LOGINสิบกว่าปีก่อน…
@บ้านเหมบดินทร์
“เฮ้ย! ไอ้เฮียมึงล่ะ” ผมร้องถามลูกชายคนกลางของบ้าน กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดในชุดแสนสบายสำหรับการเล่นน้ำด้วยความเร่งรีบ หลังจากผมเพิ่งก้าวผ่านวงกบประตูบ้านเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่
“ข้างบน” มันตอบแบบปัด ๆ โดยไม่หันมอง
“รีบห่าอะไรขนาดนั้นวะ” เสียงบ่นพึมพำไล่ตามหลังมัน ก่อนจะพาตัวเองขึ้นบันไดไปยังจุดหมายที่รู้จักเป็นอย่างดี
ประตูห้องเพื่อนรักถูกดันเข้าไปด้วยความมั่นใจ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำผมชะงักนิ่ง คนที่อยู่บนเตียงไม่ใช่คนในความคิด แต่เป็นเด็กหญิงที่เพิ่งถูกรับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเหมบดินทร์หมาด ๆ วันนี้เลย
ดูเหมือนผมจะทำให้เธอตกใจจากการพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ร่างเล็กขยับถอยไปชิดหัวเตียง หน้าตาตื่นตระหนก คว้าตุ๊กตาหมีขาวตัวใหญ่เข้าสู่อ้อมกอดแน่น ราวกับเธออยากใช้มันเพื่อเป็นเกราะกำบังตัวเองจากภัยอันตราย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ เด็กที่มาจากบ้านเด็กกำพร้าล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครจะเจอในรูปแบบไหน
อีกอย่างอาจเป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นชินสถานที่ และเรายังไม่เคยเจอกันสักครั้ง เพราะฉะนั้นตอนนี้เท่ากับผมเป็นคนแปลกหน้า
“โทษทีสาวน้อย” ผมค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องและดึงประตูปิดอย่างใจเย็น ก่อนจะหยุดยืนทิ้งระยะห่างจากปลายเตียงพอสมควร “ฉันไม่ได้จะทำอะไร แค่จะมาหาพี่ชายเธอน่ะ คิดว่ามันอยู่ในห้องนี้”
หลังจากที่ผมอธิบายจบ สีหน้าคนตัวเล็กเริ่มปรับเป็นปกติ ก่อนจะขยับริมฝีปากพูด
“เฮียวาโย ย้ายไปห้องตรงกลางแล้วค่ะ”
“อือ” ผมครางรับ แต่ยังไม่มีการเคลื่อนย้าย เพราะแววตาเด็กน้อยยังมีความวิตกกังวลปะป่นอยู่หลายส่วน ไม่แน่ใจว่าผมเป็นต้นเหตุ หรือเธอยังตื่นสถานที่
พอถูกจับจ้องนานเกินความจำเป็น เกราะป้องกันไอ้หมีขาวก็เริ่มขยับทำงานอีกครั้ง เธอใช้มันเพื่อบังตัวเองให้พ้นจากสายตาผม
“มิเชล ใช่ไหม” ปลายเท้าขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ ขณะเอ่ยถาม
“...” เจ้าของห้องคนใหม่ เลื่อนตุ๊กตาออกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า นั่นเป็นตอนที่ผมย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ข้างเตียง
“เรามาทำความรู้จักกันหน่อยไหม” ผมเอื้อมไปจับแขนตุ๊กตาในอ้อมกอดของเธอ ออกแรงดึงเบาๆ เพื่อเผยให้เห็นใบหน้าหวานชัดเจนขึ้น
น่าแปลกที่ผมรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ หรืออาจเพราะการมีน้องสาวเป็นสิ่งที่ผมปรารถนามาตลอด
“...” เธอเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง พลางสั่นหน้าปฏิเสธ
“ทำไมละ กลัวฉันเหรอ”
“...” แต่คราวนี้ดันพยักหน้ารับอย่างไวซะงั้น
“เฮียไวน์” ผมเอ่ยชื่อตัวเอง
“...” คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อย ยังดีที่เธอมีการตอบสนองกลับมาบ้าง
“เรียกฉันว่าเฮียไวน์” สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กนิ่งไป ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบฉับพลัน เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสาวน้อยขี้กลัวคนนี้กล้าจ้องตาผมนานเกินหนึ่งนาที แต่แปลกที่ผมไม่สามารถอ่านความรู้สึกของเธอผ่านแววตาได้เลย
เด็กอะไร… คาดเดาอารมณ์ยากชะมัด
“เฮียไวน์” เสียงเล็กเปล่งออกมาหลังจากเวลาถูกปล่อยทิ้งเกือบสามนาที
ผมคลี่ยิ้มบาง “อือ ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะ”
“...” คนตัวเล็กอมยิ้มเล็กน้อย แทนคำตอบ แต่ยังนั่งกอดตุ๊กตาอยู่ท่าเดิม
“ทำไมไม่ลงไปเล่นกับพวกพี่ๆ ข้างล่าง” ผมเริ่มชวนคุยในประเด็นใหม่ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและสัมพันธไมตรีอันดี แต่ยังไม่ปล่อยมือจากแขนไอ้หมีขาวตัวยักษ์
“ไม่ชอบคนเยอะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ซึ่งมันผิดวิสัยของเด็กในวัยนี้ เธอไม่ควรเริ่มเก็บตัวตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมันจะส่งผลไปถึงอนาคตข้างหน้า
“งั้นให้เฮียอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ค่ะ” ข้อเสนอของผมถูกปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ใจร้ายจัง” ผมว่า ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระดาษหลายใบวางเรียงอยู่บนที่ จึงถือวิสาสะเอื้อมหยิบมาดู
“วาดเองเหรอ ใช้ได้เลยนะเนี่ย” ภาพวาดที่ปรากฏบนกระดาษจากฝีมือเด็กน้อยวัยเพียงสิบขวบเศษโดยปราศจากการฝึกสอน ถือว่ามีพรสวรรค์ แม้ลายเส้นจะไม่ได้สวยมากแต่ถ้าได้เรียนรู้สักหน่อย คิดว่าไปได้ไกลกว่านี้แน่
“นี่ใคร” ผมชี้ไปที่ผู้หญิงในรูปวาด
“พี่มิณ”
“งั้นนี้ก็คงเป็นเฮียยูตะ?” ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็คงเป็นใครไปไม่ได้
“ค่ะ”
ผมก็พอรู้เรื่องราวคร่าวๆ มาจากไอ้วาโยบ้างแล้ว ว่าเด็กหญิงที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ มีความแตกต่างจากเด็กทั่วไปค่อนข้างมาก แต่ด้วยเหตุผลอะไร ไม่มีใครรู้ได้
มีเพียงคนเดียวที่เธอรักและไว้ใจ นั่นก็คือ มิณ มิณาริน หญิงสาวที่อยู่ในรูปวาด ด้วยความที่มิณได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านเหมบดินทร์ ฐานะคู่หมั้นของไอ้ยูตะ นั่นเลยทำให้ทุกคนลงความเห็นว่าจะรับอุปการะมิเชลเป็นบุตรคนเล็ก และเธอจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุด
อีกใบที่อยู่ไม่ไกลถูกผมหยิบขึ้นมาซ้อนทับใบเดิม
“ซิสเตอร์เหรอ”
“...” เธอพยักหน้ารับ แววตาเริ่มหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
แต่ผมเข้าใจเธอนะ อยู่ๆ ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่บ้านคนที่เพิ่งรู้จักเพียงวันเดียว คงจะรู้สึกกดดันไม่น้อย
ไหนจะต้องปรับตัว
ไหนจะต้องทำความรู้จักใครต่อใคร
“คิดถึงพวกเขาใช่ไหม”
“ค่ะ” เด็กน้อยตอบรับ พลางเลื่อนสายตามองรูปวาดของตัวเองในมือผม
มีแวบหนึ่งที่ผมคิดอยากปลอบโยนสาวน้อยด้วยการลูบหัว แต่ไม่รู้ว่าทำได้ไหม ผมกังวลว่าเธอจะตกใจ
“เฮีย ทำบ้าอะไรเนี่ย” มือไม้ปัดป่ายไปที่ผู้ชายตรงหน้าแบบไร้ทิศทาง หวังจะให้เขาถอยออก แต่ถูกสะกดให้นิ่งสนิทจากประโยคถัดไปของเขา“ไม่ใช่ว่า เพราะกลัวจะใจอ่อนหรอกเหรอ ถึงสั่งให้เฮียเลิกทำแบบนี้” “...” พอตั้งสติได้ ฉันผลักเขา แล้วเลื่อนมองไปทางอื่น แต่ร่างกายกำยำแค่เบี่ยงองศาไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น“แน่จริงอย่าหลบตาสิ” เฮียไวน์คว้าข้อมือฉันขึ้น ก่อนจะกดนิ้วหัวแม่มือลงตรงจุดที่สัมผัสได้ถึงชีพจร “...”“ใจเต้นแรงเชียว” เขาว่า พลางเอื้อมมือประคองสันกราม ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะบริเวณหลังหู ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย“โห่ หลังหูร้อนจัดเลย ไข้ขึ้นปะเนี่ย”“เฮียไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้นะ” ฉันปัดป้องเป็นพัลวัน เขาจึงยอมปล่อยมือออก แล้วเปลี่ยนมายันไว้บนโต๊ะทั้งสองข้างใกล้ๆต้นขาฉันแทน ก่อนจะลดตัวลงเล็กน้อยเพื่อความเท่าเทียม“ไม่ต้องมาบอกให้เฮียเลิกทำอันนั้น เลิกทำอันนี้ เพราะเฮียไม่เลิก” เขายืนยันเสียงหนักแน่น “เหอะ เสียเวลาเปล่าค่ะ” ฉันว่า“มาลองดูกันสักตั้งไหมล่ะ” “ไม่” กลายเป็นเราทั้งคู่ก็ตอบโต้กันไปมาอย่างดุเดือด“ใจกล้าๆ ให้เหมือนปากหน่อยสิ มิรินดา”“อย่ามาท้าเรานะ” ฉันเลื่อนแขนขึ้นกอดอก ท่าทางขึงขั
ฉันเริ่มรู้สึกตัวจากเสียงกระหน่ำเคาะที่ดังมาจากหน้าห้อง ไม่สิ...ต้องเรียกว่าทุบมากกว่า สมาร์ตวอตช์บนข้อมือซ้ายถูกยกขึ้นมาในระดับสายตาทุ่มครึ่ง! จากที่สะลึมสะลือในตอนแรก พอเห็นเวลาเท่านั้นแหละ ฉันถึงกับตื่นเต็มตา เมื่อพบว่าตัวเองผล็อยหลับไปกว่าหกชั่วโมง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง พลางใช้กำปั้นทุบไปที่หลังต้นคอเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วจึงพาร่างกายกึ่งไร้เรี่ยวแรงไปเปิดประตูพอสภาพของฉันปรากฏต่อสายตาเพื่อนรักเท่านั้นแหละ มันก็จัดชุดใหญ่มาให้เลย“โหย…อีมิ! อีเพื่อนเวร กูนึกว่าตายห่าไปละ ถ้ามึงจะนอนขนาดนี้ ช่วยแชทมาบอกกูก่อนด้วยค่ะ แม่ง! เคาะเรียกจนมือจะ…”“มีอะไร!” ฉันขัดขึ้นเสียงแข็ง เพราะถ้าปล่อยให้พูดก็หาจุดสิ้นสุดไม่ได้สักที“ตอนแรกกูว่าจะชวนไปข้างนอก แต่เห็นสภาพมึงแล้ว กลับไปนอนต่อเหอะ”“อือ”ประตูถูกดันปิดอย่างไร้เยื่อใยในเวลาต่อมา และต่อให้ร่างกายปกติดี ถ้าไม่อยากไป เอาช้างมาลาก ฉันก็ไม่ขยับก๊อก…ก๊อก“จิ๊...!” ฝีเท้าหยุดชะงัก หลังจากที่เดินออกมาได้เพียงสองก้าว ฉันถอนหายใจแรง ยกมือขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วหมุนตัวกลับไปดึงประตูเปิดอีกครั้ง“อะไรอี๊ก!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดถูกส่งไ
เราก็ทำตามขั้นตอนที่พี่พลอยใสบอกไว้ตามลำดับ ซึ่งมันไม่สามารถไปแทนกันได้ เพราะต้องยืนยันตัวตนจริงๆ ในการรับคีย์การ์ดห้องพัก ทุกอย่างถูกรวมไว้ในบัตรเดียว ทั้งเข้าออกประตูด้านหน้า และเข้าออกอาคารนี้ด้วย“มึงได้ห้องอะไร” คำถามแรกจากเพื่อนสนิท หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยและเรากำลังเดินออกมาหน้าอาคาร“C20 มึงละ”“C21 ข้างกันเลย” พอพูดกับฉันจบ มันก็เอี้ยวไปหาผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหลัง “แล้วคุณหมอละ”“C19”“โอ๊ะ! ข้างมึง” มันหันกลับมาตอกย้ำ ก่อนจะสาวเท้านำไปยังกองสัมภาระด้านนอกหน้าระรื่น“ขึ้นไปรอที่ห้องไหม เดี๋ยวเฮียเอาขึ้นไปให้” เฮียไวน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะก้าวเท้ายาวขึ้นมาขนาบข้างแทนที่เพื่อนรัก“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันปฏิเสธ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างและพอออกมาด้านนอกอาคาร ฉันก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนสุดไม่ได้ เคยเป็นไหม ยิ่งรู้ว่าเขาห้าม ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น และฉันก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าข้างบนนั้นมันมีอะไรซ่อนอย
เราก็ทำตามขั้นตอนที่พี่พลอยใสบอกไว้ตามลำดับ ซึ่งมันไม่สามารถไปแทนกันได้ เพราะต้องยืนยันตัวตนจริงๆ ในการรับคีย์การ์ดห้องพัก ทุกอย่างถูกรวมไว้ในบัตรเดียว ทั้งเข้าออกประตูด้านหน้า และเข้าออกอาคารนี้ด้วย“มึงได้ห้องอะไร” คำถามแรกจากเพื่อนสนิท หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยและเรากำลังเดินออกมาหน้าอาคาร“C20 มึงละ”“C21 ข้างกันเลย” พอพูดกับฉันจบ มันก็เอี้ยวไปหาผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหลัง “แล้วคุณหมอละ”“C19”“โอ๊ะ! ข้างมึง” มันหันกลับมาตอกย้ำ ก่อนจะสาวเท้านำไปยังกองสัมภาระด้านนอกหน้าระรื่น“ขึ้นไปรอที่ห้องไหม เดี๋ยวเฮียเอาขึ้นไปให้” เฮียไวน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะก้าวเท้ายาวขึ้นมาขนาบข้างแทนที่เพื่อนรัก“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันปฏิเสธ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างและพอออกมาด้านนอกอาคาร ฉันก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนสุดไม่ได้ เคยเป็นไหม ยิ่งรู้ว่าเขาห้าม ก็ยิ่ง
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชายหญิงวัยรุ่นตอนปลายทั้งสองก็ยังหาเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ปล่อยให้บรรยากาศในรถเงียบเลยสักนาที ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับโครงการที่พี่พลอยใสเคยทำมาก่อนนั่นแหละ และฉันก็ได้รับรู้ว่าเธอเป็นนักวิจัยสาวมากความสามารถ แถมยังจบปริญญาโทด้านนี้โดยตรงจากมหาลัยชื่อดังของประเทศแทบยุโรปที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นเลิศอีกด้วย เชื่อแล้วที่เขาชอบพูดกันว่าผู้ทั้งสวยและเก่ง มักจะโสดในที่สุด รถเลี้ยวเข้าจอดหน้าประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งรายล้อมด้วยอาคารสูงหลายหลัง จากจุดนี้ มองไปจนสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เจอทางสิ้นสุด เดาว่าพื้นที่โดยรวมคงกว้างขวางน่าดู
“ว่าแต่เฮียเหอะ รั้งท้ายเพื่อนได้ไงเนี่ย ฉันยังแปลกใจอยู่เลย เพราะคนที่โสดน่าจะเป็นเฮียฟิวส์มากกว่าอีก”ทันทีที่จบประโยค ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าฉันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของท่าทาง ศีรษะที่ตั้งตรงในตอนแรก เอี้ยวหันกลับมาทางซ้าย“ก็คนที่ชอบ เขาก็ไม่ได้ชอบเฮียนี่หว่า ทำไงได้ล่ะ”ฉันรีบเลื่อนมองออกนอกรถ เพื่อหลีกเลี่ยงการประสานสายตา ทั้งที่ไม่คิด แต่มันก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงที่เขาพูดถึง คือตัวเอง...นั่นทำให้อัตราการเต้นของหัวใจฉันเร็วขึ้นเล็กน้อย“จริงดิ มีผู้หญิงไม่ชอบเฮียด้วยเหรอวะ” คู่สนทนามีน้ำเสียงที่ค่อนข้างประหลาดใจ ราวกับไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขายังงั้นแหละเฮียไวน์ไม่ได้ตอบกลับ แต่เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน“ว่าแต่ ทำไมอยู่ ๆ ย้ายมานี่ได้วะ ไหนบอกจะไม่กลับมาแล้ว”“ไม่รู้ดิ เขาเห็นว่าฉันเป็นคนไทยมั่ง ก็เลยส่งมา”ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยกันถึงเรื่องอะไร…“เอ่อ ลืมบอกเลย” เฮียไวน์ ขยับยื่นหน้ามาตรงกลาง “พลอยใส เ







