"ครับบอส อะ.. เอิ่ม.. มีอะไรรึเปล่าครับ?"
น้ำเสียงเบอร์แบโต้ฟังดูตะกุกตะกักอย่างชัดเจน เขารีบยัดแบงค์ใส่คืนลงไปในกระเป๋า พลางหันหลังกลับไปเช็คบานประตูว่าเอ็มม่าผลักสวนออกมารึเปล่า
.
"เปล่าหรอก.. แค่จะถามว่าคุณออกไปจากตึกรึยัง ภารกิจที่ให้ทำอ่ะถึงไหนแล้ว?"
.
"อ๊อ! ผมยังอยู่ชั้น 3 หน้าแผนกการเงินอยู่เลยครับบอส งานนี้งานยากต้องใช้เงินเยอะ แต่บอสไม่ต้องห่วงไปหรอกนะครับผมทำได้แน่ เสร็จเรื่องทางนี้จะดำเนินการให้ทันทีเลย"
.
วัวสันหลังหวะถอนหายใจพรูด้วยความโล่งอก เขากลัวเหลือเกินว่าเรื่องราวเมื่อครู่จะถูกบันทึกไว้ได้ด้วยกล้องวงจรปิด ที่ลิงค์กันไว้เป็นเครือข่ายเดียวกัน
.
"ฮู้ววว.. แรงสะเทือนคงทำให้กล้องหน้าตู้เซฟพังสินะ โชคดีไปเรา..!"
หลับตาลงคิดในใจก่อนจะได้ยินเสียงประมุขแห่งองกรค์เริ่มพูดต่อ
.
"ให้มันได้อย่างงี้สิลูกน้องฉัน! แต่ละคนขี้โม้ชะมัดชั่วโมงก่อนปิเก้ก็บอกแบบนี้เหมือนกัน แล้วตอนนี้เป็นไง!? หายหัว! ติดต่อก็ไม่ได้! ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้เจฟเฟอร์เขาช่วยอีกแรงนะ บอสทุ่มไม่อั้นไม่ต้องกังวลเรื่องค่าตอบแทน ก็อย่างที่เธอบอกแหละเบอร์แบโต้ บอสเข้าใจว่างานนี้มันยากจริง ๆ "
.
"กรุ๊บ! ตุ๊ด ๆ ตุ๊ด ๆ ตุ๊ด! "
.
แล้วสายก็ตัดไปเท่านั้น เบอร์แบโต้ที่ผิวหน้าออกดำ ๆ แทน ๆ อยู่แล้วยิ่งถอดสีลงกว่าเก่า เขาเหลือบสายตามองขึ้นไปข้างบนตรงฝ้าเพดานที่สั่นระรัว
.
"บางทีบอสก็ไว้ใจพี่แกมากเกินไปมั้งครับ เพราะจนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่เจฟเฟอร์แกกำลังเผชิญอยู่กับอะไรบ้าง! เฮ้อ..!"
"เอาวะ! นับเงินต่อ! ถึงไหนแล้วเมื่อกี้ ห้า! หก! เจ็ด! แปด! เก้า! สิบ! สิบเอ็ด! สิบสอง! สิบสาม!.."
.
จ้วงเท้าออกเดินโทง ๆ พลางนับฟ่อนธนบัตรในมือไปด้วย เบอร์แบโต้เดินลงบนไดไปทีละขั้น ๆ จนกระทั่งโผล่พรวดออกมานอกอาคารโดยไม่ทันตั้งตัว
.
"ชิบหาย! ดันนับเพลินไปหน่อย! แต่นับแค่แบงค์ก็ได้ตั้ง 5 พันเหริยญแหนะ นี่ขนาดยังไม่นับเหรียญทองเลยนะถือว่าคุ้มอยู่ ลองเป็นอีหรอบนี้บาร์โค้ดนี่ก็คงไม่ต้องใช้แล้ว"
เขาพลิกท้องแขนข้างที่มีบาร์โค้ดหงายขึ้นมา พลันวางมืออีกข้างลูบลงไปอยู่พักหนึ่ง แป๊บเดียวมันก็จางหายกลืนไปกับผิวหนัง จากนั้นเจ้าตัวถึงได้เดินข้ามฟากถนนมายังร้านกาแฟที่อยู่ฟากตรงข้าม
.
.
บรรยากาศสุดแสนละมุนฉ่ำความโรแมนติก แม้จะเป็นช่วงเย็นใกล้ค่ำแต่เจ้าของร้านแกก็ยังเปิดไฟสีนวลค้างไว้ตลอด ประกอบกับกลิ่นเมล็ดกาแฟคั่วที่หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้ใครต่อใครแวะเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย
.
"ยอร์คชินคอฟฟี่สวัสดีครับ! เอ้าพ่อหนุ่มร้านดอกไม้นี่นาวันนี้รับอะไรดี"
.
"เหมือนเดิม!"
เบอร์แบโต้ตอบห้วน ไม่มองหน้าคุณลุงเจ้าของร้านใจดีที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ด้วยซ้ำ
.
แต่ทว่า!
.
"ตุ๊ด ๆ ๆ ๆ ตืด ๆ ๆ ๆ "
เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากได้ยินคำสั่งออเดอร์ ใบหน้าของเจ้าของร้านก็รูดปื๊ด ๆ หมุนเลื่อนลงติ้ว ๆ ราวกับตู้สล็อตแมชชิน มันเปลี่ยนจากหูตาจมูกปากไปเป็นภาพเมนูกาแฟต่าง ๆ ที่หมุนครืด ๆ ด้วยความรวดเร็วก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ , ติ๊ง!
.
"คาปูชิโน่แก้วใหญ่หวานน้อย.. กินนี่ ถูกต้องไหมครับ?"
.
"อืม.. ถูก จำเก่งดีเหมือนกันนี่เจ้าหุ่น"
เบอร์แบโต้หันมามองหน้าจอที่ต่อพ้นจากส่วนคอขึ้นมา ก่อนจะใช้สายตาคู่เดิมดวงนั้นมองหาโต๊ะว่าง ๆ กับมุมสงบ เพราะในขณะนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนในนี้ก็มีแต่หุ่นยนต์เต็มไปหมดเลย พวกมันมีบทบาทมากกว่ามนุษย์ไปแล้วในยุคปัจจุบัน ทั้งในภาคแรงงาน การเกษตร และเทคโนโลยี แม้รูปลักษณ์จะอัปลักษณ์ไปบ้าง แต่ส่ิงที่พวกมันทำได้ก็ถือว่าทดแทนการจากไปของคน ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 4 ได้หมด โดยเฉพาะในส่วนของงานบริการ
.
"มองหาโต๊ะอยู่เหรอครับ?"
เจ้าหุ่นเจ้าของร้านถาม ในขณะที่หน้าจอหมุนติ้ว ๆ กลับมาเป็นใบหน้าคนตามปกติ
.
"ก็ใช่น่ะสิ.. ฉันไม่มีวันไปนั่งโต๊ะร่วมกับพวกหุ่นกระป๋องหรอกนะบอกไว้ก่อน เหม็นน้ำมันเครื่อง!"
.
"........"
ไม่ได้เงีียบเพราะว่าโกรธ แต่เพราะเจ้าหุ่นเจ้าของร้านกำลังแงะเอาแป้นพิ้มพ์ตรงหน้าท้องออกมา มันพิมพ์คำสั่งกร๊อกแกร๊ก ๆ ด้วยความคล่องแคล่ว สักพักโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดติดกับกระจกหน้าร้านก็เรืองแสงขึ้น
.
"ว้าว! มีอยู่โต๊ะหนึ่งพอดีเลย เชิญพ่อหนุ่มไปนั่งรอที่นั่นก่อน"
.
"ได้ไงกันเล่า! ไม่เห็นรึไงว่ามันมีคนนั่งอยู่ ฉันจะไปนั่งกับเขาได้ยังไง?"
.
หุ่นอ้วนร้านกาแฟหยุดนิ่งประมวลผล คราวนี้ใบหน้ามันเลือนหายไปแล้วปรากฏเป็นหลอด Now Loading.. ขึ้นมา กระทั่งโหลดเต็มจึงพูดเสริมออกมาว่า
.
"เอ๋.. ก็คิดว่ามาด้วยกันซะอีก นั่นน่ะแม่สาวร้านดอกไม้หรือพ่อหนุ่มจำเธอไม่ได้ ยังไงซะถ้าไม่ยอมแชร์โต๊ะด้วยกันในร้านนี้ก็ไมมีที่ให้มนุษย์อย่างคุณแล้ว"
.
"เวรกรรม! แต่ก็จริง! นั่นมันแคทเธอรีนร้านดอกไม้นี่หว่า ขอบใจมากเจ้าหุ่นอย่าลืมเอาคาปูมาเสิร์ฟฉันด้วยล่ะ"
.
"ตุ๊ด! ๆ ๆ รับทราบ!"
.
หลังจากสนทนาภาษาหุ่นยนต์กันเสร็จ เบอร์แบโต้ก็ได้เดินมาที่โต๊ะของแคทเธอรีนที่กำลังจิบกาแฟและเหม่อลอยออกไปนอกบานกระจก เหลือเชื่อที่เจ้าหล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าพื้นผิวบนโต๊ะตัวเองกำลังเรืองแสงเจิดจ้าอยู่
.
"เฮ้! แคท!"
เบอร์แบโต้ทักขึ้นก่อน ด้วยความที่พวกเขานั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงไม่ต้องวางฟอร์มใส่กันมากเหมือนตอนคุยกับคนอื่น
.
"อุ๊ย! ไอ้ดำโต้! ฉันตกใจหมดมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง แล้วนี่อะไรถือสิทธิ์อะไรมาแชร์โต๊ะกับฉันยะ!"
.
"ก็ลุงแอนดรอยน์เจ้าของร้านแกเลือกให้นี่ ฉันไม่ได้อยากนั่งกับเธอสักหน่อย"
พอจุ่มก้นลงกับเก้าอี้ได้ แสงสว่างจากพื้นผิวบนโต๊ะก็ค่อย ๆ เลือนลางลงจนกลายเป็นโต๊ะปกติ
.
"อี๋..! แล้วนี่เนื้อตัวแกไปโดนอะไรมา ทำไมมีแต่รอยแผลฟกช้ำกับรอยอะไรอ่ะ? แดง ๆ ตรงคอ? แหวะอย่างกับรอยดูดอ่ะ.. นี่อย่าบอกนะว่าแกไอ้โต้!"
"ใช่ ๆ ไหม? กับน้องบ้าน ๆ ที่แกแปรสภาพออกมาได้ แกไปล่วงละเมิดน้องเขาใช่ไหม!?"
.
"เฮ๊ย! เปล่าไม่มีอะไร ลดนิ้วลงได้แล้วชี้หน้ากันอย่างกับจะจับผิดแหนะ ไม่มีไรหรอกฉันเพิ่งไปรับงานใหม่จากบอสมา แล้วก็แวะไปแช่น้ำร้อน แผลตอนออกไปทำงานก็เลยเด่นชัดขึ้นเฉย ๆ "
"ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วแกดูอะไรอยู่หรอแคท? แล้วนี่ไม่เฝ้าหน้าร้านรึยังไง?"
ชายหนุ่มพยายามเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง เพราะกลัวว่าถ้าโดนซักหนักเข้าความลับสุดอื้อฉาวที่ปกปิดไว้จะแตก
.
"พักเบรคย่ะ! พักประจำชั่วโมงอ่ะเคยได้ยินไหม แล้วฉันก็แขวนป้ายตรงลูกบิดประตูบอกลูกค้าไว้แล้วด้วย แกเดินออกมาไม่ลืมตาดูรึไง?"
.
เบอร์แบโต้มุ่ยหน้ามองบนพลันยักไหล่ขึ้นสองที ในทำนองว่าใครมันจะสน! ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่กาแฟคาปูชิโน่ร้อนที่สั่งไว้ได้ตรงดิ่งเข้ามาเสิร์ฟ
.
"โอ๊ะ! ออเดอร์ฉันมาแล้ว ชิ่ว ๆ ถอยไปอย่าบังจะดู!"
.
มือหนาปัดป่ายไปมาเพื่อเขี่ยท่อนแขนของแคทเธอรีนลงไปจากโต๊ะ แล้วในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็เกิดวงแสงสีฟ้าทรงกลมขึ้นมาบนโต๊ะวงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการเสิร์ฟอาหารของคน ค.ศ. นี้ เพราะโลกแม่งไม่ค่อยจะมีคน จึงไม่มีการใช้บริกรหรือเด็กเสิร์ฟประคองถาดอาหารมาวางตามโต๊ะอีกต่อไป แก้วกาแฟควันโขมงค่อย ๆ หมุนติ้ว ๆ โผล่พ้นผิวโต๊ะขึ้นมาจากด้านล่าง ตามติดมาด้วยโถน้ำตาล แล้วก็ผ้าเช็ดปากที่หมุนติ้ว ๆ เคลื่อนขึ้นมาราวกับโผล่ออกมาจากต่างมิติ พอทุกอย่างอยู่บนโต๊ะจนครบปุ๊บ! แสงสีฟ้าสว่างเป็นวง ๆ เหล่านั้นก็หายแว๊บไป
.
"ไอ้บ้านนอก! แค่นี้ก็ไม่เคยเห็น แล้วดูของที่สั่งดิมีปัญญาจ่ายเหรอกาแฟร้านยอร์คชินอ่ะแก้วเป็นพันดอลล่าเชียวนะยะ! ลำพังของที่แก Drain มาได้มันจะแปรสภาพออกมาได้สักกี่ตังค์เชียว"
.
"เดี๋ยวตบฟันร่วง! เห็นว่าเป็นผู้หญิงเฉย ๆ หรอกนะยัยแคท เออน่ะ! ฉันมีปัญญาจ่ายล่ะกันจ่ายเผื่อส่วนของแกด้วยก็ยังได้"
.
"จะอวดรวยว่างั้น!?"
.
"เออสิ?"
.
"แล้วไปได้เงินมาจากไหนล่ะ?"
.
"ไม่บอก! (ขืนบอกไปก็ซวยสิ) แกต่างหากแคทที่ต้องบอกฉัน ว่าเมื่อกี้แกเหม่อลอยอะไร?"
.
เด็กสาวแคทเธอรีนละสายตาออกจากดวงหน้าของเบอร์แบโต้ เธอหันย้อนกลับไปยังตึกสูง 7 ชั้นของอาคาร Parallel พลางซดกาแฟไปหนึ่งจิบ
.
"คิดถึงพี่เจฟเฟอร์น่ะ เจอกับพี่เขาครั้งล่าสุดอาการแกแย่มาก ขึ้นไปหาหมอตั้งนานแล้วป่านนี้ยังไม่กลับลงมาเลย"
.
"เออฉันก็เหมือนกันบอสโทรมากำชับกับฉันว่าภารกิจใหม่ค่อนข้างยาก ให้ฉันดับเบิ้ลทีมกับพี่เจฟเฟอร์ ก็เลยมานั่งดักรอแกที่ร้านกาแฟยอร์คชินเหมือนกันนี่แหละ"
.
"แกจะเป็นยังไงบ้างน้อ!?"
.
เบอร์แบโต้ยกแก้วกาแฟขึ้นซดเฉกเช่นแคทเธอรีน ด้วยรสชาติสุดเข้มข้นหวานมัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายที่รักของพวกเขานั้น จะกำลังชิมรสนี้อยู่รึเปล่า?
กระจัดกระจายจริง ๆ สมกับชื่อบท เพราะนอกจากจะบินเข้ามาโฉบเอาร่างของเจฟเฟอร์เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปตายแล้ว บนฟากฟ้ายังมีพวกมันอีกเป็นโขยง! ท้องฟ้าที่เคยสดใสแดดจัด ๆ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยฝูงแมลงวันเป็นล้าน ๆ ตัว."อะไรกัน! พวกแกอีกแล้วหรอ!"."หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "."ฮู้ววว! ไม่รู้ยังไงเหมื่อนกันแต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาช่วย พาฉันลงไปข้างล่างที".กลุ่มก้อนแมลงวันดำขลับเป็นขยุยกระจายตัวไปเกาะตามแขนขาแล้วก็เสื้อผ้า ก่อจจะค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พร้อมกันนั้นไฟสีเขียวในหูฟังก็เริ่มกระพริบปิ๊บ ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หางตาของเจฟเฟอร์ดันชำเลืองไปเจอเข้า เขาก็เลยมีความคิดที่จะดึงมันออกมาเช็ดดู จะได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่รึเปล่าที่เรียกพวกแมลงวันมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรเลย! จู่ ๆ หมู่ภมรอีกกลุ่มซึ่งอยู่อีกด้านของฟากฟ้าก็ชิงตัดหน้าเขาซะงั้น! พวกมันบินโฉบลงมาเป็นก้อนสีดำขนาดเท่าลูกบาส พุ่งมาที่ใบหูแล้วก็ดึงเอาหูฟังออกให้.ซึ่งพอวัตถุเล็กจิ๋วนั่นถูกส่งถึงฝ่ามือเท่านั้นแหละ ความฉิบหายก็บังเกิดทันที! คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย! หล่นกระแทกพื้นสิครับจะเหลือเหรอ."ฟึบบบ! ,
ไหลพรืด ๆ อย่างกับบันไดเลื่อน ร่างอันอิดโรยของเจฟเฟอร์ไม่อาจต่อต้านเพราะดันเสร่อฝังตัวเองไว้ในทราย เป็นกรรมหรือความโง่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือเจฟเฟอร์แม่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ชัวร์ ๆ ตัวเขาลอยปลิวไปพร้อมกับทราย โดยมีพิกัดเป้าหมายอยู่ที่อุ้งตีนของเจ้าแซนดี้."อั๊ก! โอ๊ก! อั๊ก! แค็ก ๆ ใครจะไปรู้ว่ะว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย.. อั๊กกก! อึกกก!"."อุตส่าห์คิดว่าหลบพ้นแล้วแท้ ๆ ที่ไหนได้ดันโดนดึงเข้าไปหา อ๊วกกก! อั๊กกก! ตายห่าแน่กู!".หลับตาปี๋พลางรอจังหวะสูดลมหายใจเข้าเป็นระยะ ร่างหนาของเจ้าหน้าที่หนุ่มดำผุดดำว่ายจอมจมอยู่ในกระแสธารแห่งชะตากรรม เขาคาดเดาไม่ได้ว่าแต่นี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะลำพังแค่ประคองตัวไม่ให้สำลักทรายตายไปซะก่อนก็บุญแค่ไหนแล้ว.บางทีสาเหตุของเรื่องอาจเป็นเพราะเจ้าตัวนั้นชะล่าใจเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่เจฟเฟอร์เพิ่งจะกลบทรายฝังตัวเองใหม่ ๆ เขาก็เอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเจ้ายักษ์แซนดี้มันมีท่าทีแปลก ๆ เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่ามันคงจะหาเขาไม่เจอ ก็เลยถอดใจก้มหน้าก้มตาเงินงกพลางเอาแขนจุ่มลงไปในพื้นทรายคล้ายกับว่าจะยอมแพ้แต่ที่ไหนได้เจฟเฟอร์ดันคิดผิด! เพราะชั่วพริบตาหลังจา
"ไม่ทันแล้วหมอ มันฟาดลงมาแล้ว อร๊ากกกกก!!!".เจฟเฟอร์ร้องลั่นเขายกมือขึ้นค้ำแม้จะรู้ดีว่าเป็นดั่งไม้ซีกงัดไม้ซุง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพราะท่วงท่าแต๋วแตกดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวยังคงมีชีวิตรอด เมื่อหมอยูมิโกะที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปลายสายได้ใช้ปฏิิภาณไหวพริบตะโกนสวนออกไปว่า."Drain!!!"มันดังซะจนเจฟเฟอร์คิดว่าแก้วหูตัวเองคงแตก มันดังจนลอดผ่านหูฟังออกมาแล้วก็ไปรันเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายในของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม.เพียงเสี้ยวอึดใจวินาทีที่ฝ่ามือทรายใหญ่เบิ้มกำลังจะบดขยี้ร่างอยู่รอมร่อ ฝ่ามือของเจฟเฟอร์ก็จมบุ๋มลงไปเป็นหลุม แล้วพลังลมดูดอันเชี่ยวกราดก็เริ่มทำงาน มันดูดเอาเม็ดทรายมากมายเข้ามาเก็บไว้ในตัว กระบวนการทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เจฟเฟอร์ทำกับก้อนความคิดผู้คนเป๊ะ ๆ ฝ่ามือเขาดูดด๊วบ ๆ สูบเอาทรายเป็นตัน ๆ เข้ามา ส่งผลให้อวัยวะของเจ้าปีศาจยักษ์เริ่มจะมีสภาพเว้าแหว่งเจียนอยู่เจียนไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่มือแต่รวมไปถึงขาด้วย การ Drain อันยอดเยื่ยมทำให้ขาของมันเสียการทรงตัว พลันล้มตรึงลงหงายท้องหงายไส้."ตรึมมมมมมมม!".แต่ทว่ากับแขนขวาของเจฟเฟอร์นี่สิ ที่ลักษณะดูไม่ดีเอาซะเลย เจ้า
ร่างหนาค่อย ๆ กระเถิบตัวเองถอยห่างออกมาจากส้นตีนทรายเล็กน้อย พลางดึงหูฟังไร้สาย (ข้างเดียว) ที่หมอยูมิโกะให้มาตั้งแต่ตอนแรกออกมาเช็คดู เขาทั้งตบทั้งตีแล้วก็เคาะมันสลับกับการพูดขอความช่วยเหลือแบบกระซิบกระซาบ."ฮัลโหล! หมอ! ได้ยินผมไหมหมอ! ช่วยผมด้วย..".เงียบสนิทไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ กลับมา มิหนำซ้ำการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงดังกล่าว ยังไปเรียกเอาบาทาของเจ้ายักษ์บิ๊กเบิ้มเอาเข้าให้."เหี้ยเอ๊ย! มันยกขาเตรียมจะกระทืบกูอีกดอกแล้ว! ย๊ากกกก!"."ฮึบ!!!".คราวนี้ไม่รอดลำตัวของเจฟเฟอร์โดนฝ่าเท้าทรายใหญ่ยักษ์อัดเข้าเต็มลำ ตัวเขากลิ้งหลุน ๆ คอพับไถลลากไปกับพื้นทราย กระอักเลือดแค๊ก ๆ เท่านั้นยังไม่พอเจ้าปีศาจทรายไจแอนท์ยังอุตส่าห์ตามมาเก็บงานของตน ด้วยการวิ่งปรี่เข้ามาใส่ง้างกำปั้นมาแต่ไกล หวังจะเผด็จศึกเขาด้วยหมัดขวาตรงไม่หลงติดยา!."ตรึมมม!!!".ชายหนุ่มวาร์ปตัวหลบหมัดดังกล่าวได้ราวกับปาฏิหาริย์ เขาโคตรจะงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงยังไงความสำคัญของการติดต่อหมอยูมิโกะให้ได้ ก็มีค่ามากกว่า จึงรีบวิ่งตื๋อหนีออกมาตั้งหลักให้ไกลขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อสูรกายจัมโบ้กำลังโงนเงนตั้งตัวเตรียมจะโจมตี
พื้นทรายรอบตัวทั้ง 360 องศาพุ่งทะยานขึ้นเป็นแท่งเสา มันโผล่พรวดเป็นลำ ๆ ขนาดสูงใหญ่ตระการตามากกว่าตึก 8 ชั้น เจฟเฟอร์ยืนขาแข็งทื่อแหงนมองมันจนคอเป็นเอ็น เขาตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก ไม่มีทางหนีไม่มีที่ซ่อน ทุกทิศทุกทางถูกล้อมไว้ด้วยแท่งทรายหลายสิบต้น การผุดขึ้นดังกล่าวทำให้เม็ดทรายบางส่วนกระเด็นหลุดออกมา ซึ่งกว่าจะหล่นลงสู่พื้นได้ก็ใช้เวลามากกว่า 10 วิบ่งบอกถึงความอลังการใหญ่ยักษ์ ด้วยสเกลที่เทียบได้กับภูเขากับเห็บหมา จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายพิการแขนขาดอย่างเจฟเฟอร์จะต่อกรกับมันได้."แสกนข้อมูลวิเคราะห์องค์ประกอบ"ชายหนุ่มสั่งการซุ่มเสียงสั่นเครือ.ทันใดนั้นภาพที่เห็นในมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ปรากฏเป็นเคอร์เซอร์กระพริบแป๊บ ๆ วิ่งไล่แสกนแท่งทรายต้นหนึ่งตั้งแต่บนยันล่าง ตัวเลขข้อมูลวิ่งยึกยืออยู่ริมจอรอการประมวลผล."เราอาจจะแค่กลัวไปเอง บางทีในแท่งทรายนั่นอาจจะมีตัวอะไรซ่อนอยู่ ตัวที่ใช้ทรายในการข่มขู่ศัตรูคล้ายกับหางของงูหางกระดิ่ง..".ชุดข้อมูลยังคงวิ่งต่อไป ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็สั่นรัวพอ ๆ กัน เขากำลังจะจมลงไปเรื่อย ๆ ด้วยผลพวงจากเม็ดทรายข้างบนที่หล่นลงมาทับถม."ติ๊ด! ๆ , ติ๊ด! ๆ
ตัดภาพกลับมายังชั้น 4 ด้านหลังผนังเมือกเจลกันอีกที หลังจากที่ได้สร้างความวินาศสันตะโรให้แก่ชั้นล่างมาอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ของเราก็เหมือนจะโดนเอาคืนบ้างซะแล้ว เพราะจู่ ๆ เจ้าโบกี้รถไฟอันเป็นยานพาหนะเพียงอย่างเดียวก็ชักจะเริ่มพยศ มันดันทะลึ่งทำความเร็วขึ้นเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งหรือทำอะไร ความเร็วดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบทำให้ล้อกระเด็นตกจากราง ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้เป็นแค่ผืนทรายราบ ๆ ไม่ได้มีความสูงชันเหมือนตอนที่ปล่อยรถลงมาสักหน่อย"เฮ่ย! เฮ่ย! เร็วไปแล้ว! ชักไม่สนุกแล้วนะเพื่อน เหวอ ๆ ๆ ".เจ้าหน้าที่แขนพิการแหกปากร้องลั่นแข่งกับเสียงล้อเหล็ก ที่กระเด้งกระดอนครูดกับรางอย่างผิดวิสัย ครั้นพอลองชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นแต่ประกายไฟเป็นเส้น ๆ แฉลบออกมาจากใต้ท้องเสียงดังอี๊ดดดดด! น่าเสียวไส้!."หมอ! แม่งไม่โอเคแล้วหมอ! โบกี้มันจะคว่ำก่อนไปถึงแล้วหมอ! ว๊ากกกก! อ๊ากกกก!!!".โบกี้เหล็กยังคงบดล้อเข้ากับราง มันวิ่งส่ายยึกยือไปมาฉวัดเฉวียนคล้ายกำลังจะเสียศูนย์ การเหวี่ยงแต่ละครั้งก็แทบจะทำให้ตัวถังพลิกคว่ำอยู่รอมร่อ บางจังหวะก็ถึงกับยกล้อลอยพ้นพื้นเอียงกระเท่เร่ชวนให้ลุ้นร