LOGINกัดฟันซีดริมฝีปากอยู่นานนม กระแสลมพัดหอบเม็ดทรายเข้ามาปะทะร่างอย่างต่อเนื่อง แต่ครานั้นสายลับหนุ่มก็ยังคงครุ่นคิด เขายังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ารางรถไฟจมหายไปไหน ออปติคอลซูมในม่านตาพยายามแสกนหาจนเบ้าตาร้อนฉ่าควันขึ้นโขมง แต่ทว่าผลที่ออกมากลับไม่พบอะไรเลย เทคโนโลยีระดับสูงที่พึ่งพาได้มาตลอด ณ ตอนนี้กลับแยกสสารที่เป็นโลหะออกมาจากมวลทรายไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าสมเพชสิ้นดี
.
"บัดซบเอ๊ย! ตากู! ร้อนวุ๊ย! ร้อนนนน!"
.
เจฟเฟอร์รีบผินหน้าหลบไปทางอื่น พลางใช้ฝ่ามือโบกพัดให้เลนส์ออปติคอลที่ทำงานมาอย่างหนักค่อย ๆ เย็นตัวลง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นจากที่พิการแขนขาดอยู่แล้ว ดวงตาก็อาจจะบอดตามได้
.
"ฮู่วววว.. เอาไงต่อดีวะกู ในเมื่อดวงตาก็ต้องพักแบบนี้ อย่าบอกนะว่ากูต้องงัดทักษะสมัยเป็นละอ่อนออกมาใช้ บร๊ะ! 10 กว่าปีเลยมั้งที่ไม่ได้ใช้มันเลย"
.
ชายเสื้อสะบัดพับวูบไหว ลมแรงที่พัดโอบรัดกายาพลันให้ตั้งคำถามในชั่วขณะจิตขึ้นว่า หมอยูมิโกะสร้างของพวกนี้ได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลเลย โลกหลังเมือกเจลตึ๋งหนืดกินพื้นที่เพียงแค่ 70% ของชั้น 4 บนอาคาร Parallel เท่านั้น แล้วเงยหน้าขึ้นดูขอบฟ้ากับผืนทรายที่เหมือนจะไม่มีที่สิิ้นสุดนี่สิ Holy shit! มันเป็นไปไม่ได้! นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง!
.
แล้วจู่ ๆ ขณะที่กำลังยืนเท้าสะเอวบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ถ้อยคำบางคำที่พล่ามออกมาเมื่อครู่กลับทำให้เจฟเฟอร์ฉุดคิด เขารีบวิ่งจุ๊บจั๊บ ๆ จ้วงเท้าลงไปในพื้นทราย ย้อนศรกลับไปยังจุดทิ้งซากศพของเจ้าปีศาจทรายแซนดี้อีกครั้ง พลางนั่งยอง ๆ ลงแล้วก็ใช้มือขุด ๆ ๆ คุ้ยเขี่ยหาความจริงด้วยความตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่วุ่นอยู่กับการต่อสู้ จึงลืมเรื่องความสมมาตรกันของวัตถุในโลกคู่ขนานไปซะสนิท ทะเลทรายแห่งนี้ต้องมีทีี่สิ้นสุดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในทำนองเดียวกันกับห้องพยาบาลบนชั้น 4 ที่มีทั้งผนัง มีกำแพง แล้วก็มีพื้นเป็นกระเบื้อง
.
ผลพวงจากการลงมือขุดอันเข้มข้น ทำให้เจฟเฟอร์จำไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่คือหนึ่งในครอสฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่ภาคสนามแห่ง Parallel ศัพท์เฉพาะที่รู้กันภายในเรียกมันว่า "Endtrace!" แปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือ "ทักษะการแกะรอยโดยไม่ง้อเทคโนโลยี"
.
เหตุผลก็เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีทางทราบได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทุกคนถูกฝึกให้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อันล้ำสมัยก็จริง แต่พวกเขาก็ต้องฝึกในโหมดดิอันปลั๊กคู่กันไปด้วย การคิดแบบสัตว์ถือเป็นสิ่งจำเป็น สัญชาตญาณการล่าเหยื่อ รวมไปถึงทักษะการหาอาหาร ต้องงัดออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ซึ่งดูเหมือนว่าเจฟเฟอร์เองก็กำลังใช้มันอยู่
.
ติดกับแผ่นหลังคือร่างมหึมาใหญ่ย้ำค้ำฟ้าของเจ้าแซนดี้ที่แข็งโป๊กกลายเป็นหิน เจฟเฟอร์เคยกลัวมันมากจนถึงขนาดแผดเสียงกรี๊ดเป็นอีตุ๊ดมาแล้ว แต่ ณ ตอนนี้วินาทีนี้บอกได้เลยว่าไอ้ยักษ์นี่ก็แค่ทิวเขาสำหรับบังแดด มันหมดพิษสงไปนานแล้ว และสายลับหนุ่มของเราก็น่าจะให้ความสำคัญกับการแกะรอยหาความจริงมากกว่า
.
มือเปล่าที่เหลืออยู่ข้างเดียวก็เลยตั้งหน้าตังตาจ้วงขุดทรายต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ระดับความลึกที่ประมาณ 3 ฟุต เจ้าตัวก็เริ่มออกอาการหน้าเสีย หัวคิ้วยู่เข้าหากันคล้ายกำลังตกใจกึ่งสังสัยอยู่ในที
.
"บะ.. บ้าน่ะ! นี่หมอคิดจะเล่นแบบนี้จริง ๆ เหรอ!"
"ทำไมมันไม่จบไม่สิ้น! ทรายมันเพิ่มจำนวนขึ้นเองทุกครั้งเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวการที่คอนโทรลพวกมันแม่งนอนตายกลายเป็นหินอยู่หลังผมเนี่ยะ!"
.
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันฝ่ามือขึ้นแล้วก็เรียกโหมดการ Drain ออกมาใช้ ในเสี้ยวอึดใจฝ่ามือเขายุบตัวลงเป็นหลุมโบ๋ เสียงเครื่องยนต์กู่ก้องร้องคำราม ไม่นานลมดูดมหาศาลก็เริ่มทำหน้าที่ ซึ่งแน่นอนว่าเจฟเฟอร์ก็รีบหันมันเข้าใส่หลุมตื้น ๆ ที่เขาขุดค้างไว้โดยพลัน
.
อย่าหาว่าโกงเลยเพราะเขาขุดไม่ไหวจริง ๆ เม็ดทรายมากมายพุ่งเข้ามาในฝ่ามือราวกับเครื่องดูดฝุ่น แต่สิ่งที่ชวนคิดและน่าประหลาดใจสุด ๆ ก็คือ ทำไมถึงไม่มีพื้นกระเบื้องโผล่มาให้เห็น ทั้ง ๆ ที่นี่คือตึกชั้น 4 ของอาคาร Parallel เหมือนกัน ลองดูดเอาทรายออกไปมากมายขนาดนี้ยังไงซะก็ต้องเห็นพื้นกระเบื้องที่เป็นโครงสร้างหลักบ้างสิ แต่นี่ไม่มีเลย!
.
"ติ๊ด! , แกร็กกก ๆ ๆ "
.
เจฟเฟอร์ตัดสินใจสั่งให้ฝ่ามือยุติการทำงานชั่วคราว เขาถึงกับยืนขึ้นลูบคางประมวลผลความน่าจะเป็นดูใหม่ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดผิด แนวคิดของเขาไม่เป็นไปตามสมมติฐานซะแล้ว มันคล้ายกับว่าโลกทั้งสองด้านไม่ได้เชื่อมต่อกัน ซ้ำร้ายที่ดวงตาทั้งสองข้างก็ดันเป็นพยานปากสำคัญให้แก่แนวคิดนี้ไปซะอีก
.
แต่เดี๋ยวก่อน! ดูเหมือนว่าจะเป็นหนที่สองของตอนนี้แล้วมั้ง ที่เจฟเฟอร์ดันฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้จากคำพูดลอย ๆ ของตัวเอง คราวนี้เขาเลยเลือกที่จะโฟกัสไปที่ "ดวงตา" ในทำนองที่ว่า
.
"ถ้าเป็นแค่ที่ตาเราล่ะ เพราะตาเราไม่ใช่เหรอที่เห็นทุกอย่างเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ บางทีตอนที่เราสลบไปทีแรก หมอยูมิโกะอาจจะทำอะไรกับเลนส์ตาของเราก็ได้นี่หว่า ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง!"
.
.
มือหนาเริ่มคืบคลานจากปลายคางขึ้นมาจรดสันจมูก เจฟเฟอร์กางนิ้วทั้ง 5 ออกจนสุดเหยียด ชนิดที่แทบจะปิดมิดชิดไปทั้งใบหน้า ก่อนจะกลั้นใจเปล่งเสียงคำสั่งออกมาด้วยใจหวีดหวิว
.
"D.. D.. Drain!"
.
"วี๊ดดดดด! วีดดดดด! วีดดดดด! วีดดดดด!"
.
โอ้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ! แม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการอย่างเจฟเฟอร์ก็ยังไม่เคยเห็น ตัวอักษรกับชุดตัวเลขมากมายนี่ผุดปุด ๆ ออกมาจากลูกกะตาราวกับหัวสิว มันไม่เจ็บหรอกแต่มันตกใจ ลักษณะมันคล้ายกับโค้ดภาษาซีของพวกโปรแกรมเมอร์ที่ทั้งชีวิตมีแต่เลข 0 กับเลข 1 มิหนำซ้ำยังลอยยึกยือเข้ามาใส่ฝ่ามืออย่างต่อเนื่องมิหยุดหย่อน
.
กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ทุกอย่างถึงเรียบร้อย เล่นเอาสายลับหนุ่มของเราถึงกับเป่าปาก เขาหลับตาลงขยี้เปลือกตาต่ออีกสักพัก ก่อนจะค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยความตื่นเต้น
.
"ซีดดดด! นั่นไงกูคิดไว้แล้วไม่มีผิด! เตียงผ่าตัดเอย โต๊ะทำงานเอย อ่างล้างอุปกรณ์ก็อยู่ ฝาผนังอยู่สุดฟากกระโน้นไม่ไกลเท่าไหร่นัก ทุกอย่างอยู่ครบเหมือนชั้น 4 ตามปกติเป๊ะ! แม้แต่พื้นกระเบื้องที่กูเหยียบอยู่นี้ก็ใช่!"
.
"หึ ๆ ผมไม่ใช่เสนาหอยในรายการ The Mask singer หรอกหมอ แต่ผมมาถูกทางแล้วจริง ๆ "
"อีกอย่างผมว่าหมอประเมินทักษะการแกะรอยของผมต่ำไปนะ บอกตรง ๆ "
.
รอยยิ้มแกมประชดประชันปรากฏขึ้นที่มุมปาก เจฟเฟอร์ผงกหัวหงึก ๆ ตามติดมาด้วยการขึ้นเสียงตะโกนใส่แบบไม่ไว้หน้า!
.
"เปิดเผยตัวออกมาซะดี ๆ อีหมอเวร! มึงทำแบบนี้กับกูทำไม! กูเกือบตายเพราะสิ่งที่มึงใส่ไว้ในเลนส์ตากูเนี่ยะ! ถ้าจะไม่ช่วยก็บอกกันดี ๆ สิวะ สัดเอ๊ยยย! จะตอแหลเพื่อ!? ไหนจะเรื่องโรงงาน.."
.
"ฟึบบบ~!"
.
ยังด่าไม่จบประโยคดีเลย ในชั่วขณะจิตเจฟเฟอร์ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติบางอย่าง เพราะภาพจากโลกข้างนอกมันกระพริบขึ้นมาให้เขาเห็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น การซ้อนทับกันของโลกทั้งสองฝั่งเกิดเป็นภาพซ้อนขึ้นในหัวของเขา มันตัดสลับกันไปมาฉึบฉับรุนแรงจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร!
.
ภาพภูเขาหินแซนดี้นอนตะแคงตายกลางทะเลทรายย้อนกลับมาใหม่ แสงสีขาวคล้ายกับแฟลชถ่ายภาพกระพริบพรึบพรับ! ตัดฉับไปมาสลับกันกับเตียงผ่าตัดในห้องชั้น 4 ซึ่งพอเจอแบบนี้ติด ๆ กันหลายทีเข้าเจฟเฟอร์ก็ชักจะแย่ ขอบตาเขาบวมปูดเต็มไปด้วยรอยเขียวคล้ำ หากมองลึกเข้าไปข้างในแก้วตาจะเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยสีแดงฉาน วิ่งสานกันไปมายึกยือราวกับพยาธิตัวตืด
.
"โอ๊ย! ตา! ตากูเป็นเหี๊ยะไรขึ้นมาอีกแล้วเนี่ยะ! อ่ะ.. อ๊ากกก! โอ๊ยยย!"
"เออยอมแล้ว! ไม่ออกไปแล้ว! พอแล้ว! มันแสบตาโว๊ยยย! หยุดซะที! อ๊ากกกก!"
.
มือกุมหน้านั่งคุกเข่าลงร้องแหกปากวิงวอนกึ่งขอร้อง แต่ก็ไม่มีใครสน! หมอยูมิโกะไม่ได้ยินรึไงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าดันเป็นตัวเจฟเฟอร์ซะเองที่เป็นคนหยุดวิกฤตกาลดังกล่าว ด้วยวิธีการอันเรียบง่ายที่ไม่มีใครคาดถึง นั่นก็คือการกำหนดลมหายใจ ตั้งสติ แล้วก็หลับตาลง
.
พอม่านตาได้พักแป๊บเดียวความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ ทุเลาลงไปจนหายเป็นปกติ สายลับหนุ่มจึงค่อย ๆ กัดฟันแง้มเปลือกตาตัวเองขึ้นช้า ๆ อีกครั้ง ถึงได้พบว่า ณ ปัจจุบันขณะเนื้อตัวของเขาได้ย้อนกลับมาจองจำอยู่ในทัณฑสถานหลังเมือกเจลตึ๋งหนืดตามเดิม
.
"เวรเอ๊ย! สุดท้ายก็กลับมาที่เดิมแย่ชะมัด!"
"งั้นก็แปลว่าหมอไม่ยอมสินะ ยังไงซะผมก็ต้องเล่นไปตามเกมของคุณใช่ไหมหมอยูมิโกะ?"
"โอเคเอางั้นก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่ขนมที่คุณจะเคี้ยวกินได้ง่าย ๆ หรอกนะ"
.
น่าแปลกที่เจฟเฟอร์ไม่โกรธกริ้วอย่างที่พวกเราคิด ตรงกันข้ามเขากลับดูสุขุมนุ่มลึกผิดบุคลิกไปอย่างชัดเจน แถมยังเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปหาซากศพของเจ้าแซนดี้โดยไม่รู้วัตถุประสงค์อีก
.
"การฝึกแกะรอยแบบ "Endtrace!" ทำให้ผมได้ทักษะนี้มาครับหมอ ดวงตาของพวกเราหน่วยภาคสนามจะเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า เมื่อกี้ตอนที่ภาพมันตัดไปตัดมา ผมเห็นแล้วแหละว่ามีรางรถไฟฝังอยู่ข้างล่างนี่ที่ระดับความลึก 4.75 เมตร ซึ่งผมขุดไม่ไหวหรอกครับสาบานได้ ครั้นจะให้ Drain เอาทรายออกไปพ่อผมก็ไม่ใช่ชูชก กว่าจะเคลียร์เส้นทางได้หมดกระเพาะผมคงแตกตายไปซะก่อน"
.
"แต่หมอไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับ เพราะยังไงซะเราก็ต้องได้เคลียร์เรื่องนี้กันข้างนอกแน่ ผมเพิ่งคิดกลวิธีนี้ออกเมื่อกี้นี่เองหึ ๆ"
.
เจฟเฟอร์หยุดกึกลงตรงหน้าซากศพเจ้าแซนดี้ที่แข็งประดุจหินผา ลำขาของเขาจมทรายลงไปมากกว่าครึ่งแข้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายชายต้องรู้สึกถึงความกังวลใด ๆ เขาโดนมาเย๊อะเจ็บมาเย๊อะพอ ๆ กับสมจิตร จงจอหอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจฟเฟอร์กำลังจะทำต่อไปนี้ จึงเป็นอะไรที่ชิวโคตร ๆ
.
"หมวดจู่โจม Swith On!"
.
"วี๊ดดดดด! แกร็ก ๆ แกร๊ก ๆ"
.
"ล็อคเป้าพิกัด 30.2 องศา 20 ลิปดา 15 พิลิปดาเหนือ"
.
"ยิง!!!"
.
"จิ้ววววว~!"
.
เป็นท่วงท่าการยิงแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการยิงปืนขึ้นฟ้าของพี่เสก โลโซ เจ้าหน้าที่ภาคสนามจำได้แม่นว่าตอนที่ภาพมันตัดออกไปข้างนอกแป๊บนึงนั้น เขาได้สังเกตเห็นเจ้าสิ่งนี้วางอยู่บนพื้นพอดี ก็เลยแอบบันทึกพิกัดเอาไว้ ต่างกันตรงที่พอกลับเข้ามาในนี้แม่งเสือกมีแต่ทราย มองไปทางไหนก็โล่งเตียนเสมอกันไปหมด แลนด์มาร์คเดียวที่พอจะยึดเป็นจุดอ้างอิงได้ ก็เห็นจะมีแต่ร่างไร้วิญญาณที่ใหญ่โตราวกับภูเขาของเจ้ายักษ์แซนดี้เท่านั้น
.
แผนของเขาจึงเป็นการยิงกระสุนออกไปกลางฟากฟ้า ให้มันพุ่งโค้งลงไปหาเป้าหมายเองตามพิกัดที่ตั้งไว้ (ซึ่งแน่นอนว่าอยู่ใต้พื้นทราย) พอเลเซอร์เข้าปะทะปุ๊บ เจฟเฟอร์ก็จะรีบตรงไปเก็บของทันที จะได้ไม่เสียเวลางมเข็มในมหาสมุทรเช่นเดิมอีก
.
คือสามารถพ๊อยท์เท้ายืนรอชิว ๆ แล้วก็เอาซากเจ้ายักษ์แซนดี้เป็นที่บังแดดได้เลย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด! กระสุนเลเซอร์อ่ะแม่งพุ่งขึ้นฟ้าจริง แต่มันเสือกไม่วิ่งตื๋อส่ายยึกยือไปที่ไหนเลย จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญที่อัปรีย์ที่สุดในสามโลกก็ว่าได้ เพราะพิกัดอ้างอิงที่เจฟเฟอร์ใส่ไป ดันเป็นตำแหน่งเดียวกันกับจุดที่เขายืนอยู่เป๊ะ! แล้วของที่ต้องการนักหนาก็ดันจมอยู่ใต้ตีนเจ้ายักษ์แซนดี้ซะอย่างงั้น!
.
เลเซอร์ลำเขื่องค่อย ๆ โค้งตัวลงเป็นกราฟพาราโบล่า ผนวกรวมเข้ากับแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ Vextor cortex จากแรงโน้มถ่วงโลก ทำให้เกิดเป็นมวลพลังงานมหาศาล มันพุ่งตรงปักหัวลงมาใส่ร่างหินผาของเจ้าแซนดี้แบบเต็มเปาเสียงดัง
.
"โครมมมมมม!"
.
กระสุนเจาะเข้าสีข้าง ทะลุตับม้ามเส้นเอ็นลงสู่พื้นทรายด้านล่างเป็นรูเบ้อเร่อ และด้วยความที่เจ้าแซนดี้มันนอนตายในท่าตะแคง ตัวมันก็เลยหักครึ่ง! หัวไปทาง! ขาไปทาง! จากที่เจฟเฟอร์จะให้มันแข็งตายอย่างทรมาน สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเขาซะเองที่แทบจะพิการไปตลอดชีวิต
"เหวอ! เหวอ! ก้อนหิน! , ฮึบ!!!"
.
"มันล้มครือลงมาแล้ว..ว.. ว.. ว๊ากกกกก!"
ตลกแล้วที่คิดว่าแซนดี้หมดสภาพ ขนาดตายไปแล้วมันยังไว้ลายด้วยการสร้างภาพความอับอายให้แก่เจฟเฟอร์ไม่หยุดหย่อน สายลับหนุ่มวิ่งหนีหน้าตั้ง ทั้งหกล้มกลิ้งหลุน ๆ เป็นขนุนหนังเพียงเพื่อต้องการที่จะหนีเทือกเขาที่กำลังถล่มลงมาใส่
.
ร่วม 3 นาที ทีเดียวกว่ามันจะหยุด ทุกอย่างสงบลงเหลือไว้แต่ฝุ่นผงกับละอองทรายที่คละคลุ้งขึ้นมาตามแรงกระแทก หลายเม็ดลอยเข้าตาทำให้เจฟเฟอร์ต้องหรี่ตาไว้ตลอด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่ เขายังคงมุ่งหน้าสานงานตามหาของสำคัญต่อไป แล้วในที่สุดก็ได้พบ! วัตถุชิ้นเล็กจิ๋วที่มีอยู่แค่ข้างเดียว แสงสะท้อนจากโลหะมันวาวทำมุมหักเหแสงกับดวงอาทิตย์วิ๊ง ๆ ดุจดั่งกำลังกวักมือเรียกเจ้าของให้เอามันกลับขึ้นไป
.
"ฮู่วววววว! เจอสักทีอยู่ลึกเหมือนกันนะนั่น เอาซะกองอยู่ก้นหลุมเลย!"
.
ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเสร็จ เจฟเฟอร์ก็เริ่มป่ายปีนขึ้นไปบนซากปรักหักพังอันเป็นอดีตของเจ้ายักษ์แซนดี้ มันเละไม่มีชิ้นดี ชิ้นส่วนกระจัดจายจนละม้ายคล้ายกับสวนหินซาเซ็นในวัฒนธรรมญี่ปุ่น จนกระทั่งปีนขึ้นมาถึงปลายยอดสูงสุด ในจุดที่คิดว่าใช่และเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน เจฟเฟอร์ถึงเริ่มกระบวนการของเขาต่อ
.
"ใครจะเสียเวลาปีนลงไปให้โง่ สู้ดูดขึ้นมาใส่มือเลยง่ายกว่า"
.
"Drain!!!"
.
ชั่วพริบตาหลังเปล่งเสียง วัตถุที่ต้องการก็สั่นระริกลอยละลิ่วปลิวละล่องขึ้นมาจากก้นหลุมเข้าสู่อุ้งมือได้ดั่งใจปรารถนา แล้วก็ไม่รอช้าให้เสียเวลา เจฟเฟอร์รีบยัดมันคืนใส่รูหูทันที ใช่แล้ว! มันคือหูฟังที่เจ้าตัวพลาดทำตกไว้เมื่อหลายตอนก่อนนั่นเอง ด้วยอำนาจของมันแค่อันเดียวการตามหารางรถไฟสายยาวก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
.
และระหว่างที่รอโหลดสัญญาณเชื่อมต่อข้อมูลกับพวกแมลงชีวะมวลอยู่นั้นเอง จู่ ๆ นัยต์ตาของเจฟเฟอร์ที่เล็กหรี่หลบละอองฝุ่นอยู่ ก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า มันเป็นภาพลาง ๆ วูบวาบ ๆ ขึ้นมาตรงแถว ๆ ขอบฟ้า
.
"เชี้ย! อะไรวะน่ะ? เหมือนหลังคาเลย? หรือว่าจะเป็นโรงงาน เวรเอ๊ย! หายแว๊บไปแล้ว"
"คลื่นแทรกงั้นเหรอ สัด! นี่หมอยูมิโกะแม่งทำอะไรกับลูกกะตากูอีกวะเนี่ยะ!"
.
เป็นจริงอย่างที่เขาบ่น เพราะถึงแม้จะ Drain เอาโค้ดต่าง ๆ ออกจากเลนส์ตาไปแล้ว แต่มันก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ชุดข้อมูลบางตัวที่ยังคงเหลืออยู่นำเจฟเฟอร์ย้อนกลับมาที่นี่ ก็เลยเป็นสาเหตุให้เกิดภาพซ้อนระหว่าง 2 โลกขึ้นในสมองของเขา
.
"ไม่ ๆ ๆ ! สติ! สติ! ต้องตั้งสมาธิเอาไว้ ใจเย็น ๆ หน่อยสิไอ้เจฟ!"
.
ร่างหนารีบกดศีรษะลงต่ำก้มหน้าลงเลิกสนใจมอง พลางใช้นิ้วมือขยี้เปลือกตาให้ความระคายเคืองจางหาย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นใหม่ เพื่อย้อนกลับไปมองอีกทีว่าภาพสิ่งปลูกสร้างที่แว๊บเข้ามาเมื่อครู่ ยังคงอยู่ดีรึเปล่า?
.
แต่ทว่า!
.
ภาพที่เจ้าตัวเห็นอยู่เบื้องหน้า กลับกลายเป็นการรวมตัวกันของพวกแมลงวันนับล้าน ๆ ที่ตีปีกส่งเสียงหึ่ง ๆ ดังกึกก้องไปทั่วเวิ้งฟ้า มิหนำซ้ำยังแอดวานซ์ขึ้นไปอีกขั้นเมื่อพวกมันเริ่มเกาะกลุ่มกัน แปลงรูปร่างให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอเหมาะ แล้วสอดตัวลงมาแนบกับฝ่าเท้า
.
"เดี๋ยวนะ! เดี๋ยวก่อน! เมื่อกี้กูแค่พูดว่าให้ตั้งสติรวบรวมสมาธิ ไม้ได้จะเล่นโยคะโว่ย! ไม่ต้องทำเสื่อปูให้กู! นี่พวกมึงเห็นกูเป็นอาละดินรึไงฟะ? ไอ้พวกเวร!"
.
ทำฟอร์มแกล้งต่อว่าไปงั้นแหละ เพราะจริง ๆ แล้วเจฟเฟอร์คิดถึงพวกมันแทบขาดใจ ดูได้จากการก้าวขึ้นไปนั่งบนพรมจุลชีพอย่างว่าง่ายก็รู้
.
"ว่าแต่พวกเอ็งรู้ใช่ไหมว่าโรงงานไปทางไหน"
ตะแคงแหย่เย็ดกลีบผกาอยู่ร่วมนาทีนารีก็รับสภาพ หนังหีตรงหลืบถ้ำขององค์หญิงโดนดุ้นมังกรลำเขื่องปลุกปล้ำจนช้ำแดงเป็นปื้น ไนฟ์ขยำรัดเต้านมนวลน้อยของเธอชอกช้ำเป็นรอยฝ่ามือ ไหนจะคมเขี้ยวที่ฝากเอาไว้บนไหล่ซึ่งเต็มไปด้วยการแทะเล็มโลมเลียนั่นอีก มันไม่นุ่มนวลเอาซะเลย มันไม่ใช่การทำรักที่เธอชอบ เธอไม่พร้อมและจนป่านนี้น้ำหล่อลื่นก็ไม่ฟดออกจากรูฉี่แม้แต่หยดเดียว!.นาตาชายังคงครางร้องเรียกชื่อเจฟเฟอร์อยู่ตลอดเวลา ถึงมันจะขาดห้วงจากการกระหน่ำอันบ้าระห่ำไปบ้าง แต่ก็สาสมแล้วที่เธอจะออกอาการดังกล่าว หญิงสาวเจ็บจนต้องหลับตาเอาไว้ ครั้นพอจะยกมือป่ายปัดไปทางไหน ก็ถูกไนฟ์ไล่แขนล็อคเอาไว้หมด กระทั่งอีกสามนาทีให้หลังท่าเย็ดแบบใหม่จึงถูกสภาปนา."เปลี่ยนท่านะ.."เขากระซิบบอก.ทำเป็นอ่อนโยนแต่ไอเหี้ยนี่คือโจรแห่งจุดซ่อนเร้น มันลักพาเยื้อพรหมจรรย์ที่เหลือติดอยู่นิดหน่อยไปโดยสิ้นเชิง ผ่านการพลิกตัวขององค์หญิงขึ้นสู่ด้านบน."พี่ไนฟ์.. พอเถอะ.. ไม่เอาอ่ะพี่.. ช่าเจ็บ..บ..บ.. โอ๊ยยย!"."ไม่เป็นไรหรอกน่านิดเดียวเอง.. เจ็บนิดเดียวแต่เสียวซาบซ่านไง.. เยสสสส!".ยอมฟังซะที่ไหนเสี้ยววินาทีที่ร่างบางนอนหลาอยู่ข้างบน
ร้องจนเสียงหลง กัดริมฝีปากครวญเสียงซีดจากในลำคอกึ่งสุขกึ่งสับสนอยู่ในภวังค์โลกีย์ องค์หญิงหลับตาเหยเก รอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกว่าเธอกำลังเจ็บ! เธอเสียว! และเธอก็แสบ! แต่นั่นก็ยังไม่สู้คุณเจฟที่ป่านนี้คงจะสุกกลายเป็นส่วนผสมอันโอชะ อยู่ในหม้อต้มครีมใบเขื่องไปแล้ว.ในหัวเธอคิดถึงแต่เขาแต่ร่างกายกลับปฏิเสธ มันบอกกับเธอว่าเจฟเฟอร์ก็ห่วง แต่ดุ้นควยที่หน่วงหีอยู่ทางนี้ก็ฟินอยู่พอกัน ไนฟ์ที่เปลื้องผ้าล่อนจ้อนหมดแล้วนั้น ก็เลยถือวิสาสะแห่งการลังเลกระชากเธอซะสุดแรง มวลกายนวลนุ่มพลิกกลับด้านราวกับก้อนสำลีก้อนหนึ่ง หล่อนชันเข่าฟุบหน้าคาอยู่กับพนักโซฟา โดยมีแท่งควยอันเดิมปักคาอยู่ในร่อง."ซวบบบ!"."อ๊อยยย~!".แล้วไนฟ์ก็เย็ดต่อ!."ตับ! , ตับ! , ตับ! , ตับ! , ตับ! , ตับ! , ตับ! , ตับ! "."โอ๊ยยย.. ย.. ย.. ย.. อึ.. อึ.. อึ.. พี่ไนฟ์.. ช่าขอร้องล่ะ.. โอ๊ยยย!.. โอ๊ยยย!.. อ๊อยยย!""หยุด..ก่อน..น..น..น.. ได้ไหม.. ซีดดดดด.. ตอนนี้""คุณเจฟ.. เค้า..า..า..".นับเป็นการขอร้องที่โคตรจะผิดเวลา กับชั่วยามนี้ที่หัวหน้ากลุ่มอันเดอร์กราวน์ได้ถูกความเงี่ยนเข้าครอบงำจนหมดสิ้น พลังด้านมืดเขาเต็มเปี่ยม จะดาร์คไซต์ห
ซวยสุดซอยสะเทือนใจสุดขีด เมื่อองค์หญิงนาตาชามาถึงช้าเกินไป และคนที่มาถึงก่อนคือไนฟ์กับพรรคพวก ลับหลังจากการปรากฏตัวสุดอุบาทว์ เหล่าลูกสมุนบริวารก็ต่างพากันวาร์ปออกมาจากกระจกหน้าร้านอีกเป็นโขยง! มิหนำซ้ำแต่ละคนยังถือมีดสีม่วงเป็นอาวุธประจำกายไว้ติดมือตลอดเวลา เจอแบบนี้เข้าไปใครจะกล้าแหยม! องค์หญิงก็เลยต้องหลบฉากถอยออกมาตั้งหลักก่อน.เปิดทางให้ไนฟ์ตบเกียร์ห้าเดินหน้าทำตามแผนต่อไป ซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือเชื้อพระวงศ์ลำดับที่สองอย่างองค์หญิงเจส เขาตั้งใจจะคาดคั้นเอาความให้ได้ว่า "ณ ปัจจุบันราชาเด็มบ้าบาไปมุดหัวอยู่ที่ไหน?" ทำไมเขากับพวกพลิกแผ่นดินหายังไงก็หาไม่เจอสักที พอถามใครก็ไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือยอมปริปาก.กวัดแกว่งปลายมีดขยิบตาหน่อยเดียว ประตูกระจกใสแจ๋วก็ถูกเดินผ่านไปได้โดยสะดวกโยธิน อิทธิฤทธิ์ของแร่มหัศจรรย์ได้เนรมิตม่านควันกลุ่มใหญ่ให้บดบังสายตาของพวกน้องหมาทั้งหลายเอาไว้ ทำให้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเห่า กลุ่มอันเดอร์กราวน์คนแล้วคนเล่าจึงสามารถทะลุผ่านโซนกงขัง ที่เคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือด ระหว่างเจฟเฟอร์กับทหารจากรั้วพระราชวังไปได้แบบไม่ยี่หระอะไร.แล้วคิดเหรอว่าสีผมแดงแจ๋กับดวงห
คลื่นอารมณ์โถมจิตใจ ร่างลอยลมชันฟ้าห้วงมหานภา พลพรรคกองกำลังติดอาวุธจากพื้นพสุธาผงาดง้ำยึดครองฟากฟ้า ม่วงมหากาฬเต็มไปหมด จะมองไปมุมไหนเมฆหมอกก็เจือจางความโอหังนี้ไว้ไม่ได้ จบลงแล้วกับการปิดบังตัวเอง ความโกลาหลเช่นนี้แหละที่พวกมันรอคอย การป้องกันอาณาจักรที่ลดทอนลง บวกกับพลเมืองที่สูญเสียกำลังใจหลงใหลในความเงี่ยน ก็เลยไม่มีเวลาไหนที่จะเหมาะแก่การบุกขึ้นไปช่วงชิงอำนาจไปมากกว่านี้อีกแล้ว!.คนตัวเท่ามดด้วยรูปลักษณ์ของกลุ่มควันมวลเมฆ มองปราดเดียวนาตาชาก็รู้ในทันทีว่านี่คือกลุ่มกบฎอันเดอร์กราวน์มิผิดเพี้ยน จังหวะการกระโจนโบยบินบนฟากฟ้า กลุ่มควันสีม่วงจากอาวุธมีด Pussy Recon วิบวาวตระการตา ก็มีแต่กลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้นแหละที่จะทำได้.แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ประตูหน้าต่างของบ้านพลเรือน กลายเป็นประตูมิติอันสมบูรณ์แบบ เสี้ยวอึดใจจากที่ลอยอยู่บนฟ้าอยู่ดี ๆ จู่ ๆ พวกมันก็พากันวาร์ปลงมาโผล่ยังภาคพื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ซะอย่างงั้น! นั่นอาจจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของอุปกรณ์พิเศษเฉกเช่นแผ่นการ์ดตัวอย่างดิน กับประตูโดเรม่อนที่พกพากันอยู่คนละอันสองอันก็เป็นได้.1 คนวาร์ป! 2 คนวาร์ป! 3 คนวาร์ป! , 4...! , 5...!
ตัดภาพกลับออกมาที่ฟากฝั่งขององค์หญิงนาตาชา เธอหย่อนตัวลงบนพื้นพรมด้านล่างผ่านทางตะแกรงท่อระบายอากาศ ที่เธอใช้ฝ่าตีนกระทุ้งถีบ ใจจริงอยากจะจ้วงเท้าออกวิ่งแทบขาดใจแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเกรงว่าพวกทหารหญิงจะไหวตัวทัน ก็เลยทำได้เพียงกระหยิบย่องแบบช้า ๆ ไปพลางก่อน ซ้ำร้ายเมื่อออกไปทางประตูปกติก็ไม่ได้! กลับไปห้องพี่โซเฟียก็ไม่เข้าท่า! เนื่องจากปากท่อโดยสารอันเก่ามันเชื่อมต่อกับแนวท่อตรงตีนเขาศาลเจ้า ซึ่งไม่ตรงกับพิกัดที่เธอต้องการจะไป.ย่องไปคิดไปก้านสมองนี่ระบมพอ ๆ กับส้นตีนที่รองรับน้ำหนักตัว กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหัวมุมห้องโถง ณ ที่ตรงนี้ยังมีร่างของทหารหญิงคนหนึ่งนอนพิงกำแพงอยู่ เธอคือผู้โชคร้ายที่โดนเจฟเฟอร์สับท้ายทอยจนสลบไปเมื่อหลายตอนก่อน เพียงแต่ว่าหนนี้กลับดูแปลกตาไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด.องค์หญิงมองเห็นแอ่งเลือดที่ซึมเปรอะอยู่บนพรม พอโผตัวเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วสัมผัสเนื้อตัวอีกเล็กน้อย ศีรษะของศพก็หักพับลงไปด้านหลังอย่างสยดสยอง! เหลือไว้แต่ละอองเลือดที่แผดพุ่งเฉียดหน้าไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด! บาดแผลลึกฉกรรจ์มาก! แค่ดูโดยไม่ต้องสันนิษฐานก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของเจฟเฟอร์ที่ทำไว้ แล้วก็ไ
ข้างล่างวิ่งกันโกลาหล ต่างคนต่างลุกออกจากเตียงตกอกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นมันสัตว์ประหลาดรึยังไง? กลับหัวห้อยอาจจะใช่ แต่สิ่งที่ยึดไว้ไม่ใช่ใยแต่เป็นควย! ทอดสายตาลงไปนาตาชามองเห็นพ่อตัวเองชี้ไม้ชี้มือสั่งคนนั้นคนนี้ให้จัดการกับเจฟเฟอร์ ซึ่งเธอไม่มีวันยอมเป็นอันขาด เธอก็เลยออกแรงกำลำควยของเขาด้วยสองมือน้อย ๆ ที่แรงกว่าเก่า!."งึด! , งึด! , งึด! , งึด!"."อ๊ากกก!".เจ็บสิถึงร้องลั่นเก่งแค่ไหนอุปกรณ์อาวุธครบมือยังไง ขึ้นชื่อว่าผู้ชายแล้วอะไหล่ตรงเป้ากางเกงนี่แหละแพงที่สุด จริงอยู่ว่าถ้าอ่านมาแต่แรกจะรู้ว่าควยอันนี้เคยถูกหมอยูมิโกะโมดิฟายด์มาแล้วหนหนึ่ง มันถูกผสมทังสเตนคาร์ไบน์ , เหล็ก , และแมงกานิส จนสามารถใช้รับมือกับดาบ "คาตานะ" ประจำกายของหมอมาแล้ว.แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ม่านไหมลุกชันเกรียวเข้าไปถึงรูตูด จวนจะได้จูบกันอยู่แล้วอารมณ์ก็เลยค้าง น็อตนับพันขันดุ้นกับไข่ให้ชิดติดกันแนบสนิท มันดูดีสุด ๆ โคตรเท่โคตรคูล แต่กลับเป็นความสมมาตรในพาร์ทของการขยายออกข้างนี่แหละที่มีปัญหา เมื่ออำนาจแห่งรักทำให้น้ำเมือกหล่อลื่นซึมออกมาจากปลายควยมากกว่าปกติ มันรินรดเปรอะใส่มือองค์หญิงจนทำให้