1
จ๊ะเอ๋ยัยแบน
ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อคืนฉันสามารถขับรถกลับมาบ้านได้อย่างปล่อยภัยไร้รอยขีดข่วน ถึงฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองเมาหนักขนาดไหน แต่ไอ้อาการปวดหัวจวนจะระเบิดแบบนี้ก็คงจะหนักเอาการอยู่แหละ
ฉันลุกขึ้นพยายามพาร่างของตัวเองไปยังห้องน้ำอย่างยากลำบาก หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ดูเหมือนว่าสติของฉันจะเริ่มกลับคืนมา ภาพความทรงจำเมื่อคืนก็ไหลย้อนมาเป็นฉากๆ
ฉันจำได้ว่าหลังจากเรียนเสร็จฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อก่อนจะทะเลาะกันอย่างรุนแรง ฉันที่ในตอนนั้นรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกก็เลยเลือกที่จะหาที่เงียบๆ นั่งคนเดียว
ที่ที่ฉันเลือกนั้นเป็นร้านชิลบาร์ที่พอได้ยินชื่อผ่านหูมาบ้าง จำได้ว่าฉันสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มานั่งจิบอย่างเหม่อลอย รู้แค่ว่าตอนนั้นไม่อยากจะกลับบ้าน จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ฉันเริ่มมึนหัวก็เลยตั้งใจว่าจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาสักหน่อย
แต่ก็นั่นแหละพอเท้าถึงพื้นปุ๊บร่างของฉันก็ร่วงปั๊บ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ตั้งสติลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง เดินเป๋ไปเป๋มาจะล้มแหล่มิล้มแหล่ก่อนจะสะดุดเข้ากับส้นสูงของตัวเอง
“กรี๊ด!!!”
ฉันจำได้แล้ว! ไอ้ลามกนั่น...มัน...ไอ้บ้านั่นมันมาจับหน้าอกฉัน! ฉันฟุบหน้าลงกับหมอน กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ทำผิดแล้วไม่พูดขอโทษสักคำ แถมยังหนีเข้าห้องน้ำชายไปอีก ถ้าฉันไม่เมาอย่าหวังเลยว่าฉันจะทำแค่ชี้หน้ามัน ฮือออ!
เจอกันเมื่อไหร่แม่จับทำอาจารย์ใหญ่แน่!
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“คุณหนูคะ ป้าเข้าไปได้ไหมคะ”
“ค่า” พูดเสร็จร่างป้าสายใจสตรีวัยเกือบหกสิบก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น...”
“คุณท่านให้มาตามคุณหนูค่ะ”
“ไม่ไปค่ะ!”
“โธ่ คุณหนูคะไปเถอะค่ะ คุณท่านเป็นห่วงคุณหนูมากนะคะ” ป้าสายใจพูดเสียงอ่อน แววตาฝ้าฟางนั่นฉายแววขอร้องอยู่ในที
“ก็ได้ค่ะ พิมพ์เห็นแก่ป้าสายใจนะคะ”
ฉันบอกก่อนจะลุกขึ้นไปกอดป้าสายใจแน่นๆ แล้วเดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปยังห้องทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียงกันขึ้นไปเป็นชั้น
ก๊อก!...
“เข้ามา” ไม่ทันที่จะได้เคาะประตูเป็นครั้งที่สอง เสียงเข้มแฝงไปด้วยอำนาจนั่นก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อนราวกับว่ากำลังคอยอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะ” ฉันกล่าวเสียงเรียบยกมือขึ้นไหว้คนเป็นพ่อ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาสีดำหม่น แทนที่จะดูขลังกลับแลดูหดหู่ชะมัด
“เมื่อคืนไปไหนมา”
“ร้านเหล้าค่ะ”
“คนเดียว?”
“ค่ะ”
คุณพ่อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับท่าทีมึนตึงของฉัน ร่างท้วมวัยห้าสิบห้าปีนั่นเดินมาพร้อมกับแฟ้มสีดำก่อนจะวางลงบนโต๊ะแก้วตรงหน้าฉัน
“อะไรคะ” ฉันถามพลางปรายตามองแฟ้มตรงหน้า แม้จะรู้คำตอบอยู่ในใจแล้วก็เถอะ
“คนที่ลูกต้องคบหา”
“ไม่ค่ะ พิมพ์จะไม่ยอมให้คุณพ่อมาบังคับพิมพ์ได้อีกแล้ว” ฉันพูดเสียงแข็ง เงยหน้าสบตาคุณพ่ออย่างไม่เกรงกลัว
“ลูกต้องยอม เพราะพ่อจะไม่ยอมเสียผลประโยชน์เหมือนกับคราวตายูอีกแล้ว”
“ที่พิมพ์ยอมเรื่องของยูเพราะพิมพ์ชอบเขาจริงๆ พิมพ์พยายามรั้งเขาไว้ทุกอย่างแล้วแต่...” ฉันเว้นวรรคกลืนคำสะอึกลงคอ “แต่ในเมื่อผู้ชายเขาไม่ยอมพิมพ์ก็ต้องปล่อย”
“พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่ครั้งนี้พ่อขอได้ไหม” คุณพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ไม่ค่ะ!”
“พิมพ์!”
“ถ้าคุณพ่อยังดื้อดึงพิมพ์จะย้ายไปอยู่ข้างนอก!” ฉันว่าเสียงท้าทาย และแน่นอนว่ามันไม่ใช่คำขู่ของหญิงสาววัยยี่สิบสองที่พ่อไม่รักเท่านั้น เพราะฉันจะทำมันจริงๆ
“ยังไงลูกก็ต้องไปดูตัว!” คุณพ่อพูดเสียงเข้มกว่าตอบกลับมา
“คุณพ่อดื้อเองนะคะ” ฉันว่าทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณพ่อด้วยอารมณ์ที่โกรธขึ้งปนน้อยใจ
พอกันที!
ฉันเก็บเสื้อผ้าลากกระเป๋าลงบันไดอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงห้ามปรามของป้าสายใจ ฉันก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอกนะแต่ฉันทนมามากพอแล้ว มากเสียจนถ้าต้องอยู่บ้านนี้อีกคืนฉันต้องกลั้นใจตายแน่ๆ
“คุณหนูอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”
“ให้พิมพ์ไปเถอะนะคะ พิมพ์ยอมให้คุณพ่อเข้ามาบงการชีวิตพิมพ์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้วค่ะ ขนาดคนที่จะอยู่กับพิมพ์ไปจนตายพิมพ์ยังเลือกเองไม่ได้เลย”
ฉันว่าอย่างอัดอั้นรู้สึกว่าน้ำตามันจะไหลออกมาเสียให้ได้ ป้าสายใจเป็นแม่นมของฉันเป็นคนเลี้ยงดูฉันมา เป็นคนที่ให้ความรักความเอาใจใส่มากกว่าพ่อแม่แท้ๆ ของฉันเสียอีก
“คุณหนูครับ!”
การ์ดราวห้าคนเดินเข้ามาล้อมฉันไว้ทันทีที่ฉันกำลังจะก้าวออกจากบ้าน คนพวกนี้คงได้รับคำสั่งมาจากคุณพ่อสินะ คิดจะห้ามด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ!
“ถ้าเข้ามาแล้วทำให้ฉันมีรอยขีดข่วน คุณพ่อเอาพวกนายตายแน่” ฉันขู่ฟ่อทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าฉันจะมีค่าพอให้คุณพ่อทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า
ส้นสูงของฉันเดินไปทีละก้าวขณะที่มีพวกการ์ดล้อมตัวอยู่ไม่ห่างแต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาประชิดตัว ฉันใช้โอกาสที่พวกการ์ดกำลังมองหน้ากันเลิ่กลั่กรีบวิ่งฝ่าวงล้อมเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยได้จนมาถึงรถมินิคูเปอร์ของฉันที่จอดรออยู่
“จับตัวคุณหนูเอาไว้” เสียงกัมปนาทดังขึ้นมาจากคนเป็นพ่อที่กำลังตะโกนสั่งการ์ด
ด้วยวินาทีฉุกเฉินฉันรีบถอดส้นสูงก่อนจะเขวี้ยงใส่การ์ดคนหนึ่งที่ทำทีจะพุ่งเข้ามาและเป็นโชคดีเป็นอย่างมากที่มันดันแสกกลางปักเข้าหน้าไปเต็มๆ
ฉันรีบโยนกระเป๋าใส่รถก่อนจะถอดส้นสูงอีกข้างขว้างตามเข้าไปติดๆ คราวนี้ฉันไม่มีเวลามาดูผลงานตัวเองรีบแทรกตัวเข้าไปในรถประจำที่คนขับแล้วออกตัวทันที ยังดีที่ฉันมีรีโมตคอนโทรลประตูทำให้ฉันไม่ต้องพึ่งลุงยามที่กำลังเข้ามาขัดขวางตอนนี้
“ระวังตัวด้วยสิคะ เดี๋ยวก็โดนรถชนเอาหรอกค่ะ” ฉันเลื่อนกระจกลงแล้วชะโงกหน้าหันไปพูดกับลุงยามที่นั่งลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างเหนื่อยหอบด้วยรอยยิ้มร่า
อ่า...ในที่สุดฉันก็ออกจากบ้านมาจนได้
ฉันนั่งฮัมเพลงโยกตัวไปมาท่ามกลางถนนที่มีรถราแน่นขนัด แต่ฉันกลับไม่รำคาญเหมือนทุกทีอีกแล้วเพราะอิสระกำลังรอฉันอยู่ข้างหน้านั่นไง
เกือบสองชั่วโมงต่อมารถของฉันก็เข้าจอดที่ลานจอดรถของคอนโดแห่งหนึ่งย่านมหาวิทยาลัย ไม่มีใครมีคีย์การ์ดห้องของฉันนอกจากตัวฉันเอง และนั่นหมายถึงคุณพ่อจะส่งใครมาบุกลักพาตัวฉันกลับไปบ้านไม่ได้แน่นอน อย่างน้อยก็ช่วงเดือนถึงสองเดือนนี้อะนะ
ฉันก้าวลงจากรถก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าคอนโดไปแล้วรีบเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าลิฟต์กำลังเปิดพอดีตามด้วยร่างของชายตัวสูงคนหนึ่งที่เดินเข้าไป
“รอด้วยค่ะ” ฉันบอกเสียงเกือบตะโกน
ประตูลิฟต์เปิดรออยู่ในขณะที่ฉันยังก้าวเท้าเร็วๆ ตามไปก่อนจะชะงักเมื่อผู้ชายที่ฉันเจอดันเป็นคนเดียวกันกับที่จับหน้าอกฉัน
“ไอ้บ้าลามก” ฉันชี้หน้าด่าเขาอีกครั้งพลางก้าวถอยหลังออกจากตัวลิฟต์ไปด้วย
หมอนี่หรี่ตามองฉันเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มยียวน สายตาของเขาละจากหน้าฉันแล้วลากต่ำไปเรื่อยๆ “อ๋อ! นึกว่าใครที่แท้ก็คุณนมแบนนั่นเอง”
“ไอ้...ไอ้...” ฉันเอ่ยปากสั่น เอามือไขว้กันวางบนไหล่อย่างปกปิดพื้นที่ส่วนตัวให้พ้นจากสายตาไอ้บ้าตรงหน้าที่ตอนนี้ยังจ้องหน้าอกฉันไม่เลิก
“โอ๊ยนี่คุณ ผมให้เวลาคุณไปคิดคำด่ามาว่าผมมาตั้งคืนนึง นี่ยังคิดไม่ออก? กากว่ะ!”
กากงั้นเหรอ!
ไอ้บ้านี่มันด่าฉันว่าเป็นเศษเหลือเดนที่ไม่มีความดีงั้นเหรอ! ที่ฉันด่าเขาไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาครอบคลุมนิสัยแย่ๆ ของเขาต่างหากล่ะ
“ไอ้บ้า!”
“อุปส์ วะฮ่าๆๆๆ” ทันทีที่ฉันด่าออกไปนายนี่ก็ปิดปากอย่างกลั้นขำก่อนจะทนไม่ได้โพล่งหัวเราะขึ้นมาพลางมองหน้าฉันอย่างกับเป็นตัวตลก
“หัวเราะบ้าอะไร!”
“ก็หัวเราะคุณนะสิ นี่คุณรู้ไหม ว่าเพื่อนผมด่าผมว่าไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์นรก ไอ้เนรคุณ ก็ยังไม่สะเทือนถึงรูขุมขนผมเลย แล้วนี่คุณด่าผมว่าบ้า? โคตรจี้เลยว่ะแม่ง”
= [] =!
ติ๊ดดดดด
“ลิฟต์ร้องแล้วอะคุณ คุณไปขึ้นตัวอื่นได้ไหม บอกตามตรงผมนะไม่อยากขึ้นลิฟต์กับคุณเลย ไปนะ” นายนั่นพูดคนเดียวอย่างไม่ฟังฉันสักนิด
“ฉันก็ไม่อยากขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับนายเหมือนกัน!”
ฉันว่าเสียงขุ่น ทว่าก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงนายนั่นก็มองฉันด้วยสายตาวิบวับแล้วยิ้มโชว์ฟันแถมยังยกมือขึ้นโบกมือลาฉันด้วยท่าทางกวนโอ๊ยที่สุด
“บ๊ายยยย~~อ้อ! เดี๋ยวนี้เขาฮิตไม่ใส่รองเท้ากันแล้วเหรอคุณ ฮ่าๆๆ”
ฉันเข้าห้องของตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังค้างคาอยู่หลังจากเจอกับหมอนั่น ไอ้ผู้ชายบ้ากาม! ฉันก้าวเท้าฉับๆ ไปทางห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่มดับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จะว่าไปนายนั่นเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะที่ฉันด่าไป
ปกติฉันเคยด่าใครที่ไหนล่ะ
หลังจากที่อารมณ์ตัวเองเริ่มคงที่ ฉันเลยเช็กของภายในห้องว่ายังขาดเหลืออะไรบ้าง ยังดีที่ฉันไม่ใช่คนมีเวลาไปช็อปปิงตามประสาผู้หญิงมากนัก เงินในบัญชีที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่โอนเข้ามาให้ทุกเดือนเลยยังพอเหลือจ่ายประทังชีวิตช่วงนี้ไปได้สักระยะหนึ่ง
ตึง! ตึง! ตึง!
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อย่างเท้าเข้ามาห้องนอนแล้วได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากผนังอีกด้าน ฉันย่นคิ้ว ปกติคอนโดนี้มันเป็นห้องเก็บเสียงไม่ใช่เหรอแล้วทำไมถึงยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาได้ล่ะ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะห้องอยู่ติดกัน ฉันพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะสำรวจของที่ขาดต่อไป
ถ้าไม่ติดว่าผ่านไปสิบนาทีแล้วเสียงนั้นยังดังไม่หยุด
ฉันวางสมุดโน้ตลงบนโต๊ะก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องเพื่อไปเจอกับเจ้าของห้อง อย่างน้อยก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องเพราะบางเวลาฉันก็ต้องใช้สมาธิในการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก
กริ๊ง~~
ฉันกดกริ่งที่หน้าห้อง รออยู่สักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้ ฉันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน แต่สภาพเธอนั้นไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันอยู่แค่ผืนเดียวเท่านั้น ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงราวกับไปออกรบมา
อย่าบอกนะว่าเสียงนั่น...โอ๊ย! ทำไมถึงนึกไม่ออกตั้งแต่ทีแรก
“พี่วางคีย์การ์ดคืนไว้บนโต๊ะนะ” ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรออกไปก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นขัดเสียก่อน ตามมาด้วยร่างของเจ้าของเสียงที่อยู่ในเสื้อผ้าครบถ้วนแต่กระเซอะกระเซิงไม่แพ้กัน
ไอ้บ้าลามกนั่น!!!