กระจัดกระจายจริง ๆ สมกับชื่อบท เพราะนอกจากจะบินเข้ามาโฉบเอาร่างของเจฟเฟอร์เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปตายแล้ว บนฟากฟ้ายังมีพวกมันอีกเป็นโขยง! ท้องฟ้าที่เคยสดใสแดดจัด ๆ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยฝูงแมลงวันเป็นล้าน ๆ ตัว
.
"อะไรกัน! พวกแกอีกแล้วหรอ!"
.
"หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "
.
"ฮู้ววว! ไม่รู้ยังไงเหมื่อนกันแต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาช่วย พาฉันลงไปข้างล่างที"
.
กลุ่มก้อนแมลงวันดำขลับเป็นขยุยกระจายตัวไปเกาะตามแขนขาแล้วก็เสื้อผ้า ก่อจจะค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พร้อมกันนั้นไฟสีเขียวในหูฟังก็เริ่มกระพริบปิ๊บ ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หางตาของเจฟเฟอร์ดันชำเลืองไปเจอเข้า เขาก็เลยมีความคิดที่จะดึงมันออกมาเช็ดดู จะได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่รึเปล่าที่เรียกพวกแมลงวันมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรเลย! จู่ ๆ หมู่ภมรอีกกลุ่มซึ่งอยู่อีกด้านของฟากฟ้าก็ชิงตัดหน้าเขาซะงั้น! พวกมันบินโฉบลงมาเป็นก้อนสีดำขนาดเท่าลูกบาส พุ่งมาที่ใบหูแล้วก็ดึงเอาหูฟังออกให้
.
ซึ่งพอวัตถุเล็กจิ๋วนั่นถูกส่งถึงฝ่ามือเท่านั้นแหละ ความฉิบหายก็บังเกิดทันที! คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย! หล่นกระแทกพื้นสิครับจะเหลือเหรอ
.
"ฟึบบบ! , หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "
.
"เฮ๊ย! เฮ๊ย! ไอ้พวกเวรอย่าเพิ่งไปสิ อย่าทิ้งฉันไว้กลางทางอย่างงี้! เหวอออออ เอาอีกแล้วกู หล่นอีกแล้วววววว! ย๊ากกก!"
.
"ตรึมมมมมม!"
.
หัวปักทรายขาชี้ฟ้าลำพังสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมย่ำแย่อยู่แล้ว ยังมาโดนกลุ่มแมลงวันหัวเขียวหักหลังเข้าให้อีก พวกมันบินหนีทิ้งหน้าที่ไปทันที เมื่อรู้ว่าหูฟังได้หลุดจากการเชื่อมต่อแล้ว นั่นจึงเท่ากับว่าวัตถุจิ๋วที่มีอยู่ข้างเดียวอันนี้แท้ที่จริงก็คืออุปกรณ์สำหรับใช้บังคับสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่อยู่ในดินแดนสนธยาแห่งนี้นี่เอง
.
"อูยยย..เจ็บ ๆ เป็นอย่างงี้นี่เอง เป็นของดีที่ช่วยเราได้จริง ๆ อย่างที่หมอยูมิโกะบอกสินะ.. โอยยยย อูยยยย"
"เรามันโง่เองที่เสือกรู้ตัวช้า แค่กลับด้านหน้าเป็นด้านหลังจากที่เคยเป็นแค่วิทยุหูฟังก็จะแปลงเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมฝูงแมลงวันได้ แล้วถ้าเป็นอย่างอื่นล่ะ! จะคอนโทรลได้หรือเปล่านะอยากลองดูจังแฮะ"
.
เจฟเฟอร์ยกมุมปากขึั้นฉีกยิ้ม เขาชันกายขึ้นเชื่องช้าด้วยสารรูปที่สุดแสนจะเวทนาและน่าสมเภช พลางจับหูฟังอันเดิมยัดคืนเข้าไปในรูหู ดวงไฟสีเขียวสว่างติ๊ด ๆ รอโหลดอยู่แป๊บนึงก็เสร็จสิ้นการ Connect ไม่จำเป็นต้องพูดจาใด ๆ เพียงแค่เริ่มกระบวนการคิดพวกแมลงวันก็วกกลับมาแสตนบายด์รอรับคำสั่งแล้ว
.
"หึ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ "
.
"ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพวกแกยังซ่อมใบหน้าให้ฉันได้ แขนขวานี้ก็คงซ่อมได้เหมือนกันใช่ไหม?"
.
"หึ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ "
.
"ถ้างั้นเอางี้.. คำสั่งแรกช่วยซ่อมแขนให้ฉันที!"
.
โดยไม่กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ เพียงแค่กัดฟันยืดแขนออกไป ฝูงแมลงวันกลุ่มใหญ่ก็รุมเข้ามาตอมหึ่ง ๆ ราวกับทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ พวกมันทั้งกัดทั้งแงะ ทั่งยิงแสงเป็นเส้นๆ ออกมาซ่อมแซมส่วนที่เสียให้
.
เจฟเฟอร์ฟินจนไม่รู้จะพูดยังไง แถมยังรู้สึกได้เลยว่าถ้าพวกแมลงมันทำได้ขนาดนี้อีกไม่นานดัชนีเลเซอร์ กับฝ่ามือพลัง Drain ของเขา ก็คงจะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งการให้พวกมัน ช่วยเคลียร์เม็ดทรายหลายสิบกิโลกรัม ที่หนักอึ้งอยู่ในร่างกายออกให้ด้วย
.
.
"เอาล่ะ.. ที่นี้ก็ตาแกบ้างล่ะนะเจ้าแซนดี้ ฉันได้พลังของเทพผู้สร้างมาแล้วมาลองดูกันหน่อยดีกว่าว่าฉันจะสั่งให้แกทำอะไรได้บ้าง หึ ๆ"
.
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่แขนกุดคนนี้แกไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน เขาเลือกที่จะยกอวัยวะทุกอย่างให้ฝูงแมลงวันรุมรักษาต่อไป ระหว่างนั้นก็เดินโซซัดโซเซย้อนกลับไปหาเจ้าอสูรกายแซนดี้อีกครั้ง หมายจะล้างอายที่เกือบตายเมื่อครู่ ด้วยการคิดบัญชีแค้นกับมันให้รู้แล้วรู้รอด!
.
ฝั่งเจ้ายักษ์ปักษ์หลั่นนั่นน่ะเหรอ โอ๊ย! พร้อมซะยิ่งกว่าพร้อม! มันหลอมละลายใบหน้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แขนขาองเอวอลังการบิ๊กเบิ้มจนคิดว่าน่าจะใหญ่ขึ้นกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ ระยะห่างตรงนี้ประเมินจากสายตาคงราว ๆ 50 เมตรได้ ในมุมมองของมัน ณ ตอนนี้เจฟเฟอร์แม่งละม้ายคล้ายปีศาจมากกว่าตัวมันเองซะอีก!
.
คนบ้านอะไรโดนหุ้มไว้ด้วยฝูงแมลงวันยึกยืออย่างกับใส่ชุดเกราะ! แล้วแต่ละตัวนะชอนไชยั่วะเยี่ยะไต่ขึ้นหน้าสยดสยองอย่างกับน้ำหนองโลงศพ เดาว่ามันคงคลื่นไส้ผสมกับสะอิดสะเอียนในความสกปรกดังกล่าวเอามากๆ เจ้าแซนดี้ก็เลยเอามือกุมท้อง! แอ่นตัวไปข้างหลัง! พลางสำลอกเอาทรายในกระเพาะอาหารออกมา!
.
"อ๊วกกกกกกกก!!!!!"
.
มวลทรายเหนืดเหนียวพุ่งเป็นสายออกมาราวกับท่อน้ำประปะแตก! ริมฝีปากแซนดี้ถ่างกว้างออก เรื่อยๆ ทีละนิดๆ ตามปริมาณทรายที่ทะลักล้นออกมาอย่างต่อเนื่องลากยาวววว! , โคร่งงงงงงงงง!!!!!! ปิดท้ายด้วยเสียงคำรามอันดังกึกก้องกัมปนาท! เดซิเบลที่ก่อเกิดทำเอาพื้นทรายข้างหน้า แตกระแหงแยกเป็นทางยาวเปรี๊ยะๆๆๆ! ตีคู่ขนานไปกับกระแสทรายข้างบนที่เพิ่งพ้นออกไปเมื่อครู่
.
แน่นอนว่าเป้าหมายมีอยู่คนเดียว....! เจฟเฟอร์ที่ตอนนี้เหลือแต่ตามองเห็นทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ต้น แต่เขากลับไม่คิดจะหนี สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ เจ้าหน้าที่หนุ่มต้องการจะโชว์ให้ศัตรูวัสดุก่อสร้างตนนี้รู้ว่าเขาเจ๋งกว่ามันมากๆ! และด้วยหูฟังสุดเทพที่หมอยูมิโกะให้มานี่แหละ เขาจะหยุดกระแสทรายที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาด้วยความเร็ว 200 กม./ช.ม. นี้ ด้วยมือเปล่าให้ดู!
.
รีบสอดนิ้วฝ่าฝูงแมลงวันเข้าไปกดปุ่มบนหูฟัง พลันออกคำสั่งในเสี้ยวอึดใจไปว่า
.
"หยุด! ทรายทั้งหมดจงกลับคืนสู่สภาพเดิม บัดเดี๋ยวนี้!!!"
.
"ฟิ้ววววววว~~!!!!"
.
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!! ตูม!! ตูม!! ตูมมมมม!!!
.
"ว๊ากกกกกกก! ทำไมมันไม่หยุดวะ ช่วยด้วยยยย ช่วยด้วยยยย! โอ๊ยยย! โอ่ยย!! โอ๊ยยยย!"
.
กลับกลายเป็นเขาที่ต้องหยุดความเชื่อโง่ๆ นี้สักที! ความมั่นใจบ้าๆ บอๆ ที่ไม่รู้จักระมัดระวังในการหาข้อพิสูจน์เกือบทำให้เอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เคราะห์ดีมากที่ยังมีพวกแมลงวันผู้ช่วยอยู่อีกเยอะ ในชั่วขณะจิตระหว่างที่ตกอยู่ในสถานการ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ก็ได้พวกมันนี่แหละที่รวมตัวกันหอบหิ้วเอาร่างของเจฟเฟอร์ พุ่งหนีขึ้นไปกลางอากาศได้ทันเวลาพอดี!
.
บางส่วนดึงเสื้อตรงหัวไหล่ ในขณะที่บางส่วนก็ตอมหึ่งๆ หนุนอยู่ที่พื้นรองเท้า ทำให้ภาพรวมในตอนนี้เจฟเฟอร์นั้นดูคล้ายกับเทพเจ้าลอยได้ ที่มีแสงเปล่งประกายออกมาจากฝ่าเท้าตลอดเวลาเลย (ถ้าไม่นับว่าเป็นฝูงแมลงวันหัวเขียว ที่โคตรจะสกปรกแล้วอ่ะนะ)
.
"บัดซบเอ๊ย! ทำไมมันไม่ยอมทำตามคำสั่งวะ เกือบตายห่าไปแล้วไหมล่ะ! ขอบใจพวกเอ็งมากนะที่ช่วยชีวิตฉันไว้อีกครั้ง"
.
" หึ่งๆๆๆๆ หึ่งๆๆๆๆ หึ่งๆๆๆ "
.
"สงสัยคงมีแค่แมลงวันพวกนี้ที่เราคอนโทลได้ เพราะงั้นต้องระวังไม่ให้หูฟังหลุดออกจากหูไม่งั้นจบเห่แน่! ถอยไปตั้งหลักให้ไกลกว่านี้หน่อยดีกว่า ตรงนี้มันใกล้เจ้ายักษ์มากเกินไป!"
.
ว่าแล้วสายลับหนุ่มอันดับหนึ่ง ก็หันหลังให้กับแซนดี้อีกครั้งแล้วก็เริ่มออกวิ่ง แต่งวดนี้กลับเป็นการวิ่งอยู่บนอากาศ! ทุกย่างก้าวที่เขากระโจนไปจะมีฝูงแมลงวันมาคอยหนุนเท้าเอาไว้ไม่ให้ตก มิหนำซ้ำแมลงบางส่วนยังบินมาพยุงหลัง พลางดึงเสื้อที่หัวไหล่เอาไว้ มองไกลๆ นี่จะรู้เลยว่าเสื้อของเจฟเฟอร์เหมือนมีการรั้งไว้ไม่ให้พลัดตก
.
"โว้ววววๆ โว้วววว! เบาหวิวเลยแฮะ วิ่งง่ายกว่าพื้นข้างล่างมากอ่ะ ต้องไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อยซื้อเวลาจนกว่าพวกแมลงจะซ่อมแขนของเราเสร็จ คราวนี้ล่ะมึงเอ๊ย! ไอ้ยักษ์แซนดี้! เดี๋ยวได้เห็นดีกัน! คอยดู!"
.
"ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!"
.
ทั้งเสียงฝีเท้ากับเสียงหัวใจเต้นรัวพอกัน! อาการประหม่าตื่นเต้น! นับจากตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ ช่วงนาทีนี้นับว่าระส่ำรัวที่สุดเลย เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เจฟเฟอร์เห็นถึงโอกาสที่ตนเองจะชนะ เขาวิ่งบนฟ้าออกห่างจากจุดปะทะมาตั้งหลักทางทิศตะวันตกร่วมๆ กิโลนึงเห็นจะได้ พลันรีบออกคำสั่งให้ฝูงแมลงวันที่เหลือ ช่วยกันซ่อมแขนให้เสร็จโดยเร็ว
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่านี่คือบ้านของมัน! คือโลกทั้งใบที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เต๋า สมชายเข็มกลัด ฉะนั้นแซนดี้มันจะทำอะไรก็ได้! แม้ว่ามันจะใช้การจุ่มมือลงกับทรายเพื่อดึงเหยื่อเข้ามาหาไม่ได้แล้ว! หรือจะตัดแขวนเขวี้ยงข้ามโลกเข้ามาใส่ก็ปามาไม่ถึง! แต่มันก็มีวิธีอื่นอยู่! นั่นก็คือ...!
.
"โครงงงงงงง!!!!"
.
"ตรึมมมมมมมม!!!!"
.
"จ้วง....จึก.....จ้วง.......จึก.......จ้วง.......จึก......จ้วง.......จึก!!!!"
.
Oh My God!!! สเต็ปลีลาอย่างกับ "ไมเคิล เฟ็ลปส์!" เมื่อเจ้าอสูรกายทรายบิ๊กเบิ้มตัดสินใจกระโดดพุ่งหลาวใส่พื้นทราย พลางจ้วงโสตกฟรีสไตล์ ซอยยิกๆๆๆๆ อย่างกับนักกีฬาโอลิมปิก!
.
.
ออปติคอลซูมในตาเจฟเฟอร์ คลี่ตัวถี่รัว เสียงกริ๊กๆ กรั๊กๆ ของมันบ่งบอกได้ว่าเจ้านายมันหวั่นใจกับสถานการณ์นี้แค่ไหน!
.
"ชิบหายแล้วไง! เร่งมือเข้าพวกเอ็ง!!! ขอให้ซ่อมแขนทันทีเถอะ...! สาธุ!"
"จ้วง!.. จึก!.. จ้วง!.. จึก!.. จ้วง!.. จึก!.. จ้วง!.. จึก!"."เฮืออออกกก!"."โคร่งงงงงง!!!".สโตคสุดท้ายมาพร้อมกับกงเล็บ ฝ่ามือทรายขนาดมหึมายักษาแยกออกเป็นแฉกบดบังดวงตะวันจนเกิดเงามืด มันกำลังจะตะปบลงมาใส่เจฟเฟอร์ ผู้ซึ่งบัดนี้ยังคงง่วนอยู่กับการรักษาแขนไม่จบไม่สิ้น."ไอ้หยา! ทำไมมันมาถึงเร็วจังวะ? แขนกูยังไม่เสร็จเลย เดี๋ยวดิ! อย่าเพิ่ง! อิ๊บก่อน!""ฮึบ!"."วืดดดดดดดด!".จั่วลมไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด! ลำตัวของแซนดี้แทบจะบิดเป็นเกลียวตามหลักฟิสิกส์โมเมนต์ตัม มันจึงรีบชักแขนกลับพลางรีบยืดช่วงล่างของตัวเองที่ฝังอยู่ใต้ทรายให้สูงขึ้นพ้นจากพื้น จนกลายเป็นอสูรกายบิ๊กเบิ้มในร่างเดิมแบบ Full version ตาต่อตาฟันต่อฟัน สองสิ่งมีชีวิตประจันหน้าเข้าหากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ."ฮู่ววว! เกือบหลบไม่พ้นไหมล่ะกู ถ้าไม่มีเจ้าแมลงพวกนี้ล่ะก็.. หึ่ย! ไม่อยากจะคิด!"."หึ่ง ๆ หึ่ง ๆ หึ่ง ๆ หึ่ง ๆ "."รักษาระยะห่างเอาไว้อย่าเข้าไปใกล้มาก ลอยอยู่บนฟ้าให้เท้าพ้นจากพื้นแบบนี้แหละดีแล้ว ส่วนใครที่รักษาอยู่ก็ให้รีบเร่งมือเข้า!"เจฟเฟอร์คิดในใจ ฝั่งฝูงแมลงเองก็ลงมือทำตามอย่างว่าง่าย.ณ ขณะนี้ชายหนุ่มกำล
กระจัดกระจายจริง ๆ สมกับชื่อบท เพราะนอกจากจะบินเข้ามาโฉบเอาร่างของเจฟเฟอร์เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปตายแล้ว บนฟากฟ้ายังมีพวกมันอีกเป็นโขยง! ท้องฟ้าที่เคยสดใสแดดจัด ๆ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยฝูงแมลงวันเป็นล้าน ๆ ตัว."อะไรกัน! พวกแกอีกแล้วหรอ!"."หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "."ฮู้ววว! ไม่รู้ยังไงเหมื่อนกันแต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาช่วย พาฉันลงไปข้างล่างที".กลุ่มก้อนแมลงวันดำขลับเป็นขยุยกระจายตัวไปเกาะตามแขนขาแล้วก็เสื้อผ้า ก่อจจะค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พร้อมกันนั้นไฟสีเขียวในหูฟังก็เริ่มกระพริบปิ๊บ ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หางตาของเจฟเฟอร์ดันชำเลืองไปเจอเข้า เขาก็เลยมีความคิดที่จะดึงมันออกมาเช็ดดู จะได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่รึเปล่าที่เรียกพวกแมลงวันมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรเลย! จู่ ๆ หมู่ภมรอีกกลุ่มซึ่งอยู่อีกด้านของฟากฟ้าก็ชิงตัดหน้าเขาซะงั้น! พวกมันบินโฉบลงมาเป็นก้อนสีดำขนาดเท่าลูกบาส พุ่งมาที่ใบหูแล้วก็ดึงเอาหูฟังออกให้.ซึ่งพอวัตถุเล็กจิ๋วนั่นถูกส่งถึงฝ่ามือเท่านั้นแหละ ความฉิบหายก็บังเกิดทันที! คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย! หล่นกระแทกพื้นสิครับจะเหลือเหรอ."ฟึบบบ! ,
ไหลพรืด ๆ อย่างกับบันไดเลื่อน ร่างอันอิดโรยของเจฟเฟอร์ไม่อาจต่อต้านเพราะดันเสร่อฝังตัวเองไว้ในทราย เป็นกรรมหรือความโง่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือเจฟเฟอร์แม่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ชัวร์ ๆ ตัวเขาลอยปลิวไปพร้อมกับทราย โดยมีพิกัดเป้าหมายอยู่ที่อุ้งตีนของเจ้าแซนดี้."อั๊ก! โอ๊ก! อั๊ก! แค็ก ๆ ใครจะไปรู้ว่ะว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย.. อั๊กกก! อึกกก!"."อุตส่าห์คิดว่าหลบพ้นแล้วแท้ ๆ ที่ไหนได้ดันโดนดึงเข้าไปหา อ๊วกกก! อั๊กกก! ตายห่าแน่กู!".หลับตาปี๋พลางรอจังหวะสูดลมหายใจเข้าเป็นระยะ ร่างหนาของเจ้าหน้าที่หนุ่มดำผุดดำว่ายจอมจมอยู่ในกระแสธารแห่งชะตากรรม เขาคาดเดาไม่ได้ว่าแต่นี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะลำพังแค่ประคองตัวไม่ให้สำลักทรายตายไปซะก่อนก็บุญแค่ไหนแล้ว.บางทีสาเหตุของเรื่องอาจเป็นเพราะเจ้าตัวนั้นชะล่าใจเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่เจฟเฟอร์เพิ่งจะกลบทรายฝังตัวเองใหม่ ๆ เขาก็เอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเจ้ายักษ์แซนดี้มันมีท่าทีแปลก ๆ เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่ามันคงจะหาเขาไม่เจอ ก็เลยถอดใจก้มหน้าก้มตาเงินงกพลางเอาแขนจุ่มลงไปในพื้นทรายคล้ายกับว่าจะยอมแพ้แต่ที่ไหนได้เจฟเฟอร์ดันคิดผิด! เพราะชั่วพริบตาหลังจา
"ไม่ทันแล้วหมอ มันฟาดลงมาแล้ว อร๊ากกกกก!!!".เจฟเฟอร์ร้องลั่นเขายกมือขึ้นค้ำแม้จะรู้ดีว่าเป็นดั่งไม้ซีกงัดไม้ซุง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพราะท่วงท่าแต๋วแตกดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวยังคงมีชีวิตรอด เมื่อหมอยูมิโกะที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปลายสายได้ใช้ปฏิิภาณไหวพริบตะโกนสวนออกไปว่า."Drain!!!"มันดังซะจนเจฟเฟอร์คิดว่าแก้วหูตัวเองคงแตก มันดังจนลอดผ่านหูฟังออกมาแล้วก็ไปรันเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายในของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม.เพียงเสี้ยวอึดใจวินาทีที่ฝ่ามือทรายใหญ่เบิ้มกำลังจะบดขยี้ร่างอยู่รอมร่อ ฝ่ามือของเจฟเฟอร์ก็จมบุ๋มลงไปเป็นหลุม แล้วพลังลมดูดอันเชี่ยวกราดก็เริ่มทำงาน มันดูดเอาเม็ดทรายมากมายเข้ามาเก็บไว้ในตัว กระบวนการทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เจฟเฟอร์ทำกับก้อนความคิดผู้คนเป๊ะ ๆ ฝ่ามือเขาดูดด๊วบ ๆ สูบเอาทรายเป็นตัน ๆ เข้ามา ส่งผลให้อวัยวะของเจ้าปีศาจยักษ์เริ่มจะมีสภาพเว้าแหว่งเจียนอยู่เจียนไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่มือแต่รวมไปถึงขาด้วย การ Drain อันยอดเยื่ยมทำให้ขาของมันเสียการทรงตัว พลันล้มตรึงลงหงายท้องหงายไส้."ตรึมมมมมมมม!".แต่ทว่ากับแขนขวาของเจฟเฟอร์นี่สิ ที่ลักษณะดูไม่ดีเอาซะเลย เจ้า
ร่างหนาค่อย ๆ กระเถิบตัวเองถอยห่างออกมาจากส้นตีนทรายเล็กน้อย พลางดึงหูฟังไร้สาย (ข้างเดียว) ที่หมอยูมิโกะให้มาตั้งแต่ตอนแรกออกมาเช็คดู เขาทั้งตบทั้งตีแล้วก็เคาะมันสลับกับการพูดขอความช่วยเหลือแบบกระซิบกระซาบ."ฮัลโหล! หมอ! ได้ยินผมไหมหมอ! ช่วยผมด้วย..".เงียบสนิทไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ กลับมา มิหนำซ้ำการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงดังกล่าว ยังไปเรียกเอาบาทาของเจ้ายักษ์บิ๊กเบิ้มเอาเข้าให้."เหี้ยเอ๊ย! มันยกขาเตรียมจะกระทืบกูอีกดอกแล้ว! ย๊ากกกก!"."ฮึบ!!!".คราวนี้ไม่รอดลำตัวของเจฟเฟอร์โดนฝ่าเท้าทรายใหญ่ยักษ์อัดเข้าเต็มลำ ตัวเขากลิ้งหลุน ๆ คอพับไถลลากไปกับพื้นทราย กระอักเลือดแค๊ก ๆ เท่านั้นยังไม่พอเจ้าปีศาจทรายไจแอนท์ยังอุตส่าห์ตามมาเก็บงานของตน ด้วยการวิ่งปรี่เข้ามาใส่ง้างกำปั้นมาแต่ไกล หวังจะเผด็จศึกเขาด้วยหมัดขวาตรงไม่หลงติดยา!."ตรึมมม!!!".ชายหนุ่มวาร์ปตัวหลบหมัดดังกล่าวได้ราวกับปาฏิหาริย์ เขาโคตรจะงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงยังไงความสำคัญของการติดต่อหมอยูมิโกะให้ได้ ก็มีค่ามากกว่า จึงรีบวิ่งตื๋อหนีออกมาตั้งหลักให้ไกลขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อสูรกายจัมโบ้กำลังโงนเงนตั้งตัวเตรียมจะโจมตี
พื้นทรายรอบตัวทั้ง 360 องศาพุ่งทะยานขึ้นเป็นแท่งเสา มันโผล่พรวดเป็นลำ ๆ ขนาดสูงใหญ่ตระการตามากกว่าตึก 8 ชั้น เจฟเฟอร์ยืนขาแข็งทื่อแหงนมองมันจนคอเป็นเอ็น เขาตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก ไม่มีทางหนีไม่มีที่ซ่อน ทุกทิศทุกทางถูกล้อมไว้ด้วยแท่งทรายหลายสิบต้น การผุดขึ้นดังกล่าวทำให้เม็ดทรายบางส่วนกระเด็นหลุดออกมา ซึ่งกว่าจะหล่นลงสู่พื้นได้ก็ใช้เวลามากกว่า 10 วิบ่งบอกถึงความอลังการใหญ่ยักษ์ ด้วยสเกลที่เทียบได้กับภูเขากับเห็บหมา จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายพิการแขนขาดอย่างเจฟเฟอร์จะต่อกรกับมันได้."แสกนข้อมูลวิเคราะห์องค์ประกอบ"ชายหนุ่มสั่งการซุ่มเสียงสั่นเครือ.ทันใดนั้นภาพที่เห็นในมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ปรากฏเป็นเคอร์เซอร์กระพริบแป๊บ ๆ วิ่งไล่แสกนแท่งทรายต้นหนึ่งตั้งแต่บนยันล่าง ตัวเลขข้อมูลวิ่งยึกยืออยู่ริมจอรอการประมวลผล."เราอาจจะแค่กลัวไปเอง บางทีในแท่งทรายนั่นอาจจะมีตัวอะไรซ่อนอยู่ ตัวที่ใช้ทรายในการข่มขู่ศัตรูคล้ายกับหางของงูหางกระดิ่ง..".ชุดข้อมูลยังคงวิ่งต่อไป ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็สั่นรัวพอ ๆ กัน เขากำลังจะจมลงไปเรื่อย ๆ ด้วยผลพวงจากเม็ดทรายข้างบนที่หล่นลงมาทับถม."ติ๊ด! ๆ , ติ๊ด! ๆ