เวลาผ่านไปครึ่งค่อนคืนแล้ว แซมก็ยังไม่หลุดพ้นจากคำถามที่เฝ้าถามตัวเองมาได้สักพักใหญ่ เธอเป็นอะไรไป อาการคล้ายโรคแพนิกเกิดขึ้นกับแซมมาหลายครั้งแต่แซมยังไม่เคยบอกกับใครแม้แต่ซู มันน่าแปลกตรงที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อซูพูดถึงริคในครั้งหลังๆ มานี้ และที่เธอประหลาดใจที่สุดคือเรื่องเมื่อครู่ที่ใต้ฝักบัว อะไรกันแน่ที่ปลุกเร้าแซม เธอรู้แต่เพียงว่า มันทั้งสุข ทั้งรื่นรมย์ ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดลึกๆ ในใจ แซมพลิกขึ้นมานอนบนเตียงเต็มตัว สอดขาเข้าไปใต้ผ้าห่มนวมสีดำผืนโปรด นึกแล้วก็น่าตลก แทบทุกอย่างในห้องนี้เป็นสีดำ ช่างให้อามรณ์ลึกลับดีเหลือเกินในยามเธอหลงอยู่ในวังวนความคิดและความรู้สึกของชั่วโมงนี้ แซมหลับไปไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายยังคงเปลือยเปล่า มีเพียงความฟุ้งซ่านที่ปลอบโยนเธออย่างเดียวดายไปตลอดคืน
“เฮ้เฮ อิทส์ ไทม์ ทู เวค อัพ นาว” เสียงเพลงจากนาฬิกาปลุกดิจิตอลเรือนสี่เหลี่ยมบนโต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้นวนลูปไปเรื่อยๆ แซมยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะตื่น เธอบิดตัวคว้าเอาหมอนหนุนศีรษะอีกใบขึ้นปิดหน้า แต่ก็ปล่อยให้เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่อย่างนั้น แซมขออนุญาตตัวเองงีบต่ออีกหน่อย ความรู้สึกเหมือนได้หลับต่ออีกนิด แต่จะหลับไม่สนิทเพราะเสียงนาฬิกานั่น แซมจึงไม่เคยตื่นสายแม้คืนก่อนหน้าจะปาร์ตี้หนักปานใด เช้านี้เธอมีนัดถ่ายแบบให้แคลร์ มาร์ติน ช่างภาพอาร์ตลูกผู้ดีมีอันจะกินจากแซนตาบาร์บารา เธอเรียกแซมมาเป็นแบบให้อยู่บ่อยๆ ในยามว่างจากงานบริหารธุรกิจที่พักซึ่งก็มั่นคงมากอยู่แล้ว
เสียงกริ่งหน้าอพาร์ทเมนต์ของแซมดังขึ้น ใครกันมาหาแต่เช้า นี่ยังไม่เจ็ดโมงเลยด้วยซ้ำ แซมหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็กังวลมากกว่าว่าอาจเป็นใครนำข่าวร้ายอะไรมาแจ้งถึงต้องมาแต่เช้าอย่างนี้ เธอขยับตัวลงจากเตียงอย่างอ่อนล้า ช่วงนี้มันหนักหนาเหน็ดเหนื่อยอะไรก็ไม่รู้ งานก็หนักเบาเท่าๆ เดิม การเดินทางก็ไม่เคยเป็นปัญหา เพราะแซมพาเจ้ากาแลนท์คันเหลืองไปได้ทุกที่ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมทางที่บางครั้งก็หักหลังเธอกลางถนน แม้จะเอาไปตรวจเช็คเป็นประจำแล้วก็ยังไม่วาย ซูก็เคยเตือนแซมอยู่ว่า “เล่นรถเก่า จะเอาแต่เท่ห์ไม่ได้นะ ระวังเสียกลางทางด้วย ถึงจะไม่เก่าบุโรทั่ง แต่มันก็ไม่ใช่รถใหม่นะ” เสียงของซูลอยแทรกเข้ามาในความคิดเรื่อยเปื่อยของแซม ขับรถเก่าถ้าไม่เท่ห์แล้วจะขับทำไม ซูนี่ไม่เข้าใจ แซมยิ้มแล้วส่ายหน้า
แซมหยิบเสื้อคลุมสีดำคาดแถบสีเหลืองทองที่แขวนอยู่บนราวข้างตู้เสื้อผ้าขึ้นมาสวมพลางเดินไปที่ประตู มือจับสาบเสื้อซ้ายขวาให้ปกคลุมร่างกายมิดชิด เธออยากจะหาที่อยู่ใหม่เสียเหลือเกิน นี่ใครอยากจะมา ก็เล่นรุกกันถึงหน้าประตูห้อง รายได้เธอก็พอตัวอยู่ ซื้อความเป็นส่วนตัวกว่านี้หน่อยคงจะไม่ยาก ผ่านช่องตาแมว แซมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่ แซมไม่รีรอที่จะเปิดประตูถาม
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ” แซมถามหล่อน
“ซาแมนธา ธีโอรึเปล่าคะ” เธอถามกลับอย่างเด็ดขาดฉาดฉาน
“ใช่” แซมยังจัดชุดคลุมพยายามให้โอบรอบตัวอย่างมิดชิดที่สุด เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ชุดเหมาะจะใส่รับแขก แต่ก็ช่วยไม่ได้ แขกที่ไม่ได้นัดแต่จู่ๆ โผล่มาเลยก็ใช่ว่าจะมีมารยาทอะไรมากมาย พูดจาก็ไม่น่าฟัง แซมไม่ชอบหน้ายัยนี่เสียแล้วหลังจากพบกันได้แค่ไม่ถึงนาที
“ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณแคลร์ค่ะ เธอให้ฉันมารับ”
“มารับเหรอ” แซมเลิกคิ้ว ทำสีหน้าแสดงความสงสัย
“ใช่ค่ะ พร้อมหรือยังคะ”
“ยัง” แซมตอบปฏิเสธ แหงนหน้าเชิดศีรษะ ตั้งใจกวนอีกฝ่าย ผู้หญิงบ้าอะไร จองหอง แนะนำตัวเองเป็นผู้ช่วยของแคลร์ แล้วตัวเองน่ะไม่มีชื่อหรือไง บ้องตื้น มารยาทแย่ ยังจะวางมาดเหมือนสูงส่งมาจากไหน
“คงต้องรอแล้วล่ะ ฉันยังไม่แต่งตัวเลย ข้างในมีโซฟารับแขก แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาเลยไม่ได้จัดที่ทางไว้ คุณจะดื่มอะไรก่อนไหมล่ะ” แซมถามไปตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้ เพราะในตู้เย็นก็มีแค่น้ำเปล่า
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันรอในรถ จอดอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์นี่เอง” แซมพยักหน้าบอกเธอว่าเข้าใจแล้วปิดประตูอพาร์ทเมนต์โดยพยายามทำทุกอย่างโดยเบามือทั้งที่อยากจะปึงปังใส่แบบสุดๆ แซมกลับมาที่หัวเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาแคลร์เป็นอย่างแรก สายโทรติดดังยังไม่ทันขาดช่วง แคลร์ก็รับสายแล้ว
“ฮัลโหล ไงจ๊ะ เอียนไปถึงรึยัง ฉันตั้งใจส่งเขาไปเซอร์ไพรส์เลยนะ คุณจะได้ไม่ต้องขับรถมา” แคลร์รับสายแซมด้วยประโยคที่ยาวมาก
“เอียน? ผู้ช่วยคุณไม่ใช่ผู้หญิงหรอกเหรอ” แซมสับสนเล็กน้อย
“อ๋อใช่ โทษทีๆ ตอนนี้เขาชื่อแอนนาแล้วล่ะ ฉันลืมเอง แต่คุณเข้าใจถูกนะ เขาไม่ใช่ผู้หญิง แค่เหมือนมากๆ เท่านั้นเอง” แคลร์ตอบ แซมกลอกตา เลิกคิ้ว
“ตกลงหล่อนชื่อแอนนาใช่ไหม ฉันจะได้เรียกถูก นี่รู้แค่ว่าเป็นผู้ช่วยคุณเท่านั้นเองนะ ก็ว่าใครมากดกริ่งแต่เช้า มาหากันแบบไม่ทันตั้งตัวเลย” แซมแอบหวังให้แคลร์รู้หน่อยๆ ว่าเธอไม่สะดวกเท่าไรที่ให้ผู้ช่วยบุ่มบ่ามมา
“ใช่ๆ เธอชื่อแอนนา เพิ่งชื่อนี้หมาดๆ เลย” แคลร์หัวเราะเสียงดังลั่น “นี่ฉันก็พยายามไม่เผลอเรียกเขาว่าเอียนนะ ต้องพยายามหนักมาก” แล้วแคลร์ก็หัวเราะต่ออีก แซมถอนหายใจ เม้มริมฝีปาก
“เอาเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันรีบเตรียมตัวก่อนนะ ไปถึงจะได้ทำงานกัน” แซมเดินเข้ามาด้านในของตัวอพาร์ทเมนต์ระหว่างพูดสาย ใช้อีกมือหยิบข้าวของที่จะพกติดตัวโยนลงกระเป๋าสะพายไปด้วย
“ไม่ต้องรีบหรอก ฉันก็รออยู่บ้านพักนี่ล่ะ สบายๆ ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว เข้าเว็บดูของแต่งบ้านเพิ่มไปเรื่อย ไม่ได้มาตั้งนาน มาเห็นอีกทีเหมือนมันยังขาดอะไรไป”
“โอเคค่ะ แต่ไม่รีบไม่ได้หรอก ฉันกลัวผู้ช่วยคุณจะตบเอา เธอรอหลายนาทีแล้ว” แซมเดินย้อนมาแง้มม่านหน้าต่างแอบดูท่าทีแอนนา ตามคาด แอนนาไม่ได้นั่งในรถ แต่ยืนตบเท้ารอให้รู้ว่ารออยู่นะยะ แซมส่ายหน้าแต่ก็อมยิ้มน้อยๆ
“เจอกันนะคะ”
“โอเคค่ะ เจอกัน”
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”