Mag-log in
ตุลาคม ปี 2001
หน้าหนาวเมื่อปีกลาย อากาศเย็นจัดผิดปกติจากที่เคยเป็นมา เขาว่ากันว่าเป็นเรื่องแปลกเมื่อโลกได้เข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ลินดายังนึกถึงอุณหภูมิ 11.7 องศาเซลเซียสในตำนานซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่ ที่ใครๆ ก็ยังพูดถึงกันอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว และเมื่อถึงเวลาที่ฤดูหนาวของปีนี้ได้แวะเวียนมาถึง เธอจึงนึกย้อนไปถึงบรรยากาศที่แปลกไปในครั้งนั้น
เช้าวันนั้นเธอตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกวูบวาบ อากาศในห้องนอนที่เธอซุกกายลงนอนบนเตียงทุกๆ คืนเช้านี้มันอึงอลแปลกๆ เธอรู้สึกอ่อนเพลียคล้ายคนนอนไม่พอ เธอส่องกระจกสำรวจตัวเองแล้วขมวดคิ้ว เพราะใบหน้าของเธอนั้นดูไม่สดชื่นเท่าไรนัก ริมฝีปากที่เคยแดงสดกลายเป็นสีชมพูซีดๆ ผิดกับวันก่อนๆ ที่เธอจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใสแม้จะยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา เธอยังคงไม่เร่งรีบทำอะไรเพราะวันนี้ไม่มีธุระปะปังที่ไหน นัดเดทกับใครต่อใครก็ไม่มีอย่างสาวรุ่นคนอื่นเขา เธอเข้าไปทำธุระเล็กน้อยในห้องน้ำแล้วจึงออกมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะหยิบไดอารี่ออกมาบอกสวัสดีเช่นทุกวัน
“นี่แก ทำไมไม่ใส่เสื้อกันหนาว เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก พ่อฉันบอก” เสียงเด็กผู้ชายวัยราว 7-8 ขวบดังแว่วๆ ขึ้นมาถึงชั้นสามซึ่งเป็นชั้นห้องพักของลินดา เธอปิดไดอารี่เก็บใส่ลิ้นชักแล้วลุกเดินมาที่หน้าต่างบานพับแบบวิทโก้ ซึ่งจะมีตัวยึดฝืดๆ ทั้งด้านบนและด้านล่างทำหน้าที่ยึดบานหน้าต่างให้เปิดค้างเอาไว้ได้ตามต้องการโดยไม่ถูกลมตีปิด เธอออกแรงผลักมันออกไปจนสุด อุ้ย หนาวจังเลย เธออุทานอยู่ในใจทันทีที่สายลมแรกของเช้านี้พัดปะทะผิวหน้า เมื่อคืนอากาศคงเริ่มหนาวจนเครื่องปรับอากาศตัดการทำงานไปตามอุณหภูมิที่ตั้งเอาไว้หากว่าอากาศภายนอกอาคารนั้นเย็นกว่าภายในห้อง เมื่อหน้าต่างถูกปิดแน่นหนา เครื่องปรับอากาศตัดการทำงาน มวลอากาศจึงหยุดนิ่งคล้ายเป็นฉนวน ถึงว่าล่ะทำไมเช้านี้เธอจึงไม่สดชื่น คงเพราะนอนหลับไปทั้งที่อากาศไม่ถ่ายเทนี่เอง เธอใช้สองมือลูบที่ต้นแขนทั้งสองข้างขึ้นลงสามสี่รอบ บรรยากาศเช้านี้ดูอึมครึม ไม่มีแดดส่องเข้ามาเลยแม้สักลำแสงเดียว แต่สายลมของฤดูหนาวที่ผิดปกติในปีนี้ก็นำพาความสดชื่นมาสู่อารมณ์ความรู้สึกของเธอได้ในอีกแบบหนึ่ง เด็กผู้ชายต้นเสียงที่ทำให้ลินดาเดินมาเปิดหน้าต่างดูตอนนี้เดินเลยตำแหน่งใต้ตึกที่พักของเธอไปราวสิบเมตรได้แล้ว เขาเดินไปพร้อมเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้สวมเสื้อกันหนาวเหมือนอย่างตัวเขา เธออมยิ้ม ผละออกมาจากหน้าต่าง เลือกเสื้อผ้าที่จะสวมใส่วางเตรียมไว้บนเตียง แล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ในอากาศเย็นๆ แบบที่เธอโปรดปรานเป็นที่สุด
ตลอดช่วงเวลานั้นลินดามีความสุขมากโดยที่ไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งอื่นใดในโลก เพียงแค่อากาศเย็นๆ และแรงลมพัดโกรกทั้งรุนแรงและเรื่อยเฉื่อยสลับกันไปก็พาให้ทั้งคืนและวันของเธอช่างแสนสุขอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว
ลินดายังจำช่วงเวลานั้นของปีก่อนได้แม่นยำ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เธอพบเจอไม่ได้บ่อยๆ ห้องพักห้องเดิมของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากวันนั้น ในตู้เสื้อผ้าที่เคยมีแต่ชุดใส่เที่ยวและเครื่องแบบพิธีการต่างๆ ในสมัยเรียน ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยชุดทำงาน และเสื้อสูทของผู้หญิงสีดำอีกหนึ่งตัว
กริ๊งๆ เสียงดังคล้ายกริ่งจักรยานสมัยโบราณดังขึ้นในห้อง เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู โชคดีในการสัมภาษณ์นะ ลินดาอ่านข้อความแล้วกดปุ่มพิมพ์ตอบข้อความนั้นไปสั้นๆ เธอหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าคล้องไหล่ใบเดียวกับที่หิ้วไปทำงานทุกวัน แต่วันนี้เธอมีสัมภาษณ์งานอีกแห่ง เธอเบื่อเต็มทีกับการทำงานเป็นกะ วันนี้เช้า พรุ่งนี้บ่าย มะรืนสาย มะเรื่องดึก แค่ไม่กี่เดือนร่างกายเธอก็รวนจวนจะไม่ไหวอยู่แล้ว ไหนจะลูกค้าไฮโซที่หยิ่งผยองเหมือนเสด็จลงมาจากฟากฟ้าชั้นไหนอีก เธออิ่มตัวแล้วกับที่ทำงานเก่า คงไม่มีใครว่าได้ว่าเธอไม่อดทน ไม่สู้งาน ในเมื่อสู้แล้วมันไม่รักไม่หลงใหลในเนื้องานเลยจริงๆ
เธอสวมสูทตัวเดียวกับที่เป็นยูนิฟอร์มของที่ทำงานเก่า รวบผมคลุมเน็ทไว้ที่ท้ายทอย แล้วถอยห่างออกจากกระจกดูภาพรวม ไม่เวิร์ค เธอส่ายหน้าเบาๆ แล้วปลดเน็ทออกจากมวยผม ใช้นิ้วมือสางผมให้แผ่ขยายออก มวยผมที่เธอเกล้าไว้แต่แรกก่อนคลุมเน็ททำให้ผมที่คลายออกตอนนี้ดูเป็นลอนสวยพอดี ลินดาหยิบกระป๋องสเปรย์มาฉีดพ่นลงไปเพื่อให้ลอนคลายๆ แบบไม่ได้ตั้งใจนี้อยู่ตัวอีกหน่อย น่าจะโอเคแล้ว เธอบอกกับตัวเอง เธอหยิบรองเท้าส้นสูงมาสวมแล้วส่องกระจกบานสูงอีกครั้งก่อนออกจากห้องไปด้วยความมั่นใจ
ลินดาปิดประตูห้อง ไขกุญแจล็อค แล้วใช้ข้อนิ้วเคาะประตูสามครั้งราวกับจะเรียกใคร
“เพื่อนมาค้างเหรอจ๊ะหนู” ลินดาสะดุ้งเมื่อได้ยินคำทักทายจากเพื่อนบ้าน
“อ้อ เปล่าค่ะ” เธอตอบ
“แล้วเคาะประตูเรียกใครล่ะ” คุณป้ายังถามต่อด้วยสีหน้าสงสัยอย่างจริงใจ ไม่มีความรู้สึกอื่นใดเจือปนนอกเสียจากความอยากรู้และอยากเห็น
“แหะๆ เปล่าค่ะ” หนูไปก่อนนะคะ ลินดารีบหันหลังแล้วลงบันไดมาข้างล่าง เธอจะตอบคุณป้ายังไงไม่ให้ต้องอายว่าเธอเคาะประตูห้องตัวเองสามครั้งก่อนออกจากบ้านในวันสำคัญเพราะเธอเชื่อว่าเลขสามเป็นเลขนำโชคของเธอ แล้วตั้งแต่เช้ามานี้ ไม่มีอะไรที่เธอจะทำเพื่อเลขสามได้เลย สวมรองเท้าสามข้าง ทาปากสามสี ผูกโบว์สามอัน มันทำไม่ได้จริงๆ
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







