และที่ฉันกลัวไม่ใช่อะไร นอกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองที่จะต้องพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรเล่า! ที่ฉันฝึกมามันสูญเปล่ามาก เพราะว่า ฉัน-จำ-อะไร-ไม่-ได้-เลย! ความกลัวนำพาสมองฉันว่างเปล่ามากตอนนี้
“เลิกพูดสักที ฉันก็เริ่มจะกลัวพอ ๆ กับแกแล้วนะโว้ย!” ฉันหันหลังไปด่ามันเบา ๆ ไม่งั้นคนอื่นได้มองฉันกับมันอย่างน่าสมเพชแน่นอนที่ดันโง่ภาษา
“ก็ฉันกลัวนี่แก” ยัง มันยังไม่หยุดอีก
“งั้นแกไปก่อนเลยพูดมากนัก!” ฉันรีบเดินสลับที่กับมัน ซึ่งเป็นจังหวะประจวบเหมาะพอดีที่คิวต่อไปจะเป็นคิวของฉันพอดี และแน่นอนว่ามันก็ช่วยไม่ได้เพราะยัยพิ้งถูกเรียกเข้าไปถามคำถามแล้ว มันมองฉันด้วยสายตาอาฆาตแค้นมาก แต่ฉันไม่สนใจหรอกย่ะ ฮิฮิ
เยาะเย้ยมันได้ไม่นานหรอก มันก็แลบลิ้นส่งมาให้ฉันเมื่อแฟนของมันที่เรียนคณะวิทย์รีบวิ่งเข้ามาตอบคำถามแทนมัน และช่วยมันพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ จนในที่สุดมันก็เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไป
“ซวยแน่ฉัน ไม่น่าไปแกล้งมันเลย!” ฉันบ่นกับตัวเองแล้วก็พยายามก้าวขาช้า ๆ ไปหาพี่เจ้าหน้าที่ ถ้าฉันไม่แกล้งมันป่านนี้มันคงให้แฟนมันมาช่วยฉันแล้ว
“Hello” ฉันพ่นคำทักทายอย่างสุภาพที่ฉันพอจะรู้ออกไป พร้อมกับยื่นเอกสารที่ฉันแอบเห็นว่ายัยพิ้งมันส่งอะไรให้เจ้าหน้าที่ไปบ้าง
ส่วนเจ้าหน้าที่ไม่ตอบอะไร แต่ก้มหน้าดูเอกสารและรูปในพาสปอร์ตสลับกับหน้าของฉันแทน พร้อมกับเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา และใช่ค่ะ ฉันแปลไม่ออก
“What’s the purpose of your visit?” อะไร มันแปลว่าอารายยยย!!! ไม่พอนะเจ้าหน้าที่ก็ดันมองฉันอย่างกดดันอีก ตาย ๆ ทำไงดีละเนี่ย
“Study” ไม่ใช่เสียงของฉันที่ตอบแต่เป็นเสียงของคนด้านข้างฉันแทน พอหันไปดูก็เห็นเป็นพี่โลคานั่นเอง แต่พี่เขาไม่ได้หันมามองฉันสักนิดเลยนะ และดูเหมือนพี่เขาก็กำลังจะตอบคำถามอยู่เหมือนกัน
ใช่สิ ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ก็ถามคำถามที่คล้ายกันนี่นา งั้นฉันก็ตอบตามที่พี่โลคาพูดได้นะสิ ดีนะที่พี่เขาพูดเสียงดังพอให้ฉันแอบได้ยินด้วย
“I say what’s the purpose of your visit?” เจ้าหน้าที่ถามฉันอีกรอบเมื่อเห็นว่าฉันเงียบและไม่ตอบอะไร ถ้าฉันเดาไม่ผิดเขาจะต้องถามคำถามเดิมแน่ ๆ เพราะเขาพูดซ้ำคำเดิมกับที่พูดก่อนหน้านี้ ฉันเลยต้องรีบตอบกลับเจ้าหน้าที่ไปเพราะเขาเริ่มมองฉันไม่ดีแล้ว
“Study” ฉันตอบออกไปพร้อมกับยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
“Is this your first time here?” ยังไม่จบอีกเหรอ แล้วมันแปลว่าไรอีกเนี่ย รู้งี้น่าจะตั้งใจเรียนภาษาดีกว่า
“Yes, this is my first time” เป็นเสียงพี่โลคา (อีกแล้ว) ที่พูดเสียงดัง ฉันว่าพี่เขาควรจะต้องไปเช็กหูนะเพราะพี่เขาพูดเสียงดังมากเลย แต่ก็ดีหน่อยเพราะฉันจะได้ลอกคำตอบจากพี่เขาไปเลย
“Yes” ฉันจำได้แค่คำว่า ‘Yes’ นอกนั้นฉันจำไม่ได้ เพราะงั้นก็ตอบแค่นี้น่าจะได้อยู่มั้ง
เย้! และแล้วฉันก็ผ่านด่านตรวจได้อย่างเฉียดฉิว แม้จะมีหลายคำถามมากมายก็เถอะ แต่ดีนะที่คำถามมันดันตรงกับของพี่เขาพอดี ฉันเลยลอกคำพูดพี่เขามาตอบจนผ่าน และมายืนสบายใจได้อยู่แบบนี้เนี่ย
สงสัยต้องไปขอบคุณพี่โลคาสักหน่อยแล้ว อืม...ว่าแต่พี่เขาไปไหนละเนี่ย
“นั่นไง! พี่โลคาคะ” ฉันวิ่งสุดแรงเกิดเพื่อจะไล่ตามพี่เขาให้ทัน ให้ตายสิทำไมพี่เขาถึงได้เดินเร็วขนาดนั้นนะ หรือว่าผิดที่ฉันดันเกิดมาขาสั้นละเนี่ย
“มีอะไร?” พี่เขาหยุดเดินแล้วหันมามองฉันที่กำลังก้มตัวหอบหายใจอยู่
“แฮ่ก ๆ ขะ...ขอบคุณนะคะ” ฉันพยายามปรับการหายใจเข้าออกให้บาลานซ์ที่สุด แต่ก็ยังคงมีเสียงหอบหายใจแทรกเข้าไปอยู่ดี
“เรื่อง?” เออนั่นสิ! แล้วฉันจะบอกพี่เขาไปอย่างไรดี แบบว่าขอบคุณที่พูดเสียงดังให้ฉันลอกคำตอบงั้นเหรอ ไม่ได้สิ ไม่งั้นพี่เขาก็ต้องรู้นะสิว่าฉันโง่อะ เอาไงดีวะ
“เอ่อ...คือว่า ขอบคุณที่ไปส่งหนูที่บ้านเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ” อะไรของแกเนี่ยยัยเน่! แกก็เคยขอบคุณพี่เขาไปแล้วไม่ใช่เหรอโอ๊ย!
“อืม” ว่าจบพี่เขาก็หันหลังเดินออกไป ฉันได้แต่ยืนทำหน้าเศร้ามองพี่เขาที่กำลังเดินออกไปอย่างเสียดาย อุตส่าห์ได้คุยกันแล้วแท้ ๆ
“เฮ้อ ยัยเน่นะยัยเน่!” ฉันยืนคอตกโทษตัวเองที่ดันเผลอไปพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง และพี่เขาก็ดันจบบทสนทนาได้สวยมากจนฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
แต่แล้วฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองที่พี่เขาอีกรอบเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยพูดขึ้น
“ถ้าคุณมีเวลาว่างขนาดที่มาตามผมได้ ผมว่าคุณควรเอาเวลานี้ไปเรียนเพิ่มนะ จะได้ไม่เป็นภาระ” และนั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่พี่เขาพูดออกมา ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกไปจนลับตา
ส่วนฉันนะเหรอ...ได้แต่ยืนนิ่งอ้าปากค้าง เพราะคำพูดของพี่เขาที่มันฟังดูเหมือนว่าจะเป็นคำด่าก็ไม่ใช่ จะเป็นคำแนะนำก็ไม่เชิง เพราะพี่เขาดันพูดว่าฉันด้วยคำว่า ‘ภาระ’ อะไรนั้นออกมาด้วยไง
“ภาระงั้นเหรอ...นี่อย่าบอกนะว่า” ฉันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งอย่างไม่อายใครพร้อมกับบิดตัวไปมา มือทั้งสองข้างจับเข้าที่หน้าร้อน ๆ ของตัวเองอย่างเคอะเขิน เมื่อคิดได้ว่าคำว่าภาระที่พี่โลคาพูดออกมามันหมายความว่าอย่างไร อร้ายยยย
ถึงมันจะดูออกว่าเป็นคำว่าคำด่าก็เถอะ แต่ฉันไม่สนใจหรอก ฉันให้อภัยคุณว่าที่สามีในอนาคตได้ค่ะ ^3^
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ