Mag-log inเธอเลือกเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งตามที่อยู่ของบริษัทที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานวันนี้ วันดีๆ ที่ต้องสวย ต้องสดใหม่ ให้ทุกคนเห็นว่าเธอพร้อมและเหมาะสมขนาดไหนในตำแหน่งที่จะมอบให้ เอาไว้ถ้าได้งานแล้วค่อยนั่งรถประจำทางมาก็ได้
ลินดาจ่ายเงินให้โชเฟอร์เสร็จเรียบร้อยเมื่อถึงที่หมาย เธอลงจากรถมายืนหน้าบ้านเลขที่ตามที่อยู่ที่ฝ่ายบุคคลให้ไว้ เธอพยายามมองหาป้ายชื่อบริษัท ซึ่งตรงไหนก็ไม่เห็นมี ใช่แน่เรอะ เธอถามตัวเองในใจเพราะดูยังไงนี่มันก็บ้านคนชัดๆ ลินดาลองกดกริ่งดู
สักพักประตูเล็กกลางรั้วเหล็กทาสีเหลืองมัสตาร์ดจึงเปิดออก
“สวัสดีครับ” ผู้ชายคนหนึ่งโผล่หน้าออกจากประตูมา เขายังหนุ่มมาก ลินดาประเมินจากหน้าตาแล้วเขาก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ
“สวัสดีค่ะ ฉันมาสัมภาษณ์งาน ไม่รู้มาผิดที่รึเปล่า ไม่ทราบนี่ใช่บริษัทอาย โอเพนนิง มีเดียรึเปล่าคะ” เธอถามเขาอย่างไม่แน่ใจ
“อ้อ ใช่ครับ เชิญข้างในก่อนนะ” เขาเปิดประตูอ้าออก แล้วผายมือเชื้อเชิญลินดาเข้าไปในบ้านอย่างยินดีต้อนรับ
“ขอบคุณค่ะ”
“งงใช่ไหม ตอนมาถึง” เขาถอดรองเท้าไว้หน้าประตูอีกบานด้านในของรั้วเมื่อเข้ามาถึงตัวบ้านแล้ว แล้วหันมาถามเธอ
“ใช่ค่ะ งงนิดนึง” เธอตอบเขา
“เหมือนกันเลย” เขาตอบกลับมาแล้วยิ้มให้ โดยไม่ได้อธิบายว่าที่บอกเหมือนกันนี่คือมันเหมือนกันยังไง ลินดาถอดรองเท้าส้นสูงไว้ใกล้ๆ รองเท้าผ้าใบที่เขาถอดไว้ เธอเดินตามเขาเข้าไปข้างใน
ลินดาสังเกตทุกสิ่งรอบตัวตั้งแต่ประตูรั้ว เลยเข้ามาจนถึงสวนหย่อมเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือซึ่งก็ถือว่ากว้างใหญ่พอประมาณหากเทียบว่านี่คือบ้านคน ไม่ใช่สำนักงานใหญ่โตกลางกรุงเหมือนที่อื่นๆ ตรงหน้าประตูที่เธอถอดรองเท้าไว้ มีขวดเบียร์เปล่าวางอยู่ ข้างในมีก้นบุหรี่กองกันอยู่หลายตัว
“รอตรงนี้เดี๋ยวหนึ่งนะครับ ผมจะโทรหาคุณเบลให้” เธอพยักหน้าแล้วส่งยิ้มไป เขาเดินเข้าห้องประตูกระจกบานเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายที่วางไว้บนโต๊ะตรงมุมห้องนั้น ลินดานั่งลงคอยที่โซฟา เธอยังไม่หยุดสำรวจทุกสิ่งรอบข้าง
ในห้องที่เขาเดินเข้าไปโทรศัพท์ มีจอคอมพิวเตอร์สี่จอ วางเรียงแยกกันเป็นคู่ มีซีพียูสองตัวแยกพอดีชุดกันเป็นซีพียูหนึ่งตัวต่อสองจอ ประตูกระจกบานเลื่อนเป็นสีดำคล้ายติดฟิล์มกันแสงซึ่งเธอยังไม่แน่ใจว่าเป็นฟิล์มหรือสีของกระจกกันแน่ ด้านนอกห้องคอมพิวเตอร์นั้นมีโต๊ะทำงานสองตัว ตัวหนึ่งอยู่ใกล้กับโซฟาตัวที่เธอนั่งคอย และอีกตัวอยู่ถัดไปในแนวเดียวกันโดยมีชั้นวางของกั้นอยู่แบบหยาบๆ ที่นี่ไม่มีตรงไหนให้อารมณ์สำนักงานเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนบ้านพักอาศัยที่มีคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเท่านั้น เธอยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะชอบที่นี่ไหม มันยังเร็วเกินไป
“ดื่มน้ำก่อนนะครับ” ชายหนุ่มคนเดิมนั้นส่งน้ำมาให้เธอหนึ่งแก้ว ลินดากล่าวขอบคุณแล้วรับแก้วน้ำมาโดยกำลังสงสัยอยู่ว่าเขาออกจากห้องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ตอนไหนกัน
“คุณเบลกำลังมาแล้ว จอดรถอยู่ครับ” เขาบอกกับลินดา
“อ้อ ขอบคุณมากค่ะ คุณเบลคงเป็นฝ่ายบุคคลที่จะสัมภาษณ์ฉันใช่ไหมคะ” ลินดาถามเขา
“จะเป็นคนที่สัมภาษณ์คุณน่ะใช่ แต่ใช่ฝ่ายบุคคลไหม อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” เขาตอบให้เธอได้สงสัยต่ออีกขยัก
“อ้อ ตายจริง ขอโทษที ผมชื่อโฟล์คครับ ลืมแนะนำตัวไปซะได้ คุณล่ะครับ”
“ลินดาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันครับ” เขาพยักหน้าคล้ายๆ จะขอตัวก่อนจะเดินไปทางห้องคอมพิวเตอร์ แล้วหันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“ลินดานี่เป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริงครับ ผมดันแนะนำตัวเองเป็นชื่อเล่นไป”
“ทั้งชื่อเล่นชื่อจริงเลยค่ะ ชื่อเดียวกัน จะเรียกลินก็ได้ถ้ามันยาวไปนะ” เธอยิ้มให้เขา
“งั้นเรียกลินดานี่แหละ ผมชอบ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนเอะใจอะไรขึ้นมา ลินดาเลิกคิ้วตามเขา
“ผมหมายถึงชอบชื่อนี้นะ มันหวานๆ ดูเป็นผู้หญิงๆ ดี” ตอนนี้โฟล์คหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ลินดาไม่คิดอะไร
“ขอบคุณค่ะ ฉันก็ชอบชื่อโฟล์ค พอดีชอบรถโฟล์คด้วย”
“ครับ เหมือนกันอีกแล้ว แต่ผมชอบรถโฟล์ค เพราะตัวเองชื่อโฟล์ค” ทั้งคู่หัวเราะ ถ้าโฟล์คต้องเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ เธอก็สบายใจไปอย่างแล้ว เพราะเขาเป็นมิตรและน่ารักมาก
“คุณเบลมาโน่นแล้ว โชคดีนะครับ หวังว่าจะได้ร่วมงานกัน” เขาอวยพรให้เธอ
“ขอบคุณมากค่ะ สมพรปากนะ” ลินดาขยับตัวนั่งให้เข้าที่เข้าทาง เธอไม่รู้จะทำตัวให้เป็นทางการกว่านี้ยังไงแล้ว ในเมื่อสถานที่มันทำให้รู้สึกเหมือนมาเที่ยวบ้านใครสักคนที่ไม่รู้จักเสียมากกว่า หากว่าที่นี่เป็นออฟฟิศจริงๆ เหมือนอย่างที่อื่น เธออาจจะรู้สึกพร้อมกว่านี้ก็ได้
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...” ลินดาชะงักไปเมื่อลุกขึ้นแล้วได้เห็นเบลที่เดินเข้าประตูมา
“สวัสดี ผมเบลครับ คุณลินดาใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” ลินดาตอบเขา แววตาของเธอบ่งบอกว่ากำลังประหลาดใจ เบลก็รู้ดี เขาอมยิ้มเหมือนรู้ทันความคิดของเธอ
“เดินทางมานี่สะดวกไหมครับ” เขาถามเธอโดยวางกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะไปพร้อมกัน เบลตัวสูงมาก เขาสวมเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงยีนส์เดนิมทรงตรง ดูธรรมดาๆ แต่ก็เรียบโก้อย่างพอดิบพอดี เขาสวมถุงเท้าเดินเข้าออฟฟิศมา แน่นอนว่าต้องถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านเหมือนที่เธอกับโฟล์คทำ
“วันนี้นั่งแท็กซี่มาค่ะ ก็คงเรียกได้ว่าสะดวก” เธอตอบเขา
“รอไม่นานใช่ไหมครับ”
“ไม่เลยค่ะ ฉันมาถึงก่อนเวลาเอง ไม่มีปัญหาเลย”
“ดีเลยครับ งั้นเราเริ่มสัมภาษณ์กันเลยดีไหม” เขานั่งลงบนโซฟาตัวถัดไปที่วางทำมุมกับโซฟาตัวที่เธอนั่งอยู่
“ได้ค่ะ” ลินดาขยับตัวบนโซฟาอีกครั้ง คุณเบลนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า วางศอกลงบนเข่าขณะเปิดดูเอกสารต่างๆ ที่ลินดาเตรียมมา ลินดามองดูเขาเปิดไล่ดูประวัติการศึกษาและเรซูเมของเธอทีละบรรทัดอย่างละเอียด เขามีนิ้วมือที่เรียวยาวสวย เมื่อเขานั่งอยู่ใกล้ๆ และใช้สมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ ลินดาจึงได้สังเกตเห็นองค์ประกอบใบหน้าของเขาแบบชัดๆ โดยที่ไม่ต้องตั้งใจอะไรมากมาย เขาเป็นผู้ชายคิ้วหนา ดวงตาค่อนข้างโตแต่ลึก แนวกรามใบหน้าของเขาชัดเจนอย่างที่เรียกกันว่าเครื่องหน้ามีมิติ จมูกก็โด่งผิดกับคนเชื้อชาติเดียวกัน จะเรียกว่าหล่อก็ไม่เชิง แต่โดยรวมเขาดูดีมีเสน่ห์ทีเดียว
“โปรไฟล์ใช้ได้เลยนะครับ” เขาพูดลอยๆ โดยที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
“ภาษาดีด้วย ปกติเป็นคนชอบทำงานกับข้อมูลหรือชอบงานที่ได้เจอคนครับ” เขาวางเอกสารลงบนโต๊ะกลางของชุดโซฟา
“ฉันทำได้ทั้งสองแบบค่ะ อย่างงานปัจจุบันที่ทำอยู่ก็ต้องเจอคน ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่วันว่างๆ ฉันก็อ่านหนังสือเงียบๆ ดูหนังฟังเพลงคนเดียวที่ห้องได้ทั้งวันเหมือนกัน”
“แอมบิเวิร์ทสินะ”
“อะไรนะคะ”
“แอมบิเวิร์ท คนที่ทำได้ทั้งอยู่คนเดียวและอยู่กับคนหมู่มากน่ะ ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สรุปคือทำได้ทั้งสองแบบนะ”
“ค่ะ” ลินดาตอบสั้นๆ เธอเริ่มไม่มั่นใจเมื่อเขารู้เสียแล้วว่าเธอไม่รู้จักคำนั้น
“บริษัทเราจะผลิตสื่อต่างๆ ส่งช่องโทรทัศน์เพื่อออกอากาศ ตอนนี้กำลังจะทำรายการท่องเที่ยวเชิงสารคดี หากว่าจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศไม่ทราบจะสะดวกไหมครับ”
ลินดาเงียบไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ เธอพยายามคิดให้เร็วที่สุด
“น่าจะได้ค่ะ” เธอตอบไปด้วยความมั่นใจเป็นศูนย์
“ครับ แล้วเราจะติดต่อไปนะ”
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







