“ขอบคุณที่มาส่งหนูนะคะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้พี่โลคาอย่างเป็นกุลสตรีและมีมารยาทมากที่สุด ส่วนอีกฝ่ายก็ทำหน้านิ่งส่งมาให้ฉันแทน แถมยังไม่สนใจที่จะหันมามองฉันแม้แต่น้อย ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ มีแต่ภาพที่ฉันเห็นว่าพี่เขาขับรถออกไปแล้ว เชอะ! หยิ่งชะมัด
โลคา Talk
ผมวนรถจอดตรงที่ลับตาคน ก่อนจะนั่งมองเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าเลเน่อะไรนั่น เมื่อเห็นว่าเธอเข้าไปในบ้านของตัวเองแล้วผมจึงสตาร์ตรถออกไปจากตรงนี้
วันนี้ผมมีนัดกับไอ้แบล็คที่ผับ อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก แต่วันนี้ผมต้องเตรียมใจโดนไอ้แบล็คล้อผมแน่ เพราะดันมียัยเด็กแสบนั่นมาทำให้ผมต้องมาไม่ตรงเวลาแบบนี้
แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะไม่แน่ถ้าไปถึงแล้วไอ้แบล็คมันอาจจะยังไม่โผล่มาก็ได้ ไอ้นี่มันเคยตรงต่อเวลาที่ไหน ถึงแม้ภายนอกผมกับมันจะดูแตกต่างกันและไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้ แต่ใครจะหารู้ไม่ว่าผมกับมันก็ไม่ได้ต่างอะไรนักหรอก แต่เพราะลุคของผมที่แสดงออกมามันเลยทำให้ดูต่างกันเฉย ๆ
อันที่จริงแล้วนิสัยของผมกับมันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ แค่ผมไม่ได้แสดงออกมาให้ใครเห็นเหมือนมันก็แค่นั้น
Wip198 Bar
ผมส่งกุญแจรถให้กับพนักงานของผับเมื่อขับเข้ามาถึงโซนจอดรถ วันนี้คนก็ยังคงแน่นเหมือนเดิม ดูจากปริมาณรถที่จอดแล้วก็พอเดาได้ว่าภายในผับจะต้องแออัดเป็นอย่างมากแน่ ดีนะที่โต๊ะประจำของพวกผมอยู่ตรงโซนวีไอพี
ผับนี้เป็นผับของรุ่นพี่พวกผมเองครับ พวกผมกับไอ้แบล็คเลยได้ที่นั่งประจำโดยไม่ต้องโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าเหมือนคนอื่น
“ไม่คิดว่าคนตรงต่อเวลาแบบมึงจะมาสายซะเองนะ”
“หึ” ผมเค้นหัวเราะใส่มันไป เมื่อได้ยินประโยคแดกดันที่มันส่งมาให้พร้อมกับใบหน้าที่กวนตีนของไอ้แบล็ค ได้ทีเอาใหญ่เลยไอ้เวรนี่
“ติดปัญหานิดหน่อย” ผมตอบมันส่ง ๆ แล้วเดินไปหย่อนสะโพกลงที่โซฟาสีแดงสดตรงข้ามกับมัน โต๊ะนี้มีแค่ผมกับมันสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ ง่าย ๆ เลยก็คือว่ามีแค่มันเท่านั้นที่ผมคบเป็นเพื่อน และมันก็มีแค่ผมเหมือนกันที่กล้าเป็นเพื่อนกับมัน
นอกนั้นก็มีแต่คนกลัวมัน ส่วนของผมที่คนไม่อยากจะยุ่งด้วยก็เพราะไม่ชอบที่ผมดันเป็นลูกของเจ้าของมหา’ลัย และมีบาง ‘จำพวก’ ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้มาตีสนิทกับผม ซึ่งอันนี้ผมดูออกง่ายมาก และผมมักจะชอบทำตัวแย่ ๆ ใส่พวกมันซะด้วยสิ
“ปัญหา?” ผมพยักหน้าตอบมันไปไม่อยากจะลงรายละเอียดมากนัก เพราะ ปัญหา ที่ว่ามันเองก็ดันรู้จักเจ้าตัวปัญหานี่ดีซะด้วย ผมไม่อยากมานั่งปวดหัวตอบคำถามของมันก็แค่นั้นแหละ
“พรุ่งนี้การส่งของจะมีปัญหาหรือเปล่า?” ผมยกขวดเบียร์ขึ้นมาเทน้ำสีหม่นลงแก้วเหล้าทรงเหลี่ยมที่กำลังตั้งวางอยู่เบื้องหน้าอย่างใจเย็น และรอฟังคำตอบจากไอ้แบล็คที่กำลังกระดกน้ำมึนเมาเข้าปากอยู่ ที่ผมต้องถามมันแบบนั้นก็เพราะในวันพรุ่งนี้ผมและมันจะต้องไปร่วมงานกับทางคณะ
แถมมันยังดันตรงกับวันที่ผมกับมันจะต้องส่งของสำคัญซะด้วยสิ เนื่องด้วยผมกับมันทำ ‘ธุรกิจ’ บางอย่างร่วมกัน นั่นจึงทำให้ผมกับมันมักจะนัดมาคุยงานกันที่นี่บ่อย ๆ
“กูให้คนของกูรอจัดการแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ผมพยักหน้าตอบมันไป พร้อมกับยกแก้วทรงเหลี่ยมที่บรรจุน้ำดื่มมึนเมาขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น เมื่อได้ยินคำตอบอันน่าพึงพอใจจากปากของไอ้แบล็ค สายตาผมก็มองไปยังบริเวณชั้นล่างที่มีเหล่าผู้คนมากมายกำลังเต้นกันไปมาอย่างเมามัน
“มึงคิดยังไงกับไอ้เน่” ผมละสายตาจากการมองดูผู้คนเพลิน ๆ ไปมองที่หน้าของไอ้แบล็ค สีหน้าของมันตอนนี้ดูเหมือนจะจริงจังกับคำถามที่ถามออกมาพอสำควร ไอ้เน่ที่ว่าคงจะเป็นเด็กที่ชื่อ เลเน่ นั่นสินะ
“ไม่ได้คิดอะไร” ผมตอบตามความจริงไป ผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่น และผมก็ยังไม่อยากคิดเรื่องคบกับใครอีกด้วย เพราะมีอีกหลายอย่างที่ผมจะต้องทำ และไหนจะตัวตนจริง ๆ ของผมอีก คนที่เข้ามาชอบผม มาจีบผม ก็เพราะมองผมแค่เปลือกที่ผมสร้างขึ้นมาให้ดูก็แค่นั้น
แน่นอนว่าถ้าพวกคนเหล่านั้นได้เข้ามายังโลกจริงของผม ผมว่าพวกเธอคงจะตกใจและรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“ก็ดี” ผมมองมันด้วยความสงสัย ที่มันถามผมแบบนี้หรือว่ามันกำลังสนใจยัยเด็กนั่นงั้นเหรอ แต่เท่าที่ผมรู้มาตอนนี้เหมือนมันกำลัง ‘ติดพัน’ กับเพื่อนร่วมคณะอยู่นี่
“ทำไม...หรือมึงสนใจ?” แม้ก่อนหน้านี้ผมจะตอบมันไปว่าไม่ได้คิดอะไร แต่พอต้องมาถามหาเหตุผลจากมันแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยเหมือนกันแฮะ ที่จะได้รู้ว่ามันอาจจะกำลังสนใจยัยเด็กนั่น แถมดูจากท่าทางก่อนหน้านั้นแล้วมันกับเด็กนั้นก็ดูสนิทกันพอสมควรเลยนะ
“หึ”
เลเน่ Talk
ปัง! ปัง!
“ยัยเน่ แกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนห๊า!” เสียงเคาะประตูบวกกับเสียงตะโกนของแม่เล่นเอาฉันที่กำลังนอนฝันหวานถึงพี่โลคาอยู่ถึงกับต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ
“ตื่นแล้ว ๆ !!!” ฉันตะโกนตอบแม่ไป จากนั้นเสียงฝีเท้าและเสียงเคาะประตูก็ค่อย ๆ เงียบหายไป แม่ฉันเป็นแบบนี้แหละถึงจะดูเหมือนผู้ใหญ่ใจร้ายแต่ฉันชินแล้ว แม่ฉันที่จริงไม่ได้ใจร้ายอะไรหรอก แต่เพราะคงกลัวว่าฉันจะขึ้นเครื่องสายเลยมาปลุกฉันนะสิ
“ง่วงชะมัด ไม่น่านอนดึกเลยเรา” เมื่อคืนกว่าฉันจะข่มตาหลับได้เล่นเอาแทบแย่ ก็มันตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวกับพี่โลคานี่นา
เอ่อ...ไม่สิ ไปดูงานกับคณะนั้นแหละ ไหนจะมีพี่โลคาไปด้วยอีก ฉันเลยนั่งคิดวิธีที่จะได้อยู่กับพี่โลคาสองต่อสองไว้หลายแผนเลย จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเนี่ย แต่ก็คุ้มนะ อิอิ
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า” เมื่อมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลตั้งโต๊ะเห็นว่าเป็นเวลาที่ใกล้จะสายแล้ว ฉันก็รีบวิ่งตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างไว ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนด้วย
“เลเน่ ลูกแต่งตัวเสร็จหรือยังจ้ะ” ไม่ใช่เสียงใครหรอกแต่เป็นเสียงแม่ของฉันเอง ที่เวลาไอ้พี่แบล็คมันมาบ้านฉันแม่ฉันจะเปลี่ยนเป็นอีกร่างทันที
ฮ่ะ! แต่เดี๋ยวนะ นี่อย่าบอกนะว่า...
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ