บทที่สาม “ฝืน”
ใต้ต้นจูนเบอร์รีความสูงราว 10 ฟุตที่บ้านคุณนายวีเนอร์เพื่อนบ้านของริค ริคยืนเท้าสะเอวอยู่กับคุณนายเจ้าของบ้าน ทั้งคู่มองขึ้นไปบนต้นไม้
“ปกติพวกลูกสัตว์พลัดหลงก็คงแบบนี้ล่ะมั้งครับ” ริคหันกลับมาพูดกับคุณนาย
“เธอไม่ได้ยินเลยเหรอเมื่อคืนนี้น่ะ มันร้องทั้งคืน เสียงแหลมอย่างกับค้างคาวผี” เธอแหงนหน้าพูดกับริค เขาก้มมองหน้าเธออย่างให้กำลังใจ
“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้นหรอก” เธอพ้อ
“เอ่อ แบบไหนเหรอครับ” ริคไม่รู้จริงๆ
“เหมือนสงสารน่ะ ฉันยังอยู่สบายๆ ได้อีกหลายปีกว่าจะเริ่มเลอะเลือน นี่สติฉันครบถ้วนดีอยู่นะ แต่เสียงมันน่ากลัวจริงๆ” คุณนายวีเนอร์เล่าถึงเสียงลูกค้างคาวบนต้นไม้บ้านเธอ มันส่งเสียงร้องทั้งคืน
“ผมไม่ได้สงสารครับ แต่เห็นใจและเข้าใจด้วย ผมคงหลับสนิทหรือห้องนอนผมคงอยู่ไกลไปหน่อยเลยไม่ได้ยินอะไรเลย เอางี้ ผมว่ามันคงลงมาเองไม่ได้ เราโทรเรียกเจ้าหน้าที่แล้วกัน เดี๋ยวผมอยู่ช่วยจนเสร็จเรื่องเลย ดีไหมครับ” ริคบอกกับเธออย่างจริงใจ เขาอยากช่วยเธอจริงๆ คุณนายวีเนอร์เป็นคนแก่ตัวเล็กนิดเดียว มองดูเหมือนตุ๊กตาเหี่ยวๆ ที่เขียนหน้าทาปาก ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อจริงหรือชื่อเล่น มีแต่จะเรียกว่าคุณนายวีเนอร์ ซึ่งเขาก็แอบขำในใจอยู่บ่อยๆ เพราะนามสกุลเธอมันทำให้นึกถึงไส้กรอกเยอรมันทุกทีไป
“ก็ดี เธอโทรให้ฉันหน่อยนะ เดี๋ยวฉันไปเตรียมน้ำผลไม้ให้ ให้ทั้งเธอและเจ้าหน้าที่ที่จะมาด้วย”
“ครับ ขอบคุณนะครับ” ริคล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง คุณนายหันกลับมาหาเขาหลังออกเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว
“เธอเป็นเบาหวานรึเปล่า” เธอถามริคแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ยังไงนะครับ”
“เธอเป็นเบาหวานรึเปล่า” เธอย้ำคำถามเดิม
“เปล่านี่ครับ” เขาทำหน้างงๆ
“แน่นะ”
“ก็น่าจะแน่นะครับ”
“ดี ฉันจะได้ใส่น้ำเชื่อมในน้ำมะนาวให้ ฉันว่าน้ำเชื่อมเดิมๆ น่ะ รสชาติดีกว่าไอ้หญ้าหวานรักสุขภาพอะไรนั่นเป็นไหนๆ ถึงเขาจะพูดกันว่ารสชาติดีก็เถอะ แต่อยากถามดูก่อน เดี๋ยวเธอด่าฉันในใจ”
ริคหัวเราะคิกๆ เบาๆ คุณนายหันหลังเดินไปแล้ว ดูเธอเข้าสิ แบบนี้จะไม่ให้เขารักได้หรือ
เขาเงยหน้ากลับไปมองบนต้นไม้เจ้าปัญหาที่ลูกค้างคาวเจ้ากรรมดันไปติดอยู่ มันคงร่วงจากตัวแม่หรือแม่ค้างคาวตกใจอะไรจนบินหนีไปแล้วไม่ได้กลับมา มาอยู่ตรงนี้ได้ไงกันนะไอ้หนูน้อยเอ้ย เขาคิดในใจ ห่างไปไม่กี่ก้าว ถนนหน้าบ้านของริคเงียบสงบ ละแวกนี้น่าอยู่และสวยงามไม่แพ้บ้านซูเลย เช้าวันอาทิตย์อย่างนี้ซูจะทำอะไรอยู่นะ เขายังไม่กล้าโทรหาเธอ อยากให้เธอได้นอนตื่นสายๆ เดี๋ยวอีกสักครู่ พอเสร็จธุระเรื่องลูกค้างคาวแล้วค่อยลองส่งข้อความไปทักทายดู เขายังกลัวเธอจะอึดอัด กลัวเธอจะรำคาญเขา แม้คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งคู่จะขยับสถานะสำคัญมาอีกขั้นแล้วก็ตาม แซมจะรู้เรื่องรึยังน้อ เขาสงสัยในใจ ใบหน้าของเขายังเปื้อนยิ้มอยู่ตลอด ดวงตาปรี่เยิ้มละมุนจากจิตใจที่ชุ่มฉ่ำหลังจากที่ซูรับรักจากเขา
เขาโทรติดต่อเจ้าหน้าที่เรียบร้อย คุณนายวีเนอร์เข้าบ้านไปสักพักแล้ว เขามองเห็นเธอจากหน้าต่าง เธอก้มๆ เงยๆ อย่างงุ่มง่ามแต่ก็น่ารักในแบบหญิงชราใจดีที่เขาคุ้นเคยมาตลอด 4-5 ปีมานี้ ริคไม่เคยรู้สึกรำคาญเลยแม้แต่ครั้งเดียวเวลาที่เธอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเขา คำถามเดิมๆ ที่ทำให้เขารู้สึกมีคนห่วงใย แววตาเปี่ยมประสบการณ์แต่กลับอ่อนใสบริสุทธิ์ของเธอทำให้เขาอบอุ่นเหมือนได้อยู่กับครอบครัว ริคไม่รู้ตัวเลยว่าแท้จริงแล้ว เขาเหงามากขนาดไหน
ช่วงเช้าวันอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว ซูยังเงียบไป ไม่ติดต่อมาเลย ทางกู้ภัยส่งเจ้าหน้าที่มาสองคน เขาอดขำในใจไม่ได้ว่าลูกค้างคาวตัวเล็กๆ ตัวเดียวต้องใช้คนถึงสองคนในการช่วยเหลือ นับเขาด้วยก็สาม นับคุณนายวีเนอร์ด้วยก็สี่ ตั้งสี่คนแน่ะ หนึ่งในสองเจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้ด้ามโลหะที่ดูเหมือนอุปกรณ์เฉพาะกิจ ยืดมันออกแล้วล็อคดังแกร๊ก ประกอบกันแล้วส่งด้ามโลหะที่ผูกปลายไว้กับถุงตาข่ายขึ้นไปค่อยๆ ดันตัวมันให้ร่วงลงถุงมาอย่างนุ่มนวล เขาก็ผ่านโลกมาใช่จะน้อย แต่ก็ไม่เคยพบเห็นการกู้ภัยช่วยเหลือสัตว์แบบนี้เลย ลูกค้างคาวจะถูกนำส่งคลินิกสัตว์เพื่อประเมินอาการก่อนส่งไปศูนย์พักเพื่อดูแลจนกว่ามันจะโตพอให้อยู่รอดได้ด้วยตัวเอง แล้วจึงนำไปปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ โอ้โฮ เขาไม่รู้ถึงขั้นตอนพวกนี้เลยจริงๆ เมื่อเจ้าหน้าที่เสร็จธุระทุกคนก็กล่าวขอบคุณ ร่ำลาแล้วแยกย้ายกันไป คุณนายวีเนอร์ขอให้เขาช่วยเอาแก้วมาคืนวันหลัง เขารับคำอย่างยินดีแล้วถือแก้วน้ำมะนาวเดินกลับเข้ามาบ้าน ค่อยๆ จิบทีละนิดเหมือนบรั่นดี เปิดทีวีดูไปเพลินๆ นี่ก็ผ่านไป 3-4 ชั่วโมงแล้ว ริคยังไม่ส่งเสียงหาซู เขาไม่กล้า ซูก็ยังไม่โทรหาเขา ริคไม่รู้หรอกว่าเธอจะกำลังคิดถึงเขาอยู่เหมือนกันรึเปล่า
เขาวางแก้วน้ำมะนาวลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาชุดสีเขียวไข่กา รับกันดีกับพื้นไม้ปาร์เกสีน้ำตาลไหม้ มีพรมผืนกลางๆ ปูอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น เขามองดูแล้วรู้สึกขัดตา ทำไมก่อนนี้มันไม่เคยมีปัญหาเลยนะ พรมชายรุ่ยสีกรมท่า โซฟาเขียว อืมม์ ทำไปได้ ริคขยับโต๊ะเพื่อเอาพรมออกเลยทันที ไม่ต้องรอรีอะไร ไหนๆ วันนี้ก็ว่างขนาดไปยืนฟังป้าข้างบ้านบ่นอุบเรื่องลูกค้างคาว แถมยังไปยืนดูเจ้าหน้าที่ช่วยมันลงจากต้นไม้ได้ตั้งนานแล้วนี่นะ
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”