น้ำอุ่นๆ ที่ไหลซ่านผ่านผิวเนื้อเปลือยเปล่าของแซมไม่ได้ช่วยให้เธอผ่อนคลายลงเลย ใจเธอกลับเต้นแรง เลือดสูบฉีดจากกลางอกไปทั่วร่างจนร้อนผ่าว เธอเงยหน้าขึ้นสู้สายน้ำจากใต้ฝักบัว ใช้สองมือลูบจากปลายคางไล่ขึ้นไปเรื่อยจนถึงหน้าผาก แล้วเสยผมไปด้านหลังอย่างที่เธอชอบทำบ่อยๆ ซูเคยทักว่าแซมเสยผมเหมือนผู้ชาย แซมแค่ยักไหล่กลับไปเฉยๆ เธอคิดถึงซูขึ้นมาอีกทั้งที่พยายามลืมและหาอะไรทำแล้ว ก่อนกลับมาจากบ้านซู แซมกดโทรศัพท์ส่งข้อความบอกซูว่าเวียนหัวไม่สบาย ทั้งที่ตอนนั้นแซมเองก็ยังยืนดูซูกับริคอยู่ไม่ไกลจากนอกหน้าต่าง ขอบวงกบของมันทำมุมพอดีเป็นกรอบให้ฉากในห้องรับแขกที่ซูกำลังสนทนากับใครต่อใคร แม้แต่แซมเองก็ยังรู้สึกไม่ต่างจากริคว่า ซูมีเสน่ห์เหลือเกินเวลาที่เธอขยับปากพูด แซมยืนมองเธออยู่อย่างลืมตัว อีกมุมหนึ่งมีริคยืนพิงกำแพง สายตาไม่ละจากเพื่อนสาวของเธอเลย แซมเสียววาบที่ใจขึ้นมาอีก ทำไมอาการนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย เธอมือเย็น ใจสั่น เธอกลัวอะไร เธอเป็นโรคอะไรที่ยังไม่มีการบัญญัติขึ้นหรือเปล่า
แซมสูดหายใจเข้าลึกสุดขั้วปอด ใช้มือยันกำแพงตรงหน้าในตำแหน่งพอดีกับช่วงไหล่ ก้มหน้าลงมองพื้น ในหัวสมองตอนนี้มีแต่ภาพของซูใกล้ชิดสนิทสนมกับริค น้ำจากฝักบัวยังรดรินลงบนผิวเนียนๆ ช่วงท้ายทอย ก่อนไหลลงตามส่วนต่างๆ ของแซม ซูหัวเราะคิกคัก ริคทำหน้าขวยเขินมองเผินๆ เหมือนพวกโง่ จะว่าไม่ชอบหน้าริคก็ไม่ใช่ เขาเป็นผู้ชายในสเป็คของสาวๆ หลายคนเลยก็ว่าได้ แซมก็ยังเห็นด้วยว่าเขาหล่อเหลามีเสน่ห์ เธอเองก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักริค หลังๆ มานี้ซูเอาแต่พูดถึงเขา แซมไม่เคยได้เล่าเรื่องของตัวเองบ้างเลย เธอลูบหน้าท้องตัวเองไปมาเหมือนจะปลอบโยนตัวเอง ยิ่งคิดถึงพวกเขาทั้งคู่ แซมยิ่งใจเต้นระรัว เสียงหายใจของเธอเริ่มดังขึ้นจนแซมเองยังได้ยินเสียงสูดลมเข้าออกของตัวเอง ใบหน้าของเธอแดงฉาน ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่กระจายจนถึงใบหู ภาพของซูแต่ละวันที่เธอทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันทั้งสุขเศร้า สลับไปมากับริคที่เข้ามาแทนที่อย่างสับสน แซมเคลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำ แนบปลายนิ้วกลางข้อสุดท้ายขนานไปกับจุดสำคัญตรงกลางระหว่างกลีบเนื้อสีชมพูเข้มอ่อนนุ่มแล้วเริ่มคลึงวนเบาๆ ตอนนี้ส่วนนั้นของเธอแข็งตัวสู้ปลายนิ้วขึ้นมา ยอดถันบนเนินอกชูชันเต็มที่อยู่กลางลานยอดที่หดตัวคล้ายต้องการจะโอบกอดจุดกึ่งกลางเอาไว้ แซมหลับตาพริ้มแน่น คิ้วขมวดด้วยอารมณ์ใคร่พุ่งพล่าน เธอเลียริมฝีปากขณะนึกภาพริมฝีปากของซู มืออีกข้างนวดเค้นหน้าอกขณะนึกภาพริคใช้มือจับแขนตัวเองตอนยืนมองไปที่เพื่อนสาวคนเดียวกัน ความสับสนของเย็นวันนี้ทำให้ช่วงเวลานี้สั้นลงกว่าที่เคย แต่ก็หฤหรรษ์กว่าที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
แซมหยิบผ้าขนหนูผืนสีดำล้วนจากราวมาซับหยดน้ำตามลำตัว ใยผ้านุ่มทอละเอียดไม่ระคายผิวกายแม้แต่น้อย เธอยืนมองเงาของตัวเองในกระจก ใบหน้าและรูปร่างอ้อนแอ้นเช่นเธอ จะวางบุคลิกตัวเองให้อ่อนหวานไว้ก็เข้ากับรูปพรรณได้ไม่ขัดตา แต่ผืนผ้าขนหนูดำสนิทเนื้อผ้าทอแน่นราวกำมะหยี่ เมื่อโอบรอบไหล่ผายผึ่งได้ส่วนของผู้หญิงร่างสูงผมสั้น ดวงตาโฉบเฉี่ยว มันเหมือนผ้าคลุมไหล่ของราชินียุคโบราณจากแคว้นใดสักแห่งหนึ่ง แซมเหมาะจะเป็นนางพญาหรือราชินีที่สุดแล้ว ในตอนนี้ แม้ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย แต่แววตาของแซมยังดูเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แซมทิ้งผ้าขนหนูกองกับพื้นแล้วก้าวขาออกมาอย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ในฉากหวิวจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง แต่ท่วงท่าสารพันอันแลดูชวนมองของแซม มันสวยศิลป์ในอีกแบบ แบบที่เธอไม่ต้องพยายาม แต่ก็เป็นตัวเอกในทุกเรื่องได้แล้ว
แซมนั่งลงบนเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนโดยที่ขาพ้นจากขอบเตียงตั้งแต่เข่าลงมา วันทั้งวันมาจนถึงค่ำคืนนี้ช่างเงียบงันหัวใจเหลือเกิน เธอไม่เคยเหงาอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้หัวสมองของแซมคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอไม่อยากไปไหนหรือทำอะไรอีก เสียงเครื่องทำความร้อนในห้องดังหึ่งๆ เบาๆ เป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นคลอกับเสียงถอนหายใจเป็นระยะของแซม วันพรุ่งนี้เธอก็ต้องพบเจอผู้คนอีกครั้ง ต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติทั้งที่เป็นวันเสาร์ งานของแซมไม่เลือกวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอเป็นนางแบบอิสระ อาจไม่โด่งดังเป็นที่รู้จักเท่าบรรดานางแบบเสื้อผ้าที่นวยนาดบนแคทวอล์ค แต่ช่างภาพมากมายมองแซมเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพถ่ายของพวกเขา นอกจากฝีมือหรืออุปกรณ์แล้ว นางแบบคือผู้สื่ออารมณ์มหาศาลโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา อย่าว่าแต่ช่างภาพเลย คนธรรมดาทั่วไปก็มองแซมเป็นสิ่งสวยงามทั้งสิ้น ทุกที่ที่แซมไป ไม่มีที่ไหนที่ผู้คนจะไม่เหลียวมอง
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”