LOGIN
เสียงหอบหายใจของลลิลดังกระแทกความเงียบของตรอก ดังเสียดยิ่งกว่าความเจ็บปวดแสบร้อนที่ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า
ร่างบางไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังวิ่งไปไหนรู้แค่ว่าต้องไปให้พ้น
จากเสียงหัวเราะหยาบคายที่ไล่ตามหลัง จากน้ำครำเย็นเฉียบที่สาดกระเซ็นขึ้นมาตามหน้าแข้งทุกย่างก้าว และจากกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของกองขยะที่เพิ่งวิ่งชนจนล้มคะมำเมื่อครู่
ร่างกายที่บอบช้ำประท้วงด้วยความเหนื่อยล้า...ปอดดวงน้อยแสบร้อนราวกับมีไฟลน
นี่เหรอ...กรุงเทพฯ?
เมืองสวรรค์ที่หญิงสาววาดฝันไว้ในหัวตลอดหลายปีที่หนีความจริง เมืองที่ปักหมุดไว้ว่าจะเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ กลับต้อนรับด้วยมุมที่มืดมิดและน่าสะพรึงกลัวที่สุด แต่ถึงที่นี่จะเป็นนรก...มันก็ยังดีกว่านรกขุมที่เพิ่งหนีออกมา
เสียงของ 'น้าเข้ม' ญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ ยังคงดังก้องอยู่ในหัว ใบหน้าที่เมามายและดวงตาละโมบที่มองร่างบางเหมือน 'สินค้า' ไม่ใช่หลานสาว
"เกิดมาสวยก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์สิ! อย่าโง่!"
'ประโยชน์' ที่หมายถึงการถูกขาย ถูกส่งตัวไปเป็นของเล่นของพวกเจ้าหนี้บ่อนการพนัน
ความทรงจำที่ไร้พ่อแม่ การถูกเลี้ยงดูอย่างตามมีตามเกิดในหมู่บ้านชาวประมง การถูกมองเป็น 'ภาระ' มาตลอดชีวิต จนกระทั่งเติบโตเป็นสาว และภาระนั้นกำลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็น 'เงิน'
ไม่!...ลลิลไม่ยอม
"เฮ้ย! มันอยู่นั่น!"
เสียงตะโกนหยาบๆ ดังขึ้นไม่ไกล ทำให้ร่างทั้งร่างของลลิลสะดุ้งสุดตัว หัวใจดวงน้อยหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกมันตามมาทันแล้ว!
สัญชาตญาณดิบสั่งให้ร่างบางตะเกียกตะกายอีกครั้ง เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถูกใช้พุ่งตัวเลี้ยวเข้ามุมตึกถัดไป ทว่าปลายทางคือความสิ้นหวัง กำแพงอิฐสูงตระหง่านปิดทึบ
...ทางตัน…
ขาทั้งสองข้างของลลิลทรุดลงกับพื้นเปียกแฉะทันที ความหวังริบหรี่ที่เคยมีดับวูบลงเหมือนเปลวเทียนต้องลม หญิงสาวมองกำแพงตรงหน้าราวกับมันเป็นคำพิพากษา
หมดแรงแล้ว...หนีต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
เงาร่างใหญ่สามร่างเดินเข้ามาปิดปากตรอกที่ลลิลเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แสงไฟนีออนสีชมพูที่กะพริบจากร้านค้าฝั่งตรงข้ามถนน สาดส่องให้เห็นรอยยิ้มแสยะน่าขยะแขยงของพวกมัน พวกอันธพาลที่น้าเข้มส่งมา
"จะรีบไปไหนอีหนู" ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าก้าวเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงมองร่างที่สั่นเทาด้วยสายตาโลมเลีย "น้าเข้มเขาคิดถึง บอกให้พากลับไปดีๆ"
ลลิลถอยกรูดจนแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับกำแพงเย็นเฉียบ หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความอัปยศและความกลัว
"ไม่...ไม่กลับ"
"ไม่กลับ ก็ต้องกลับ!"
เสียงนั้นกระแทกใส่หน้า มือหยาบกร้านกระชากต้นแขนของลลิลอย่างแรงจนร่างทั้งร่างปลิวไปตามแรง เสื้อยืดราคาถูกที่ใส่วิ่งมาตลอดทางขาดวิ่น เผยผิวเนื้อขาวเนียนตัดกับความโสโครกของตรอก
"เฮ้ย สวยนี่หว่าถึงว่าน้าเข้มมึงหวง" ชายอีกคนหัวเราะในลำคอ
ความอัปยศพุ่งขึ้นมาจุกที่อก ลลิลกรีดร้องสุดเสียง แต่เสียงกรีดร้องถูกกลบอย่างง่ายดายด้วยเสียงดนตรีอึกทึกที่ดังกระหึ่มจากบาร์ฝั่งตรงข้ามถนน ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครสนใจดอกไม้ริมทางที่กำลังจะถูกขยี้
มือที่สอง...มือที่สาม...เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายที่สั่นเทา
'ไม่' ความคิดนั้นแหลมคมยิ่งกว่าความกลัวใดๆ 'ยอมตายดีกว่า'
ในวินาทีที่ชายหัวหน้าก้มหน้าลงมาเพื่อจะสูดดมซอกคอ สัญชาตญาณเฮือกสุดท้ายก็สั่งการ ลลิลรวบรวมแรงทั้งหมด อ้าปาก และฝังคมฟันลงบนมือหยาบกร้านนั้นอย่างจงเกลียดจงชัง!
"โอ๊ย! อีเหี้ยนี่!"
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือหนักๆ ฟาดลงบนใบหน้าจนชาหนึบ โลกทั้งใบหมุนคว้าง รสคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก ลลิลล้มลงกองกับพื้นเปียกแฉะ ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
"มึงกล้ากัดกูเหรอ! " ชายคนนั้นคำรามอย่างเดือดดาล เงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะตบซ้ำ แต่แล้ว…
เอี๊ยดดดดด!
เสียงดนตรีคลาสสิกและเสียงผู้คนจอแจจากงานเลี้ยงจางหายไปทันทีที่ประตูบานหนักของปีกบริการปิดลง ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของเดชที่ดังเป็นจังหวะ และเสียงลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของลลิลมือขวาคนสนิทของธนาทัศไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากประโยคสุดท้ายที่แสนเยือกเย็นนั้น มือที่บีบต้นแขนของร่างบางไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ลากหญิงสาวผ่านโถงทางเดินที่สว่างจ้า ตรงไปยังประตูทางออกฉุกเฉินความอัปยศแล่นริ้วไปทั่วร่าง ลลิลไม่ได้ถูกลากกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ไม่ได้ถูกประจานต่อหน้าแขกเหรื่อ แต่นี่อาจจะเลวร้ายกว่า การถูกลากเหมือนซากสัตว์ที่ไร้ค่าออกทางประตูหลัง ตอกย้ำสถานะ 'ทรัพย์สิน' ที่เสียหายของร่างบางเท้าเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบดิน ก้าวสะเปะสะปะไปบนพื้นปูนเย็นเฉียบ ชุดราตรีสีแดงสดที่เคยงดงาม ตอนนี้ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนจนดูน่าสมเพชเดชลากร่างบางมาจนถึงลานจอดรถด้านหลังที่มืดสลัว รถลีมูซีนสีดำสนิทคันเดิมจอดรออยู่ เครื่องยนต์ติดอยู่ แต่เงียบกริบราวกับสัตว์ร้ายที่รอคอยเหยื่อประตูหลังฝั่งหนึ่งถูกเปิดออกโดยคนขับรถที่ยืนรออย่างนอบน้อม เดชไม่พูดพร่ำทำเพลง มือหนาผลักร่างที่ไร้วิญญาณของลลิลเข้าไปด้านในอย่างไ
รั้วเหล็กตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบก้าว ลมหายใจของลลิลขาดห้วง ร่างกายที่บอบช้ำจากเมื่อคืนก่อนถูกผลักดันด้วยสัญชาตญาณเฮือกสุดท้าย เท้าเปล่าที่เหยียบย่ำบนหญ้าเปียกชื้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปความหวัง...มันคือสิ่งเดียวที่ขับเคลื่อนร่างบางในตอนนี้อีกแค่สิบก้าว...อีกห้าก้าว... มือเล็กยื่นออกไปข้างหน้า ปลายนิ้วสั่นเทาเกือบจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของโลหะธาตุแห่งอิสรภาพแต่แล้วร่างบางที่พุ่งทะยานก็หยุดชะงักกะทันหันราวกับชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นไม่ใช่กำแพง แต่เป็นเงาร่างหนึ่งที่ก้าวออกมาจากเงามืดของต้นไม้ใหญ่ เงามืดที่ลลิลกำลังจะใช้เป็นที่หลบซ่อนนั่นเองร่างหนาไม่ได้วิ่งไล่ตาม ไม่ได้รีบร้อน ชายคนนั้นเพียงแค่ก้าวออกมา 'ยืนขวาง' อย่างใจเย็น ราวกับยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้วร่างที่กำลังพุ่งทะยานชะงักกึก ร่างกายเสียหลักเกือบล้มลงบนพื้นหญ้าที่ลื่นชื้น หัวใจที่เคยเต้นรัวด้วยความหวัง หล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม และหยุดเต้นไปชั่วขณะแสงจันทร์สลัวสาดส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึกแต่ลลิลจดจำได้แม่นยำ'เดช'มือขวาคนสนิทของธนาทัศความหวังทั้งหมดที่เคยลุกโชน
ลลิลยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาประดับห้อง แก้วแชมเปญในมือสั่นระริกจนของเหลวสีอำพันเกือบจะกระฉอกออกมา มืออีกข้างกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้เลยกับความอัปยศที่แผดเผาอยู่กลางอกคำพูดของธนาทัศยังคงดังก้อง 'เห็นไหม เธอมี 'ประโยชน์' แล้ว'ประโยชน์...คำนี้ช่างน่ารังเกียจ ประโยชน์ของร่างบางคือการถูกใช้เป็นเครื่องมือตบหน้าคนอื่น คือการถูกตีตราต่อหน้าสาธารณะด้วยจูบที่ไร้ความรู้สึก จูบที่อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอย่างป่าเถื่อนลลิลเหลือบมองร่างสูงที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มกลับเข้าสู่บทบาทนักธุรกิจผู้ทรงอำนาจได้อย่างไร้รอยต่อ พูดคุย หัวเราะเบาๆ กับกลุ่มนักการเมือง โดยไม่หันมามอง 'ถ้วยรางวัล' ที่เพิ่งใช้งานไปแม้แต่น้อยร่างสูงคงคิดว่าลลิลสิ้นฤทธิ์แล้ว คงคิดว่าการ 'ซื้อขาด' ในคืนนั้น และการ 'ลงทัณฑ์' ด้วยจูบเมื่อครู่ ได้ทำลายศักดิ์ศรีของร่างบางจนหมดสิ้นแล้วใช่...ศักดิ์ศรีของลลิลถูกขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี แต่มันไม่ได้ดับไฟในใจของหญิงสาว มันกลับจุดไฟแห่งความเกลียดชังและความปรารถนาที่จะหนีให้ลุกโชนขึ้นมาแทน'ฉันต้องหนี'ความคิดนั้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนร่างบางกวาดสายตามองไปรอบห้อ
เท้าเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนครูดไปกับพื้นปูนเย็นเฉียบของลานจอดรถ ลลิลไม่มีเวลาแม้แต่จะทรงตัว ร่างบางถูกลากกึ่งจูงให้ก้าวตามแผ่นหลังกว้างของธนาทัศที่เดินนำลิ่วไปยังลิฟต์ส่วนตัวบรรยากาศภายในกล่องเหล็กนั้นน่าอึดอัดยิ่งกว่าในรถ หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่มุมหนึ่ง โดยมีเดชยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ขณะที่ร่างสูงของผู้เป็นนายยืนกอดอกนิ่งมองตัวเลขชั้นที่เลื่อนขึ้นอย่างใจเย็นติ๊งประตูลิฟต์เปิดออกยังชั้นเซฟเฮาส์ร่างบางถูกกระชากออกจากลิฟต์ และถูกผลักอย่างแรงจนร่างทั้งร่างปลิวเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวเสียหลักล้มลงบนเตียงนุ่มอย่างไม่ออมแรงความทรงจำอันเลวร้ายจากสถานที่แห่งนี้หวนกลับมาจู่โจมทันทีปัง!เสียงประตูห้องปิดตามหลัง พร้อมเสียงล็อกอัตโนมัติที่ดังสนั่น ลลิลสะดุ้งสุดตัว รีบตะเกียกตะกายทรงตัวลุกขึ้นนั่งดวงตาทั้งสองข้างฉายแววความกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของธนาทัศก้าวตามเข้ามาในห้อง ร่างบางพยายามที่จะถอยหลังหนีไปอีก จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับหัวเตียงชายหนุ่มปลดเนกไทสีดำออกจากลำคอแกร่งอย่างเชื่องช้า"นี่คือโทษสำหรับการหลบหนีของเธอ"ธนาทัศไม่พูดเปล่า ร่างสูงจับข้อมือเล็กไว้
แทนที่จะเดินหนี ธนาทัศกลับจูงลลิล ลากผ่านฝูงชนที่แหวกทางให้ เหมือนคลื่นทะเลที่แยกออกให้พญาราชสีห์เดินผ่าน เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบทิศทาง ตอกย้ำสถานะ 'ของเล่นชิ้นใหม่'ทุกย่างก้าวหัวใจของลลิลหล่นวูบ'โกหก!' ความคิดนั้นเหมือนฟ้าผ่า 'กำลังจะส่งมอบฉันเดี๋ยวนี้!'ร่างบางพยายามดึงแขนกลับ ต้านทานแต่ไร้ผล มือใหญ่ของธนาทัศ บีบลงบนแขนเล็ก แน่นเหมือนคีมเหล็ก เป็นการเตือน 'อยู่นิ่งๆ' คำขู่เมื่อคืนดังก้องในหัวทั้งคู่มาหยุดตรงหน้าชายแก่ร่างท้วมคนนั้น"อา...สวัสดี คุณทัศ ผู้ยิ่งใหญ่" ชายแก่หัวเราะ เสียงดังกลบเสียงดนตรี สายตาตะกละตะกรามยังคงไม่ละไปจากลลิล"และนี่คงเป็น..." ชายแก่หันมามองลลิล ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ดอกไม้ที่งดงามที่สุดในคืนนี้"ชายแก่พยายามจะคุยกับลลิลโดยตรง "ไม่ทราบว่าดอกไม้นี้ ชื่ออะไร"ลลิลก้มหน้าเม้มปากแน่น ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความกลัวจนควบคุมไม่ได้ ธนาทัศยิ้ม แต่ตาไม่ยิ้ม ร่างสูงตอบราวกับลลิลไม่มีตัวตน "เด็กคนนี้ไม่มีชื่อหรอกครับ เจ้าสัว""แต่มี 'ราคา'"คำว่า 'เจ้าสัว' ทำให้ร่างบางยิ่งสั่นสะท้าน นี่คือชายแก่ที่ร่างสูงพูดถึงในห้องทำงาน คนที่ร่างบางเกือบถูก 'ขาย' ให้"ยอดเยี
แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านม่านหนา ลลิลลืมตาขึ้นบนพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบ ร่างกายยังคงเปลือยเปล่าใต้ชุดคลุมอาบน้ำที่ชื้นแฉะ ร่างกายปวดร้าว โดยเฉพาะความระบมช้ำ ณ จุดเร้นลับที่ถูกย่ำยีเมื่อคืน ทำให้ทุกการขยับตัวคือความทรมาน จิตใจ ว่างเปล่า'รอดแล้ว' ความคิดนั้นแวบเข้ามา 'อย่างน้อยก็ไม่ถูกขาย' ร่างบางจำคำพูดของธนาทัศได้'ฉันตกลง' แต่ความโล่งใจนั้นถูก 'ราคา' ที่ต้องจ่ายกลบจนหมดสิ้นคลิกเสียงปลดล็อกดิจิทัลดังขึ้น ตรงเวลา ลลิลสะดุ้ง แต่ไม่ได้ซ่อนตัว 'ทีมงาน' ชุดเดิม ผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มหน้าหุ่นยนต์สองคน ก้าวเข้ามา ครั้งนี้ ลลิล 'ไม่ต่อสู้' ร่างบางรู้แล้วว่ามันไร้ประโยชน์หญิงสาวยอมเป็น 'ตุ๊กตาไร้ชีวิต' ฝืนพยุงร่างลุกขึ้น ไม่ขัดขืน ยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตาเย็นชาเหล่านั้นสำรวจ ปล่อยให้พวกนั้นจับร่างอาบน้ำอุ่นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การขัดล้างที่เจ็บแสบ แต่คือการ 'บำรุง' อีกครั้งตามที่เดชสั่งโลชั่นและน้ำมันหอมราคาแพงถูกชโลมลงบนผิว เหล่าผู้รับใช้นวดวนโลชั่นอย่างเป็นกลาง ไร้อารมณ์ มือเย็นชาเหล่านั้นไม่สนใจ แม้จะต้องสัมผัสโดนรอยแดงเป็นจ้ำๆ บริเวณซอกคอและหัวไหล่ ร่องรอยความเป็นเจ้าของที่ธนาทัศขบเม้มทิ้ง






![ความลับของมาเฟีย [มาร์ติน×วีนัส]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
