ทั้งคู่วางสายไป แซมล้างหน้าล้างตาแล้วหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวมอย่างคล่องแคล่ว ด้วยวัย 27 ปี สัดส่วนกล้ามเนื้อวัยสาวของเธอยังพอเหมาะพอดี ยังแข็งแรงเป็นปกติแม้ขาดการออกกำลังกาย หรือไม่ได้กินอาหารอย่างถูกหลัก แซมหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางเปิดเอาลิปสติกสีน้ำตาลอ่อนออกมาทาแบบรีบๆ ใช้มือเปล่าเสยผมจัดแต่งทรงแบบผ่านๆ เอาแค่พอไม่น่าเกลียด เดี๋ยวไปถึงสตูดิโอของแคลร์ ช่างหน้าช่างผมที่รออยู่จะจัดการทุกอย่างให้เพอร์เฟ็คต์อีกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน แซมหยิบกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ เอียงคอเล็กน้อย ตรวจตราความเรียบร้อยโดยรวมอีกครั้ง แซมมองดูตัวเองในกระจก เธอไม่แปลกใจที่แคลร์ชอบถ่ายภาพ ไม่แปลกใจที่ซูชอบแต่งบ้าน และไม่แปลกใจตัวเองที่ชอบเป็นนางแบบ เพียงสวมเสื้อยืดผ้าเรยอนเข้ารูปบางๆ สีมืดทึบหน่อย เนื้อตัวเธอกลับดูโปร่งบางขึ้นอีกราวสิบเปอร์เซ็นต์ได้หากคำนวณดูหยาบๆ ส่วนท่อนล่างเมื่อสวมกางเกงยีนส์แล้ว บั้นท้ายกลับดูเพิ่มขนาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ประหลาดดีแท้ ก็สวมเข้าไปเพิ่มเหมือนกัน ส่วนหนึ่งดูเล็กลง อีกส่วนกลับใหญ่ขึ้น นี่สินะ เสน่ห์ของศิลปะ มุมมอง และการรับรู้ต่างๆ นานาอะไรนั่น
แซมเปิดประตูอพาร์ทเมนต์เดินออกมา ยกมือข้างหนึ่งทักทายแอนนาอีกรอบเพื่อบอกเป็นภาษากายว่าเธอพร้อมแล้ว แต่แอนนาไม่ตอบสนอง เธอยังอยู่ท่าเดิมตำแหน่งเดิม แซมอึดอัดมากที่ต้องเดินทางไปกับแอนนา ผู้ช่วยผู้สูงศักดิ์ เธอหันกลับมาล็อคประตูอะพาร์ทเมนต์ ลงบันไดหน้าชานสี่ขั้น เลยมาอีกหน่อยจึงถึงรถของแอนนาที่จอดรออยู่ แอนนายังไม่ขยับไปไหน แซมชะลอฝีเท้าเมื่อเข้ามาใกล้จะถึงแอนนา เธอเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว แอนนาจะเอายังไง จะไปหรือไม่ไป โดนงูกัดตัวแข็งตายไปแล้วรึเปล่าถึงไม่ขยับเขยื้อนอย่างนี้
“ไปกันเลยไหมคะ” แซมถามแบบไม่แน่ใจพลางกระชับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่บนไหล่ซ้าย
“นั่นไม่ได้ใส่ยกทรงเหรอ” แอนนาตอบด้วยคำถาม แซมกระพริบตาสองสามครั้ง เธอเม้มปากเบาๆ หนึ่งหน แต่ไม่ได้ตอบคำถามของแอนนา ก็ใช่ เธอไม่ได้สวมเสื้อชั้นใน แล้วยังไงเล่า เสื้อมันสีเข้ม เธอเช็คดูแล้วว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไร เสื้อคลุมก็มีติดมา เดี๋ยวสวมทับเอาก็ได้ ถึงสตูดิโอก็ต้องถอดเปลี่ยนอยู่ดี ยัยนี่โรคจิตจริงๆ แซมพยายามไม่ซีเรียส พยายามไม่อามณ์เสีย เธอยิ้มก่อนจะตอบแอนนาออกไป
“แต่ฉันใส่กางเกงในแล้วค่ะ ไปกันเถอะ” แซมบุ้ยใบ้เป็นท่าทางให้แอนนาขึ้นรถ เธอจะได้ขึ้นด้วย แล้วจะได้ออกรถเดินทางกันไปอย่างเงียบๆ ให้ถึงจุดหมาย แล้วแยกๆ กันไปเสียที
แซมขึ้นมานั่งเบาะหน้าฝั่งผู้โดยสาร ในรถของแอนนามีกลิ่นจากน้ำหอมปรับอากาศแปลกๆ แต่เป็นความแปลกแบบที่แซมพอใจ โดยมากแล้วน้ำหอมปรับอากาศในรถยนต์มักเป็นกลิ่นทั่วไปอย่างกลิ่นไม้ดอกต่างๆ แต่นี่ไม่ใช่ มันเป็นกลิ่นคล้ายไม้หอม คล้ายแผ่นหนัง ผสมกับกลิ่นจางๆ ของดินใต้หญ้าหลังฝนซา สดชื่นดีไม่น้อย เธอชอบนะ มันไม่ฉุนคลุ้ง และไม่ใช่กลิ่นที่สูดเข้าไปแล้วรู้สึกได้ถึงความ “ปลอม” อันเกิดจากการสังเคราะห์ขึ้น ทั้งสองคนนั่งข้างกันไปเงียบๆ อย่าว่าแต่ชวนคุยอะไรเลย แซมถึงกับสวมหูฟังนั่งเฉยๆ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าอย่าพูดอะไรจะดีกว่า คงไม่น่าจะนาน เดี๋ยวเราจะเป็นอิสระจากกันแล้ว
“ทุเรศ” แซมได้ยินคำคำนี้แว่วแทรกเข้ามา
“พูดกับฉันรึเปล่าคะ” แซมถอดหูฟังออกแล้วถามแอนนา
“เปล่านี่คะ หูฝาดรึเปล่า ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” แอนนาตอบด้วยดวงตาซื่อใส แซมยังไม่ละสายตาจากแอนนา นังนี่มันวอนจริงๆ แซมคิดในใจ
“เที่ยวนี้แคลร์พักโรงแรมไหนคะ” แซมแกล้งถามทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าแคลร์มีบ้านพัก
“เธอซื้อบ้านไว้ที่นี่นานแล้วนะคะ ฉันนึกว่าคุณเพื่อนกันซะอีก ไม่เคยไปเหรอ บ้านแคลร์ที่เวสต์วูดน่ะ” แอนนาตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แซมไม่ได้ตอบอะไร เธอยังมองหน้าแอนนาอย่างไม่ละสายตา จ้องอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้ต้องการหาเรื่อง เธอเพียงแต่ประหลาดใจว่าทำไมคนบางคนถึงได้จองหองขนาดนี้ หรือท่าทางของแซมเองที่น่าหมั่นไส้เกิดเหตุ จริงอยู่ว่าแซมเป็นคนสวย เคยเจอมาบ้างกับพฤติกรรมของพวกขี้อิจฉา แต่ที่เธอเคยเจอมาก็แค่อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ที่พอให้อ่านความรู้สึกออก แต่นี่ไม่ใช่เลย เธอไม่เคยเจอคนมารยาทแย่แบบนี้จริงๆ แซมอึดอัดเต็มแก่แล้ว เธอลดกระจกข้างลงครึ่งหนึ่งคลายความตึงเครียด รับลมธรรมชาติบ้าง แต่ก็นึกเสียดายกลิ่นหอมในรถที่เธออยากสูดเข้าไปให้เต็มปอดอยู่เหมือนกัน แซมหลับตาสูดลมเข้าทางปาก
“มั่นใจสมกับเป็นนางแบบเลยนะคะ นึกอยากทำอะไรก็ทำ นี่รถฉันนะเนี่ย” แอนนาพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ตบท้าย แซมหุบปากแทบไม่ทัน สีหน้าบึ้งตึงจากที่ก่อนนี้แค่แลดูเหนื่อยหน่าย เธอกดปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นอย่างเก่าแล้วบอกกับแอนนาอย่างช้าๆ... ชัดๆ
“ขอโทษ...” แอนนาไม่ตอบ แต่หันมายิ้มให้ ช่างเป็นรอยยิ้มเย้ายวนที่ชวนให้นึกไปถึง... อสรพิษ แซมคิดในใจ
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”