LOGINเสียงเบรกดังเสียดแก้วหูจนน่าแสบรอน แสงไฟหน้าสว่างจ้าจนแสบตา สาดทะลุความมืดของตรอกเข้ามา จนพวกอันธพาลทั้งสามต้องยกแขนขึ้นบังหน้า
รถเบนท์ลีย์สีดำสนิทราวกับรัตติกาล จอดขวางปากตรอกไว้พอดิบพอดี ความเงางามของมันดูแปลกแยกและน่าพรั่นพรึงในสถานที่เสื่อมโทรมเช่นนี้ ประตูรถติดตามที่ขับตามหลังมาเปิดออกพร้อมกัน ชายชุดดำร่างสูงใหญ่สี่คนก้าวลงมาอย่างพร้อมเพรียง รวดเร็ว และเงียบกริบ
...พวกมันไม่ใช่ตำรวจ…
"พวกมึงใครวะ!" ชายที่ถูกกัดตะโกนถาม เสียงสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่มาใหม่
ไม่มีคำตอบ สิ่งที่ตอบกลับมาคือการเคลื่อนไหวที่ฉับพลัน
ชายชุดดำคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ราวกับเงา ไม่มีการชกต่อยแลกหมัดอย่างที่พวกอันธพาลคุ้นเคย มันคือการ 'จัดการ' อย่างมืออาชีพ
ตุบ! เสียงสันมือฟาดเข้าที่ท้ายทอยของชายคนแรกจนร่วงลงไปกอง
ตับ! ศอกกระแทกเข้าลิ้นปี่ของชายคนที่สองจนตัวงอ
ชายหัวหน้าที่เพิ่งตบหน้าร่างบาง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกชายชุดดำอีกคนหักข้อมือเสียงดัง 'กร๊อบ' ก่อนจะถูกเตะตัดขาจนล้มลงไปนอนร้องโอดโอย
ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลง ภายในไม่ถึงสามสิบวินาที ความเงียบที่น่าอึดอัดกลับเข้ามาปกคลุมตรอกอีกครั้ง มีเพียงเสียงร้องครวญครางเบาๆ ของพวกอันธพาลที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
ลลิลตัวสั่นเทาไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะความกลัวระลอกใหม่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ลลิลหนีเสือ แต่สิ่งที่เพิ่งมาถึง...คือพญาราชสีห์
ความเงียบโรยตัวลงมา หนักอึ้งและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ ลลิลได้แต่นั่งตัวสั่น ร่างบางอยู่ตรงกลางระหว่างซากเดนของอันธพาลที่นอนกองกับกลุ่มชายชุดดำที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น
ประตูรถเบนท์ลีย์คันหรู ประตูหลังฝั่งคนขับก็เปิดออก การเปิดนั้นไม่รีบร้อน แต่เป็นการเปิดออกอย่างเชื่องช้าและมั่นคง
รองเท้าหนังขัดมันวาวจนสะท้อนแสงไฟนีออนสีชมพู ก้าวเหยียบลงบนพื้นตรอกที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำครำ กลับไม่เปื้อนเปรอะเลยแม้แต่น้อย
ร่างสูงสง่าในชุดสูทไร้รอยยับก้าวตามออกมา ก้าวลงมายืนเต็มความสูงเป็นความขัดแย้งที่สมบูรณ์แบบกับสถานที่แห่งนี้
แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องจากด้านหลัง ทำให้ลลิลเห็นเพียงเงาดำมืดที่สูงตระหง่าน เงาที่แผ่รังสีแห่งอำนาจและความตายออกมาจนแทบหยุดหายใจ
เงาของบุรุษผู้เป็นนายใหญ่แห่งตระกูล 'อันธการกุล' นั่นคือ 'ธนาทัศ'
แต่ธนาทัศไม่ได้มองลลิล ร่างสูงก้าวผ่านร่างบางไปราวกับเป็นเพียงกองขยะกองหนึ่ง แล้วไปหยุดตรงหน้าชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า เดช
"เรียบร้อยดีใช่ไหม"
น้ำเสียงนั้น ทุ้ม เรียบ และเย็นชา เป็นเสียงของคนที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง เป็นเสียงที่ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ หลงเหลืออยู่ ราวกับภาพชายสามคนที่นอนร้องครวญครางอยู่แทบเท้าเป็นเพียงเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
"ครับนาย การเจรจาที่บาร์ไม่มีปัญหา ของกำลังจะย้ายครับ" เดชรายงาน
"ดี"
บทสนทนาสั้นๆ นั้นจบลง และนั่นคือเวลาที่ธนาทัศหันมามองลลิลเป็นครั้งแรก ลลิลตัวแข็งทื่อภายใต้สายตานั้น นั่นไม่ใช่สายตาที่ 'มอง' แต่เป็นสายตาที่ 'ประเมินค่า'
ดวงตาคู่นั้นเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลก ว่างเปล่า ไร้ความปรานี สายตานั้นกวาดมองตั้งแต่ศีรษะที่เปรอะเปื้อน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น จนถึงเท้าเปล่าที่สั่นเทา เป็นการประเมินว่าร่างตรงหน้าเป็น 'สิ่งมีชีวิต' หรือ 'สิ่งของ'
ธนาทัศขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เหมือนรำคาญใจกับภาพที่ไม่น่าดูตรงหน้า
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอดสูทตัวนอกราคาแพงออก แล้ว 'โยน' คลุมลงบนร่างของลลิล
สูทตัวนั้นหนักอึ้ง และอุ่น มีกลิ่นหอมจางๆ ของโคโลญจน์ราคาแพงและกลิ่นยาสูบจางๆ ที่ลลิลไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน นี่คือความอบอุ่นที่ได้รับในรอบหลายวันที่ผ่านมา แต่แทนที่จะรู้สึกปลอดภัย ร่างบางกลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
ลลิลกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อขอบคุณ แต่ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปสนใจธุระของตนเอง ร่างสูงพูดกับเดชด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"เก็บซะ"
คำพูดนั้นเบาแต่กังวานในความเงียบของตรอก
เลือดทั้งร่างของลลิลเย็นเฉียบ ความอบอุ่นจากสูทราคาแพงที่คลุมร่างอยู่ตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากผ้าห่อศพ
นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือ ธนาทัศไม่ได้ช่วยลลิลจากพวกอันธพาล...ร่างสูงแค่กำลังกำจัดพยาน
คำสั่งฆ่านั้นเบาบางแต่หนักแน่นราวกับค้อนที่ทุบลงมาบนโลกทั้งใบของลลิล
"ครับนาย" เดช ชายมือขวาคนนั้น ขานรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับเจ้านาย ไม่มีความลังเล ไม่มีความสงสัย ไม่มีความปรานี มันเป็นเพียง 'งาน' ชิ้นหนึ่ง
ลลิลรู้สึกถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา ร่างทั้งร่างชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สูทราคาแพงที่เคยให้ความอบอุ่นเมื่อครู่ หล่นฮวบลงจากไหล่ กองลงบนพื้น เผยให้เห็นร่างที่บอบช้ำและเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นอีกครั้ง
ไม่นะ...หนีจากน้าเข้ม...รอดจากพวกอันธพาล...ไม่ใช่เพื่อมาตายอย่างหมาข้างถนนในตรอกมืดๆ นี้
ลลิลใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งเข้าหาร่างสูงของคนที่ดูเป็นหัวหน้า
ซบใบหน้าที่เปื้อนเลือดและน้ำตาลงบนรองเท้าหนังขัดมันราคาแพง กอดขากางเกงสแลคเนื้อดีไว้แน่นราวกับคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ท่อนสุดท้าย
ทุกอย่าง 'ชะงัก' เดชหยุดก้าว ธนาทัศนิ่งแม้แต่เสียงลมหายใจของลลิลก็ยังหยุดไปชั่วขณะ
นี่เป็นสิ่งเดียวในคืนนี้ ที่ทำให้ชายผู้เย็นชาคนนี้ประหลาดใจได้
ธนาทัศก้มลงมอง 'สิ่งมีชีวิต' ที่กำลังเกาะขาอยู่ สั่นเทา แต่ไม่ยอมปล่อย
"ได้โปรด..." เสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือจนแทบไม่เป็นภาษา "ได้โปรด...อย่าฆ่าฉัน ฮึก..."
"ฉันจะไม่พูดอะไร ฉันสาบาน...ฉันทำได้ทุกอย่าง"
"ฉัน...ฉันไม่มีใคร จะไม่มีใครตามหา...ได้โปรด"
ร่างบางอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมา สติแตก แต่สัญชาตญาณยังคงสั่งให้เกาะขาชายผู้นั้นไว้แน่น
สายตาที่เคยว่างเปล่าของธนาทัศ ฉายแวว 'พิจารณา' ขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่ใช่ความสงสาร แต่เป็น 'การคิด'
ร่างสูงมองนิ่งอยู่นานหลายวินาที นานพอที่เสียงสะอื้นของลลิลจะเริ่มแผ่วลงเพราะความหวาดกลัว
"ฉันทำแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น"
ลลิลชะงักเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง ดวงตาที่บวมช้ำเบิกกว้าง
ดวงตาคมกริบก้มมองดวงตาที่สิ้นหวังคู่นั้น แล้วถามคำถามที่จะเปลี่ยนชีวิตของลลิลไปตลอดกาล
"แล้วจะเอาอะไรมาแลกกับชีวิตของเธอ"
เสียงดนตรีคลาสสิกและเสียงผู้คนจอแจจากงานเลี้ยงจางหายไปทันทีที่ประตูบานหนักของปีกบริการปิดลง ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของเดชที่ดังเป็นจังหวะ และเสียงลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของลลิลมือขวาคนสนิทของธนาทัศไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากประโยคสุดท้ายที่แสนเยือกเย็นนั้น มือที่บีบต้นแขนของร่างบางไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ลากหญิงสาวผ่านโถงทางเดินที่สว่างจ้า ตรงไปยังประตูทางออกฉุกเฉินความอัปยศแล่นริ้วไปทั่วร่าง ลลิลไม่ได้ถูกลากกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ไม่ได้ถูกประจานต่อหน้าแขกเหรื่อ แต่นี่อาจจะเลวร้ายกว่า การถูกลากเหมือนซากสัตว์ที่ไร้ค่าออกทางประตูหลัง ตอกย้ำสถานะ 'ทรัพย์สิน' ที่เสียหายของร่างบางเท้าเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบดิน ก้าวสะเปะสะปะไปบนพื้นปูนเย็นเฉียบ ชุดราตรีสีแดงสดที่เคยงดงาม ตอนนี้ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนจนดูน่าสมเพชเดชลากร่างบางมาจนถึงลานจอดรถด้านหลังที่มืดสลัว รถลีมูซีนสีดำสนิทคันเดิมจอดรออยู่ เครื่องยนต์ติดอยู่ แต่เงียบกริบราวกับสัตว์ร้ายที่รอคอยเหยื่อประตูหลังฝั่งหนึ่งถูกเปิดออกโดยคนขับรถที่ยืนรออย่างนอบน้อม เดชไม่พูดพร่ำทำเพลง มือหนาผลักร่างที่ไร้วิญญาณของลลิลเข้าไปด้านในอย่างไ
รั้วเหล็กตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบก้าว ลมหายใจของลลิลขาดห้วง ร่างกายที่บอบช้ำจากเมื่อคืนก่อนถูกผลักดันด้วยสัญชาตญาณเฮือกสุดท้าย เท้าเปล่าที่เหยียบย่ำบนหญ้าเปียกชื้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปความหวัง...มันคือสิ่งเดียวที่ขับเคลื่อนร่างบางในตอนนี้อีกแค่สิบก้าว...อีกห้าก้าว... มือเล็กยื่นออกไปข้างหน้า ปลายนิ้วสั่นเทาเกือบจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของโลหะธาตุแห่งอิสรภาพแต่แล้วร่างบางที่พุ่งทะยานก็หยุดชะงักกะทันหันราวกับชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นไม่ใช่กำแพง แต่เป็นเงาร่างหนึ่งที่ก้าวออกมาจากเงามืดของต้นไม้ใหญ่ เงามืดที่ลลิลกำลังจะใช้เป็นที่หลบซ่อนนั่นเองร่างหนาไม่ได้วิ่งไล่ตาม ไม่ได้รีบร้อน ชายคนนั้นเพียงแค่ก้าวออกมา 'ยืนขวาง' อย่างใจเย็น ราวกับยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้วร่างที่กำลังพุ่งทะยานชะงักกึก ร่างกายเสียหลักเกือบล้มลงบนพื้นหญ้าที่ลื่นชื้น หัวใจที่เคยเต้นรัวด้วยความหวัง หล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม และหยุดเต้นไปชั่วขณะแสงจันทร์สลัวสาดส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึกแต่ลลิลจดจำได้แม่นยำ'เดช'มือขวาคนสนิทของธนาทัศความหวังทั้งหมดที่เคยลุกโชน
ลลิลยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาประดับห้อง แก้วแชมเปญในมือสั่นระริกจนของเหลวสีอำพันเกือบจะกระฉอกออกมา มืออีกข้างกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้เลยกับความอัปยศที่แผดเผาอยู่กลางอกคำพูดของธนาทัศยังคงดังก้อง 'เห็นไหม เธอมี 'ประโยชน์' แล้ว'ประโยชน์...คำนี้ช่างน่ารังเกียจ ประโยชน์ของร่างบางคือการถูกใช้เป็นเครื่องมือตบหน้าคนอื่น คือการถูกตีตราต่อหน้าสาธารณะด้วยจูบที่ไร้ความรู้สึก จูบที่อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอย่างป่าเถื่อนลลิลเหลือบมองร่างสูงที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มกลับเข้าสู่บทบาทนักธุรกิจผู้ทรงอำนาจได้อย่างไร้รอยต่อ พูดคุย หัวเราะเบาๆ กับกลุ่มนักการเมือง โดยไม่หันมามอง 'ถ้วยรางวัล' ที่เพิ่งใช้งานไปแม้แต่น้อยร่างสูงคงคิดว่าลลิลสิ้นฤทธิ์แล้ว คงคิดว่าการ 'ซื้อขาด' ในคืนนั้น และการ 'ลงทัณฑ์' ด้วยจูบเมื่อครู่ ได้ทำลายศักดิ์ศรีของร่างบางจนหมดสิ้นแล้วใช่...ศักดิ์ศรีของลลิลถูกขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี แต่มันไม่ได้ดับไฟในใจของหญิงสาว มันกลับจุดไฟแห่งความเกลียดชังและความปรารถนาที่จะหนีให้ลุกโชนขึ้นมาแทน'ฉันต้องหนี'ความคิดนั้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนร่างบางกวาดสายตามองไปรอบห้อ
เท้าเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนครูดไปกับพื้นปูนเย็นเฉียบของลานจอดรถ ลลิลไม่มีเวลาแม้แต่จะทรงตัว ร่างบางถูกลากกึ่งจูงให้ก้าวตามแผ่นหลังกว้างของธนาทัศที่เดินนำลิ่วไปยังลิฟต์ส่วนตัวบรรยากาศภายในกล่องเหล็กนั้นน่าอึดอัดยิ่งกว่าในรถ หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่มุมหนึ่ง โดยมีเดชยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ขณะที่ร่างสูงของผู้เป็นนายยืนกอดอกนิ่งมองตัวเลขชั้นที่เลื่อนขึ้นอย่างใจเย็นติ๊งประตูลิฟต์เปิดออกยังชั้นเซฟเฮาส์ร่างบางถูกกระชากออกจากลิฟต์ และถูกผลักอย่างแรงจนร่างทั้งร่างปลิวเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวเสียหลักล้มลงบนเตียงนุ่มอย่างไม่ออมแรงความทรงจำอันเลวร้ายจากสถานที่แห่งนี้หวนกลับมาจู่โจมทันทีปัง!เสียงประตูห้องปิดตามหลัง พร้อมเสียงล็อกอัตโนมัติที่ดังสนั่น ลลิลสะดุ้งสุดตัว รีบตะเกียกตะกายทรงตัวลุกขึ้นนั่งดวงตาทั้งสองข้างฉายแววความกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของธนาทัศก้าวตามเข้ามาในห้อง ร่างบางพยายามที่จะถอยหลังหนีไปอีก จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับหัวเตียงชายหนุ่มปลดเนกไทสีดำออกจากลำคอแกร่งอย่างเชื่องช้า"นี่คือโทษสำหรับการหลบหนีของเธอ"ธนาทัศไม่พูดเปล่า ร่างสูงจับข้อมือเล็กไว้
แทนที่จะเดินหนี ธนาทัศกลับจูงลลิล ลากผ่านฝูงชนที่แหวกทางให้ เหมือนคลื่นทะเลที่แยกออกให้พญาราชสีห์เดินผ่าน เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบทิศทาง ตอกย้ำสถานะ 'ของเล่นชิ้นใหม่'ทุกย่างก้าวหัวใจของลลิลหล่นวูบ'โกหก!' ความคิดนั้นเหมือนฟ้าผ่า 'กำลังจะส่งมอบฉันเดี๋ยวนี้!'ร่างบางพยายามดึงแขนกลับ ต้านทานแต่ไร้ผล มือใหญ่ของธนาทัศ บีบลงบนแขนเล็ก แน่นเหมือนคีมเหล็ก เป็นการเตือน 'อยู่นิ่งๆ' คำขู่เมื่อคืนดังก้องในหัวทั้งคู่มาหยุดตรงหน้าชายแก่ร่างท้วมคนนั้น"อา...สวัสดี คุณทัศ ผู้ยิ่งใหญ่" ชายแก่หัวเราะ เสียงดังกลบเสียงดนตรี สายตาตะกละตะกรามยังคงไม่ละไปจากลลิล"และนี่คงเป็น..." ชายแก่หันมามองลลิล ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ดอกไม้ที่งดงามที่สุดในคืนนี้"ชายแก่พยายามจะคุยกับลลิลโดยตรง "ไม่ทราบว่าดอกไม้นี้ ชื่ออะไร"ลลิลก้มหน้าเม้มปากแน่น ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความกลัวจนควบคุมไม่ได้ ธนาทัศยิ้ม แต่ตาไม่ยิ้ม ร่างสูงตอบราวกับลลิลไม่มีตัวตน "เด็กคนนี้ไม่มีชื่อหรอกครับ เจ้าสัว""แต่มี 'ราคา'"คำว่า 'เจ้าสัว' ทำให้ร่างบางยิ่งสั่นสะท้าน นี่คือชายแก่ที่ร่างสูงพูดถึงในห้องทำงาน คนที่ร่างบางเกือบถูก 'ขาย' ให้"ยอดเยี
แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านม่านหนา ลลิลลืมตาขึ้นบนพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบ ร่างกายยังคงเปลือยเปล่าใต้ชุดคลุมอาบน้ำที่ชื้นแฉะ ร่างกายปวดร้าว โดยเฉพาะความระบมช้ำ ณ จุดเร้นลับที่ถูกย่ำยีเมื่อคืน ทำให้ทุกการขยับตัวคือความทรมาน จิตใจ ว่างเปล่า'รอดแล้ว' ความคิดนั้นแวบเข้ามา 'อย่างน้อยก็ไม่ถูกขาย' ร่างบางจำคำพูดของธนาทัศได้'ฉันตกลง' แต่ความโล่งใจนั้นถูก 'ราคา' ที่ต้องจ่ายกลบจนหมดสิ้นคลิกเสียงปลดล็อกดิจิทัลดังขึ้น ตรงเวลา ลลิลสะดุ้ง แต่ไม่ได้ซ่อนตัว 'ทีมงาน' ชุดเดิม ผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มหน้าหุ่นยนต์สองคน ก้าวเข้ามา ครั้งนี้ ลลิล 'ไม่ต่อสู้' ร่างบางรู้แล้วว่ามันไร้ประโยชน์หญิงสาวยอมเป็น 'ตุ๊กตาไร้ชีวิต' ฝืนพยุงร่างลุกขึ้น ไม่ขัดขืน ยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตาเย็นชาเหล่านั้นสำรวจ ปล่อยให้พวกนั้นจับร่างอาบน้ำอุ่นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การขัดล้างที่เจ็บแสบ แต่คือการ 'บำรุง' อีกครั้งตามที่เดชสั่งโลชั่นและน้ำมันหอมราคาแพงถูกชโลมลงบนผิว เหล่าผู้รับใช้นวดวนโลชั่นอย่างเป็นกลาง ไร้อารมณ์ มือเย็นชาเหล่านั้นไม่สนใจ แม้จะต้องสัมผัสโดนรอยแดงเป็นจ้ำๆ บริเวณซอกคอและหัวไหล่ ร่องรอยความเป็นเจ้าของที่ธนาทัศขบเม้มทิ้ง







