มีคนพลุกพล่าน คนตรงหน้าทำกับหญิงสาวโดยไม่สนใจสายตาใคร
“ฮึก...”
“ขอโทษนะคะ”
“....” ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเสียงของฉัน เขาใช้มือบีบคอของเธอ ดึงให้อีกฝ่ายยืนเต็มส่วนสูง
“ขอโทษค่ะ” ฉันลองใช้ความพยายามอีกครั้ง
“อย่าเสือก” ครั้งนี้เห็นฉันสักที แล้วยังหันกลับมาด่ากันอีก
“ขอโทษที่เสือกค่ะ แต่ว่าคุณขวางทางเดินอยู่” ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน จ้องมองใบหน้าของผู้ชายตรงหน้า
คนเมาแล้วอาละวาดมีทุกที่ แอซเซอร์ไม่ส่งคนมาดูแลแถวนี้เลย หรืออีกอย่างมันก็เป็นจังหวะที่ไม่มีใครผ่านมาพอดี ผู้คนในคลับก็คงไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งนักหรอก
“มึงก็เดินไปทางอื่นสิ” น้ำเสียงเย็น ๆ ของเขาทำให้ฉันเริ่มจับอาการบางสิ่งได้ มันไม่ได้เมาแฮะ
“ปล่อยมือจากเธอสักแป๊บสิคะ ฉันจะได้เดินไปได้ พอดีขี้เกียจเดินอ้อม”
“มึงไม่เข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย!” เสียงตะคอก ยิ่งทำให้ทุกคนหันมามองที่เรา
คนของแอซเซอร์ยังไม่มีใครมาอีกเหรอเนี่ย ฉันละสายตาจากผู้ชายตรงหน้ามองไปรอบตัว กวาดสายตามองไปตามมุมสังเกตหากล้องวงจรปิด ก็มีอยู่นี่หว่า หรือไม่สนใจกันนะ ใช้ไม่ได้เลยพวกนี้
“เข้าใจค่ะ แล้วคุณ...เข้าใจที่ฉันพูดมั้ยคะ” ปากก็พูด สายตาก็ยังมองกล้องวงจรปิด
เฮ! ฉันเพ่งกระแสจิตใส่กล้องอยู่นะรีบมากันสักทีสิ
พึ่บ!
ผู้ชายคนนั้นปล่อยมือออกจากผู้หญิง แล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉัน
“มองอะไรของมึงวะ” คำพูดถ่อย ๆ ทำเอาไม่อยากคุยด้วยเลย
“แป๊บนะคะ” ฉันยังคงสนใจไปที่กล้อง
เอ๊ะ! หรือว่าพวกนั้นคิดว่าเราพูดคุยกันปกตินะ มองไม่เห็นความวุ่นวายเลยไม่ได้สนใจ
“มองอะ!”
“กรี๊ด!”
พึ่บ! ปึง!
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ทันจะพูดอะไรออกมาต่อ ร่างกายกำยำก็ถูกดึงจากด้านหลัง ล้มหงายนอนลงกับพื้น แล้วตามด้วยเท้าที่สวมผ้าใบเหยียบลงบนลูกกระเดือก กดทิ้งน้ำหนักตัวลงทำให้อีกฝ่ายทรมาน
ซินเซียเป็นผู้หญิงตัวเล็ก แต่เก่งเรื่องศิลปะป้องกันตัวมาก ถ้าเทียบกับฉัน ซินเซียจะเก่งกว่า ตัวเองมีแค่เอาไว้ป้องกันตัวพอได้อยู่
“ขอโทษที่เซียมาช้าไปนิด พี่ฟี่” รอยยิ้มหวานบวกกับน้ำเสียงสดใสเป็นเอกลักษณ์ของซินเซีย ทายาทคนเล็กของตระกูลมัสชิโม่
“เราอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” อยู่ที่นี่สองแล้ว เหลืออีกสอง การเจอซินเซียก็ดีใจอยู่หรอก แต่ทำให้หวั่นใจแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“พึ่งมาค่ะ แวะมาเอาของด้วย บังเอิญเดินผ่านทางนี้พอดี” ซินเซียยกเท้าออก ในขณะที่คนของแอสเซอร์เข้ามาพาผู้ชายคนั้นออกไป พร้อมกับพาผู้หญิงที่เจ็บตัวอยู่ออกไปด้วย
“อ๋อ...” ฉันกวาดสายตามองไปรอบตัว
“มาหาพี่เดลเหรอ”
“พี่มากับฟ่า แต่ฟ่าออกไปกับเดล”
“พี่กำลังจะไปห้องทำงานพี่เดลสินะ เดี๋ยวซินไปส่ง” ซินเซียกระโดดเกาะแขน พาเดินไปยังห้องทำงานของเดล
“ไม่อยู่กับพี่ก่อนเหรอ” ฉันเริ่มอ้อนให้ซินเซียอยู่ด้วย
“ก็อยากอยู่หรอกค่ะ แต่เดี๋ยวตีสองต้องไปจีนกับพี่ก้า”
“ตอนนี้ก็จะเที่ยงคืนแล้วเซียไปเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปเอง”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ เดี๋ยวเซียไปส่งพี่แล้วค่อยไป”
เราทั้งสองคนเดินคุยกันไปตลอดทาง ท่ามกลางสายตาสงสัยจากคนของแอซเซอร์ แต่พอเห็นซินเซียเดินมาด้วย ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าวุ่นวาย เมื่อพาฉันมาส่งถึงที่หมาย เธอก็ขอตัวกลับไปทันที
เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันในตอนนี้เลยดูเหมือนแค่มาเปลี่ยนสถานที่นั่งเล่นโทรศัพท์มากกว่า ก็มันไม่มีอะไรทำ อยู่บ้านก็เบื่อ ได้แต่นั่งรอฟ่าอยู่ในห้องนี่เงียบ ๆ
ในขณะที่ไม่รู้จะทำอะไรก็แกะเอาต่างหูตัวเองออกมา ด้วยความรู้สึกว่าเจ็บบริเวณหู และเพราะไม่มีกระจก ทำให้จังหวะที่ดึงออกมันดันหลุดมือกระเด็นตกลงบนพื้น
“อ้าว หายไปแล้วเนี่ย” เสียงเล็กพึมพำกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ย่อตัวนั่งลงกับพื้นเพื่อหาต่างหูที่ตก
สายตาจดจ้องไปตามพื้น จนกระทั่งเห็นเข้ากับแสงสะท้อน มันตกกระเด็นลอดใต้โต๊ะทำงานไปอยู่อีกฝั่ง ฉันลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปอีกทางของโต๊ะทำงาน ก่อนจะก้มตัวลงหยิบ
กริ๊ก! เสียงประตูเปิดออก
“คุณลูคัสคะ ฟังเรเน่ก่อนสิคะ” เสียงของผู้หญิงดังตามเข้ามา ลูคัสงั้นเหรอ!
“ก็บอกว่าไม่ใช่ ผมลูก้าครับ” แต่เสียงตอบกลับบอกว่าชื่อลูก้า ส่วนโทนเสียงอันคุ้นหูนั้นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้ว ตอนนี้ไม่แม้แต่คิดจะลุกขึ้นยืน ได้แต่นั่งแอบใต้โต๊ะ
“....” ไม่มีเสียงใครพูดขึ้นมา
ว่าแต่....ไหนซินเซียบอกว่าจะไปจีนกับลูก้า แล้วเขามาทำอะไรที่นี่
“กลับไปเถอะครับ เดี๋ยวจะบอกคัสให้ว่าคุณอยากเจอ” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วตามด้วยเสียงปิดประตู
ปึง!
“ไหนเซียบอกว่าก้าจะปะ...” ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูปิดลง ฉันก็ลุกขึ้นยืน ปากพูดไม่ทันจบก็ต้องหุบลง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...
“มาทำอะไรในนี้”
“....” ลูคัส