LOGIN“ขอบคุณมากค่ะ งั้นวันนี้คงเท่านี้ใช่ไหมคะ” คุณเบลยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ลินดาลุกขึ้นยืน หยิบข้าวของที่วางไว้ข้างตัวเตรียมจะกลับบ้าน คุณเบลเปิดประตูรอให้เธอเดินนำออกมาก่อน เธอไม่ได้หันกลับไปมองทางโฟล์คเลย วินาทีนี้เธอได้แต่พยายามสำรวมอาการให้มากที่สุดขณะที่ออกมาใส่รองเท้า
“ฉันลาแล้วนะคะ หวังว่าจะได้ยินข่าวดี” ลินดาพยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของคุณเบลให้ละเอียดที่สุด เผื่อว่าคำตอบของเขาจะเผยออกมาด้วยภาษากายทางใดบ้าง แต่ก็ไม่มีเลย เขายังตอบสั้นๆ เพียงว่า ครับ แล้วก็อมยิ้มน้อยๆ เหมือนอย่างเดิม
เขาเดินมาส่งเธอจนพ้นประตูรั้วแล้วจึงกลับเข้าไป ลินดาเดินย้อนกลับมาทางเดิมที่เธอนั่งแท็กซี่เข้ามาจนถึงริมถนนใหญ่ ใจของเธอเหี่ยวแห้งไปหมด พรุ่งนี้คงต้องกลับไปเข้ากะสินะ เธอพ้อกับตัวเองอยู่ในใจ
ระหว่างรอรถแท็กซี่ เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าขึ้นมาแล้วเปิดเครื่อง ตามคาด มีข้อความจากเจสซีเข้ามา เมื่อเรียกรถได้ บอกที่หมายปลายทางกับโชเฟอร์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วเธอจึงโทรกลับไปหาเพื่อนสนิท
“ฮัลโหล เป็นไงบ้าง ข่าวดีไหมยะหล่อน” เจสซีรับสายเธอด้วยน้ำเสียงเริงร่า ลินดาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจใส่โทรศัพท์มือถือเป็นคำตอบ
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”
“รู้เหรอว่าฉันจะพูดอะไร”
“แหม ถอนใจยาวดังเฮือกขนาดนั้น จะให้ฉันเข้าใจว่าอะไรได้ ให้ฉันไปหาไหม” เจสซีเสนอตัวมาปลอบใจเพื่อน
“ฉันเกรงใจน่ะ แต่มาเถอะ” ลินดายิ้มแห้งอยู่ในรถ เจสซีหัวเราะเข้ามาในสาย
“ได้ๆ ฉันว่าง เดี๋ยวเจอกันที่ห้องเธอเลยแล้วกันนะ อีกนานไหม ฉันจะได้กะเวลาถูก”
“สัก 20 นาทีแล้วกันนะ ถ้ามาถึงก่อนเธอไปรอร้านควินัวส์ก็ได้ นั่งกินนั่งคุยกันไป ดีไหม” ลินดาลองถามเจสซี
“ได้จ้ะ สบายมาก งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ อย่าทำหน้าบูดให้มากนักล่ะ เผื่อระหว่างทางเจอชายในฝัน เดี๋ยวไม่เข้าตาเขาไม่รู้ด้วยนา” เจสซีหยอกลินดา
“ย่ะหล่อน เดี๋ยวเจอกันนะ ฉันจะวางละ”
“จ้ะ บาย”
ลินดาวางสายจากเจสซี ยังไม่ทันได้พูดอะไรเจสซีก็รู้เสียแล้วว่าเธอผิดหวังมา แม้ว่าคุณเบลจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่คำว่า แล้วจะติดต่อไป มันก็คือการปฏิเสธที่ใครๆ ต่างก็เข้าใจกันเป็นสากล คงจะเหมือนเสียงถอนหายใจที่ทำให้เจสซีเข้าใจเรื่องราวในทันทีเช่นกัน
ลินดานั่งมองข้างทางที่รถแล่นผ่านไปในแต่ละแยกถนน ย่านนี้ค่อนข้างคึกคักทีเดียว ร้านรวงต่างๆ มากมายเปิดเรียงรายกันแทบไม่ได้เว้นช่องว่าง แผงลอยขายอาหารมีให้เลือกเหลือเฟือแทบไม่ซ้ำ ถ้าได้ทำงานที่นี่ก็คงจะดี แต่ก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่เป็นไร เธอบอกกับตัวเอง
ราว 20 นาทีแท็กซี่ก็มาส่งเธอถึงหน้าที่พักตามที่กะเวลาเอาไว้เป๊ะๆ เธอจ่ายเงินแล้วลงจากรถ
“ลินดา” เธอหันกลับมามองตามเสียงเรียก เจสซีกำลังวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา
“อ้าว เจสซี เพิ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ”
“ใช่ จอดรถไว้ที่เก่าแล้วเดินมาเนี่ย” เจสซีเดินเข้ามาใกล้แล้วกอดลินดาโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“อะไรๆ” ลินดาหัวเราะแก้เขิน
“กอดปลอบใจไง ขึ้นข้างบนเลยไหม หรือจะแวะกินข้าวกันก่อน”
“เธอหิวไหมล่ะ”
“ไม่หิว แต่อยากกินสลัดอะโวคาโด”
“เอ้า งั้นก็ตามนั้นเลย”
สองสาวเดินไปด้วยกันอย่างสนิทสนม เจสซีเป็นเพื่อนลินดามาตั้งแต่สมัยเรียน เธอยังจำได้แม่นถึงวันแรกที่ได้เริ่มรู้จักกันจริงจัง มากไปกว่าการได้รู้จักแค่หน้าตาและชื่อเสียงเรียงนามในฐานะเพื่อนร่วมห้อง เธอนั่งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทท์พกพายี่ห้อโซนีที่เรียกกันด้วยคำแสลงติดปากในยุคนั้นว่าซาวด์อะเบาท์ ลินดานั่งโยกศีรษะเบาๆ ไปตามจังหวะเพลงที่เล่นอยู่ในเครื่องเล่น แล้วจู่ๆ เจสซีก็โผล่เข้ามาตรงหน้า ยกหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูของลินดา แล้วถามเธอด้วยสีหน้าทะเล้นน่ารักว่า ฟังอะไรอยู่จ๊ะ ลินดามองเห็นเจสซีอยู่ตลอด เธอเป็นคนร่าเริงและเรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นคนหนึ่งในห้อง คงเพราะอัธยาศัยและความเป็นมิตรของเธอทำให้เจสซีเข้ามาทักลินดาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“พลาซีโบ” ลินดาตอบเจสซี
“ที่ร้องเพลง เอฟเวอรี ยู เอฟเวอรี มี น่ะเหรอ ฉันชอบเหมือนเธอเลย” แล้วเจสซีก็ต่อบทสนทนากับลินดาเหมือนคนสนิทกันมานานอย่างสนุกสนาน
เจสซีขอเป็นคนเลือกโต๊ะที่นั่งในร้านควินัวส์วันนี้ ลินดาเดินตามเธอเข้าไปแล้ววางกระเป๋าลงบนโต๊ะกลมสีส้มซึ่งเป็นธีมสีหลักของร้าน
“ดีจังเลยที่แถวนี้มีร้านแบบนี้ด้วย ของกินก็ดี อยากเอาโน้ตบุคมากางทำงานทั้งวันเลย ฉันช้อบชอบ” เจสซีหยิบเมนูที่วางอยู่บนโต๊ะมาพลิกดู “สลัด สลัด สลัด เอาสลัดอะไรดีนะวันนี้” เธอเปรยออกมาระหว่างเลือกของกินธรรมดาๆ อย่างมีชีวิตชีวาที่สุด ลินดามองดูเพื่อนสนิทแล้วก็อดจะอมยิ้มออกมาไม่ได้ สุดท้ายเจสซีก็เลือกสลัดอะโวคาโดตามที่บอกไว้ว่าอยากกิน แล้วจะพลิกหน้าเลือกโน่นนี่ทำไมให้มันเหนื่อยล่ะน้า แม่เจ้าประคุณ
“เธอล่ะ กินอะไรดี” เจสซีส่งเมนูให้ลินดาเลือกบ้าง ลินดาส่ายหน้าแล้วรับเมนูมาพลิกดูสองสามหน้า
“ไม่กินได้ไหมนะ” ลินดาตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่สายตาก็ยังกวาดดูแต่ละเมนูไปเรื่อยๆ
“ไม่ได้ๆ ต้องกิน กินสลัดเหมือนฉันไง ไม่อ้วน” เจสซีคะยั้นคะยอ ลินดายังไม่ตัดสินใจ เธอไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรสักนิดเลยตอนนี้
“ก็ได้ งั้นเอาเหมือนเธอแล้วกัน ขี้เกียจคิด” ลินดาปิดเล่มเมนู
“โอเค เอ้อนี่...” เจสซีพูดขึ้นมาเหมือนคิดอะไรออกแล้วอยากบอกกับเพื่อน
“ว่า”
“เราใส่ห่อขึ้นไปกินข้างบนได้ไหม”
“ทำไมล่ะ ไหนบอกชอบร้านนี้”
“ก็ใช่ แต่ขึ้นไปก่อนแล้วเดี๋ยวฉันจะบอกนะ”
“เอ้า โอเคๆ ตามใจ ขอเลือกที่นั่งเอง พอได้นั่งแล้วก็อยากขึ้นไปกินข้างบนห้อง อะไรของเธอก็ไม่รู้เนี่ย” ลินดาทำท่าจะหยิบกระเป๋า
“ยังไม่ต้องหยิบสิ เดี๋ยวได้ของกิน จ่ายเงินเสร็จค่อยไปทีเดียว”
“มันใช่ที่นั่งรอไหมล่ะตรงนี้ เผื่อคนอื่นเขาอยากจะมานั่ง”
“ไม่เห็นจะมีใครเลย เธอนี่ขี้เกรงใจคนอื่นตลอดเลยนะ หยวนๆ บ้างก็ได้ ใจดีกับตัวเองก่อน รอนี่ล่ะ เดี๋ยวฉันไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ ให้เขาแพ็คกลับบ้านให้ ตกลงเอาเหมือนฉันนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองเลยมื้อนี้” ลินดาทำท่าจะปฏิเสธ แต่เจสซีก็ชูนิ้วชี้ขึ้นมาพร้อมทั้งลุกขึ้นเป็นการยืนยันว่าเธอจะต้องได้เป็นเจ้ามือ ลินดายิ้มแล้วพยักเพยิดบอกกับเพื่อนด้วยสีหน้าว่ายอมแล้ว
เธอมองดูเพื่อนเดินไปคุยกับพนักงานขายที่เคาน์เตอร์อย่างเริงร่าไร้ความกังวล ทำไมเจสซีถึงได้อารมณ์ดีตลอดเวลาอย่างนี้นะ เธออยากจะเป็นให้ได้อย่างนั้นบ้างจัง
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่




![นางบำเรอ [5P]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


