ตัดภาพกลับมายังชั้น 4 ด้านหลังผนังเมือกเจลกันอีกที หลังจากที่ได้สร้างความวินาศสันตะโรให้แก่ชั้นล่างมาอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ของเราก็เหมือนจะโดนเอาคืนบ้างซะแล้ว เพราะจู่ ๆ เจ้าโบกี้รถไฟอันเป็นยานพาหนะเพียงอย่างเดียวก็ชักจะเริ่มพยศ มันดันทะลึ่งทำความเร็วขึ้นเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งหรือทำอะไร ความเร็วดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบทำให้ล้อกระเด็นตกจากราง ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้เป็นแค่ผืนทรายราบ ๆ ไม่ได้มีความสูงชันเหมือนตอนที่ปล่อยรถลงมาสักหน่อย
"เฮ่ย! เฮ่ย! เร็วไปแล้ว! ชักไม่สนุกแล้วนะเพื่อน เหวอ ๆ ๆ "
.
เจ้าหน้าที่แขนพิการแหกปากร้องลั่นแข่งกับเสียงล้อเหล็ก ที่กระเด้งกระดอนครูดกับรางอย่างผิดวิสัย ครั้นพอลองชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นแต่ประกายไฟเป็นเส้น ๆ แฉลบออกมาจากใต้ท้องเสียงดังอี๊ดดดดด! น่าเสียวไส้!
.
"หมอ! แม่งไม่โอเคแล้วหมอ! โบกี้มันจะคว่ำก่อนไปถึงแล้วหมอ! ว๊ากกกก! อ๊ากกกก!!!"
.
โบกี้เหล็กยังคงบดล้อเข้ากับราง มันวิ่งส่ายยึกยือไปมาฉวัดเฉวียนคล้ายกำลังจะเสียศูนย์ การเหวี่ยงแต่ละครั้งก็แทบจะทำให้ตัวถังพลิกคว่ำอยู่รอมร่อ บางจังหวะก็ถึงกับยกล้อลอยพ้นพื้นเอียงกระเท่เร่ชวนให้ลุ้นระทึก เจฟเฟอร์คิดไม่ตกจริง ๆ ว่าจะต้องทำยังไง เขาเพิ่งเคยเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกทุกอย่างรอบตัวจึงแปลกตาไปหมด ไล่ไปตั้งแต่อุณหภูมิความร้อน สภาพภูมิประเทศ รวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างสังเคราะห์ต่าง ๆ ในหัวเขาไม่มีชุดข้อมูลสำหรับการยังชีพในพื้นที่เช่นนี้เลย นั่นจึงเท่ากับว่าถ้าหากเจ้าหน้าที่ภาคสนามรายนี้พลาดพลั้งตกขบวนไป ความเป็นไปได้ที่ทะเลทรายจะฆ่าเขาก็เป็นไปได้สูง
.
การหันหลังกลับไปมองหาเทพผู้สร้างอย่างหมอยูมิโกะจึงไม่ใช่เรื่องแปลก การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่ทว่าดันมองไม่เห็นเธอแล้วนี่สิ! เขามาไกลเกินไปและสิ่งที่เจฟเฟอร์เห็นก็มีแค่รางรถไฟสายเปลี่ยว ที่ตัดผ่ากลางทะเลทรายแบบไม่แยแสโลก ดังนั้นตัวช่วยเดียวที่เขามีก็เห็นจะเป็นมือขวาข้างเดียวที่เหลืออยู่นั่นเอง
.
"หมับ!"
.
"อย่าตกลงไปเป็นพอไอ้เจฟเอ๊ย! ฮึบ! แค่ยึดเอาไว้เดี๋ยวก็ถึงโรงงานเอง!"
"ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นข้างล่างกันแน่ ทำไมมันถึงเร็วขึ้นเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ จุลินทรีย์ของหมอยูมิโกะแม่งกวนตีนอะไรเรารึเปล่าวะ?"
.
รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง เพราะชายหนุ่มจำได้แม่นว่าตอนที่โบกี้เร่ิมคลื่นล้อครั้งแรกนั้น พวกจุลินทรีย์ของหมอยูมิโกะเป็นคนช่วยกันผลัก ฉะนั้นการที่โบกี้วิ่งเร็วจี๋เป็นหนัง The Fast And The Furious ขนาดนี้ต้องมีพวกมันเป็นเหตุปัจจัยแน่ เขาก็เลยชะโงกหน้าลงไปเช็คอีกหนพร้อมกับมือขวาที่กำราวเหล็กกั้นตกเอาไว้แน่นสุดชีวิต แต่ทว่า!
.
"เหี้ย! ไฟไหม้!"
ตะเบ็งคออุทานพลันกระพริบตาปริบ ๆ เขาพยายามเพ่งสายตาฝ่าแนวไฟที่กำลังลุกไหม้วงล้อ ดูรายละเอียดอื่น ๆ ให้มากขึ้น
.
"แล้วนั่นอะไรวะน่ะที่กระพริบแป๊บ ๆ เวรเอ๊ย! ทีแรกนึกว่าประกายไฟจากการเสียดสี พอดูดี ๆ พวกมันคือซากจุลินทรีย์ของหมอยูมิโกะเขานี่หว่า ชิบหายแล้วกู! แม่งตายห่าหมดเลย! งั้นก็หมายความว่าโบกี้รถไฟคันนี้กำลังวิ่งอย่างไร้จุดหมายอยู่น่ะสิ?!"
.
ความประหม่าตื่นกลัวแทรกเข้ามาในใจ เจฟเฟอร์กระวนกระวายจนต้องตัดสินใจใช้ออปติคอลซูมในม่านตาเพ่งกลับไปยังเส้นทางด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบนพื้นทรายมีเศษซากของจุลินทรีย์ที่ถูกเผาจนเกรียมหล่นอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ก็เลยมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ที่ขบวนรถของเขาจะถูกผู้ไม่หวังดีโจมตีมาตั้งแต่ต้น แล้วก็เป็นเด็ก ๆ ของหมอยูมิโกะที่เป็นคนรับเคราะห์แทน
.
"อะ.. เอ่อ แล้วถ้างั้นสาเหตุที่เจ้าโบกี้นี้ยังแล่นอยู่ได้ล่ะ?!"
"อย่าบอกนะว่า..?"
.
กัดฟันยื่นหน้าออกไปส่องดูข้างล่างอีกทีเป็นหนที่ 3 แต่คราวนี้ยังไม่ทันจะใช้การซูมอะไรเลย ไม่รู้ที่มาที่ไป! แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรี่ยวแรงมหาศาลนี้แม่งโผล่มาจากไหน! ถึงได้งัดทั้งคนทั้งรถให้ลอยเคว้งขึ้นไปกลางอากาศ! เสียงดัง..โครมมมมม!!!
.
"อ๊ากกกกกก!"
"เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย! จะตกแล้ว! อ๊าาากกกก!"
.
"ตุ๊บ!"
.
"โครมมมมมม!"
รถไปทางคนไปทางนับว่าเป็นโชคดีของเจฟเฟอร์มากที่ตัวเขาหลุดกระเด็นออกมาอีกฝั่ง เพราะดูจากสภาพรถแล้วเขาไม่น่าจะรอด มันหมุนติ้ว ๆ อยู่บนฟ้าหลายวินาทีก่อนจะตกลงมาฟาดกับพื้นทรายกระเด็น แล้วก็พลิกคว่ำต่อไปอีกกว่า 7 ตลบ ตัวถังพังยับบุบบี้ฐานล่างกับล้อไหม้ดำเป็นตอตะโก
.
แล้วลองดูที่รางสิ! ก็อย่างที่บอกว่าเจฟเฟอร์ยังไม่รู้ว่ามันเป็นใครหรือตัวอะไรในตอนนี้? แต่ที่รู้คือแม่งไม่ธรรดาแน่! มันน่าจะอยู่ใต้ดินมันคงซ่อนอยู่ใต้เท้าเขามาตลอดนับตั้งแต่ย่างกายเข้ามา ไม่งั้นรางรถไฟที่ถึกจนถึงขนาดทานความร้อนของลาวาได้ คงไม่บิดเบี้ยวเป็นริบบิ้นของนักกีฬายิมนาสติกขนาดนี้
.
สัญชาตญาณนักสู้คือสิ่งเดียวที่ช่วยเจ้าหน้าที่ภาคสนามเอาไว้ เขาชันกายขึ้นด้วยความรวดเร็วเนื่องจากไม่มีเวลาแม้แต่จะสำออย ความกดดันถาโถมเข้ามาใส่ จิตสังหารนี้ช่างรุนแรงนัก! พลันกดน้ำหนักตัวลงฝ่าเท้าจนมั่นคง ปรับคำสั่งในมุมมองบุคคลที่หนึ่งให้เป็นโหมดต่อสู้เตรียมพร้อม แม้แต่ปลายนิ้วทุกนิ้วบนมือขวาก็หักเป็นกระบอกปืนแสตนด์บายไว้พร้อมสรรพ ชายหนุ่มขบกรามแน่น ทางเดียวที่จะรอดไปจากสมรภูมิกลางทะเลทรายแห่งนี้ได้ไม่ใช่การหนี หากแต่เป็นการสู้กับมันตัวต่อตัว!
.
"กรอดดดด! มึงมันตัวอะไรวะ!"
เจฟเฟอร์คิดในใจ พลางสลัดเม็ดเหงื่อออกจากใบหน้า
พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ได้เห็นการกระเพื่อมเป็นลูกคลื่นของมัน ที่กินเนื้อที่เกือบจะสองสนามฟุตบอลเข้าไปแล้ว มิหนำซ้ำเจ้าเนินทรายน่าขนลุกดังกล่าวยังเคลื่อนที่หมุนวนไปมารอบ ๆ ตัวเขา ราวกับกำลังจะล้อมกรอบเขาเอาไว้
.
แล้วอีหรอบนี้เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ของเรา ยังคิดว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้อยู่อีกเหรอ?
กระจัดกระจายจริง ๆ สมกับชื่อบท เพราะนอกจากจะบินเข้ามาโฉบเอาร่างของเจฟเฟอร์เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปตายแล้ว บนฟากฟ้ายังมีพวกมันอีกเป็นโขยง! ท้องฟ้าที่เคยสดใสแดดจัด ๆ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยฝูงแมลงวันเป็นล้าน ๆ ตัว."อะไรกัน! พวกแกอีกแล้วหรอ!"."หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "."ฮู้ววว! ไม่รู้ยังไงเหมื่อนกันแต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาช่วย พาฉันลงไปข้างล่างที".กลุ่มก้อนแมลงวันดำขลับเป็นขยุยกระจายตัวไปเกาะตามแขนขาแล้วก็เสื้อผ้า ก่อจจะค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พร้อมกันนั้นไฟสีเขียวในหูฟังก็เริ่มกระพริบปิ๊บ ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หางตาของเจฟเฟอร์ดันชำเลืองไปเจอเข้า เขาก็เลยมีความคิดที่จะดึงมันออกมาเช็ดดู จะได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่รึเปล่าที่เรียกพวกแมลงวันมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรเลย! จู่ ๆ หมู่ภมรอีกกลุ่มซึ่งอยู่อีกด้านของฟากฟ้าก็ชิงตัดหน้าเขาซะงั้น! พวกมันบินโฉบลงมาเป็นก้อนสีดำขนาดเท่าลูกบาส พุ่งมาที่ใบหูแล้วก็ดึงเอาหูฟังออกให้.ซึ่งพอวัตถุเล็กจิ๋วนั่นถูกส่งถึงฝ่ามือเท่านั้นแหละ ความฉิบหายก็บังเกิดทันที! คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย! หล่นกระแทกพื้นสิครับจะเหลือเหรอ."ฟึบบบ! ,
ไหลพรืด ๆ อย่างกับบันไดเลื่อน ร่างอันอิดโรยของเจฟเฟอร์ไม่อาจต่อต้านเพราะดันเสร่อฝังตัวเองไว้ในทราย เป็นกรรมหรือความโง่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือเจฟเฟอร์แม่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ชัวร์ ๆ ตัวเขาลอยปลิวไปพร้อมกับทราย โดยมีพิกัดเป้าหมายอยู่ที่อุ้งตีนของเจ้าแซนดี้."อั๊ก! โอ๊ก! อั๊ก! แค็ก ๆ ใครจะไปรู้ว่ะว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย.. อั๊กกก! อึกกก!"."อุตส่าห์คิดว่าหลบพ้นแล้วแท้ ๆ ที่ไหนได้ดันโดนดึงเข้าไปหา อ๊วกกก! อั๊กกก! ตายห่าแน่กู!".หลับตาปี๋พลางรอจังหวะสูดลมหายใจเข้าเป็นระยะ ร่างหนาของเจ้าหน้าที่หนุ่มดำผุดดำว่ายจอมจมอยู่ในกระแสธารแห่งชะตากรรม เขาคาดเดาไม่ได้ว่าแต่นี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะลำพังแค่ประคองตัวไม่ให้สำลักทรายตายไปซะก่อนก็บุญแค่ไหนแล้ว.บางทีสาเหตุของเรื่องอาจเป็นเพราะเจ้าตัวนั้นชะล่าใจเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่เจฟเฟอร์เพิ่งจะกลบทรายฝังตัวเองใหม่ ๆ เขาก็เอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเจ้ายักษ์แซนดี้มันมีท่าทีแปลก ๆ เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่ามันคงจะหาเขาไม่เจอ ก็เลยถอดใจก้มหน้าก้มตาเงินงกพลางเอาแขนจุ่มลงไปในพื้นทรายคล้ายกับว่าจะยอมแพ้แต่ที่ไหนได้เจฟเฟอร์ดันคิดผิด! เพราะชั่วพริบตาหลังจา
"ไม่ทันแล้วหมอ มันฟาดลงมาแล้ว อร๊ากกกกก!!!".เจฟเฟอร์ร้องลั่นเขายกมือขึ้นค้ำแม้จะรู้ดีว่าเป็นดั่งไม้ซีกงัดไม้ซุง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพราะท่วงท่าแต๋วแตกดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวยังคงมีชีวิตรอด เมื่อหมอยูมิโกะที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปลายสายได้ใช้ปฏิิภาณไหวพริบตะโกนสวนออกไปว่า."Drain!!!"มันดังซะจนเจฟเฟอร์คิดว่าแก้วหูตัวเองคงแตก มันดังจนลอดผ่านหูฟังออกมาแล้วก็ไปรันเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายในของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม.เพียงเสี้ยวอึดใจวินาทีที่ฝ่ามือทรายใหญ่เบิ้มกำลังจะบดขยี้ร่างอยู่รอมร่อ ฝ่ามือของเจฟเฟอร์ก็จมบุ๋มลงไปเป็นหลุม แล้วพลังลมดูดอันเชี่ยวกราดก็เริ่มทำงาน มันดูดเอาเม็ดทรายมากมายเข้ามาเก็บไว้ในตัว กระบวนการทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เจฟเฟอร์ทำกับก้อนความคิดผู้คนเป๊ะ ๆ ฝ่ามือเขาดูดด๊วบ ๆ สูบเอาทรายเป็นตัน ๆ เข้ามา ส่งผลให้อวัยวะของเจ้าปีศาจยักษ์เริ่มจะมีสภาพเว้าแหว่งเจียนอยู่เจียนไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่มือแต่รวมไปถึงขาด้วย การ Drain อันยอดเยื่ยมทำให้ขาของมันเสียการทรงตัว พลันล้มตรึงลงหงายท้องหงายไส้."ตรึมมมมมมมม!".แต่ทว่ากับแขนขวาของเจฟเฟอร์นี่สิ ที่ลักษณะดูไม่ดีเอาซะเลย เจ้า
ร่างหนาค่อย ๆ กระเถิบตัวเองถอยห่างออกมาจากส้นตีนทรายเล็กน้อย พลางดึงหูฟังไร้สาย (ข้างเดียว) ที่หมอยูมิโกะให้มาตั้งแต่ตอนแรกออกมาเช็คดู เขาทั้งตบทั้งตีแล้วก็เคาะมันสลับกับการพูดขอความช่วยเหลือแบบกระซิบกระซาบ."ฮัลโหล! หมอ! ได้ยินผมไหมหมอ! ช่วยผมด้วย..".เงียบสนิทไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ กลับมา มิหนำซ้ำการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงดังกล่าว ยังไปเรียกเอาบาทาของเจ้ายักษ์บิ๊กเบิ้มเอาเข้าให้."เหี้ยเอ๊ย! มันยกขาเตรียมจะกระทืบกูอีกดอกแล้ว! ย๊ากกกก!"."ฮึบ!!!".คราวนี้ไม่รอดลำตัวของเจฟเฟอร์โดนฝ่าเท้าทรายใหญ่ยักษ์อัดเข้าเต็มลำ ตัวเขากลิ้งหลุน ๆ คอพับไถลลากไปกับพื้นทราย กระอักเลือดแค๊ก ๆ เท่านั้นยังไม่พอเจ้าปีศาจทรายไจแอนท์ยังอุตส่าห์ตามมาเก็บงานของตน ด้วยการวิ่งปรี่เข้ามาใส่ง้างกำปั้นมาแต่ไกล หวังจะเผด็จศึกเขาด้วยหมัดขวาตรงไม่หลงติดยา!."ตรึมมม!!!".ชายหนุ่มวาร์ปตัวหลบหมัดดังกล่าวได้ราวกับปาฏิหาริย์ เขาโคตรจะงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงยังไงความสำคัญของการติดต่อหมอยูมิโกะให้ได้ ก็มีค่ามากกว่า จึงรีบวิ่งตื๋อหนีออกมาตั้งหลักให้ไกลขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อสูรกายจัมโบ้กำลังโงนเงนตั้งตัวเตรียมจะโจมตี
พื้นทรายรอบตัวทั้ง 360 องศาพุ่งทะยานขึ้นเป็นแท่งเสา มันโผล่พรวดเป็นลำ ๆ ขนาดสูงใหญ่ตระการตามากกว่าตึก 8 ชั้น เจฟเฟอร์ยืนขาแข็งทื่อแหงนมองมันจนคอเป็นเอ็น เขาตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก ไม่มีทางหนีไม่มีที่ซ่อน ทุกทิศทุกทางถูกล้อมไว้ด้วยแท่งทรายหลายสิบต้น การผุดขึ้นดังกล่าวทำให้เม็ดทรายบางส่วนกระเด็นหลุดออกมา ซึ่งกว่าจะหล่นลงสู่พื้นได้ก็ใช้เวลามากกว่า 10 วิบ่งบอกถึงความอลังการใหญ่ยักษ์ ด้วยสเกลที่เทียบได้กับภูเขากับเห็บหมา จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายพิการแขนขาดอย่างเจฟเฟอร์จะต่อกรกับมันได้."แสกนข้อมูลวิเคราะห์องค์ประกอบ"ชายหนุ่มสั่งการซุ่มเสียงสั่นเครือ.ทันใดนั้นภาพที่เห็นในมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ปรากฏเป็นเคอร์เซอร์กระพริบแป๊บ ๆ วิ่งไล่แสกนแท่งทรายต้นหนึ่งตั้งแต่บนยันล่าง ตัวเลขข้อมูลวิ่งยึกยืออยู่ริมจอรอการประมวลผล."เราอาจจะแค่กลัวไปเอง บางทีในแท่งทรายนั่นอาจจะมีตัวอะไรซ่อนอยู่ ตัวที่ใช้ทรายในการข่มขู่ศัตรูคล้ายกับหางของงูหางกระดิ่ง..".ชุดข้อมูลยังคงวิ่งต่อไป ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็สั่นรัวพอ ๆ กัน เขากำลังจะจมลงไปเรื่อย ๆ ด้วยผลพวงจากเม็ดทรายข้างบนที่หล่นลงมาทับถม."ติ๊ด! ๆ , ติ๊ด! ๆ
ตัดภาพกลับมายังชั้น 4 ด้านหลังผนังเมือกเจลกันอีกที หลังจากที่ได้สร้างความวินาศสันตะโรให้แก่ชั้นล่างมาอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ของเราก็เหมือนจะโดนเอาคืนบ้างซะแล้ว เพราะจู่ ๆ เจ้าโบกี้รถไฟอันเป็นยานพาหนะเพียงอย่างเดียวก็ชักจะเริ่มพยศ มันดันทะลึ่งทำความเร็วขึ้นเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งหรือทำอะไร ความเร็วดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบทำให้ล้อกระเด็นตกจากราง ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้เป็นแค่ผืนทรายราบ ๆ ไม่ได้มีความสูงชันเหมือนตอนที่ปล่อยรถลงมาสักหน่อย"เฮ่ย! เฮ่ย! เร็วไปแล้ว! ชักไม่สนุกแล้วนะเพื่อน เหวอ ๆ ๆ ".เจ้าหน้าที่แขนพิการแหกปากร้องลั่นแข่งกับเสียงล้อเหล็ก ที่กระเด้งกระดอนครูดกับรางอย่างผิดวิสัย ครั้นพอลองชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นแต่ประกายไฟเป็นเส้น ๆ แฉลบออกมาจากใต้ท้องเสียงดังอี๊ดดดดด! น่าเสียวไส้!."หมอ! แม่งไม่โอเคแล้วหมอ! โบกี้มันจะคว่ำก่อนไปถึงแล้วหมอ! ว๊ากกกก! อ๊ากกกก!!!".โบกี้เหล็กยังคงบดล้อเข้ากับราง มันวิ่งส่ายยึกยือไปมาฉวัดเฉวียนคล้ายกำลังจะเสียศูนย์ การเหวี่ยงแต่ละครั้งก็แทบจะทำให้ตัวถังพลิกคว่ำอยู่รอมร่อ บางจังหวะก็ถึงกับยกล้อลอยพ้นพื้นเอียงกระเท่เร่ชวนให้ลุ้นร