เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก
ข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะ
ใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมา
มันทำให้เขาไม่สบายใจ
ความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?
ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริง
อาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...
คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสา
มันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมัน
เกลียดความรู้สึกนี้...
ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโรงพยาบาล และในห้าวันนั้น คีรินทร์อยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง ราวกับความแค้นและบาดแผลในใจก่อนหน้านี้...ไม่เคยเกิดขึ้น
แม้ตอนแรกเด็กชายจะหวาดผวาทุกครั้งที่เห็นเขา แต่เมลินก็ยังจับมือลูกไว้แน่น พูดเสียงนุ่ม
“แม่อยู่นี่นะลูก คนนี้...เขาไม่ทำอะไรเรา”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้น ค่อยๆ เปลี่ยนความกลัวในดวงตาเล็กๆ ให้กลายเป็นความคุ้นเคย
“ปะป๊า...” เสียงเรียกแผ่วเบาในเช้าวันที่สาม ทำเอาเขานิ่งค้างไปชั่วขณะ
“ว่าไงครับ” เสียงตอบกลับของเขาเบากว่าทุกครั้ง มือหนายกขึ้นลูบศีรษะลูกอย่างเผลอไผล
จากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสามก็เหมือนครอบครัว...โดยไม่รู้ตัว
คีรินทร์ไม่พูดมาก แต่เขาอุ้มน้องน๊อตตอนร้อง เมลินป้อนข้าว ลูกหัวเราะให้เขาเวลาฟังนิทาน และในทุกคืนเมลินก็ยังอยู่ตรงนั้น...ข้างเตียงลูก เหมือนแม่กับพ่อกับลูกในนิทานที่เด็กๆ ควรจะมี
แต่แล้วเสียงหนึ่งกลับกระชากพวกเขากลับสู่โลกแห่งความจริง
“น้องน๊อตแข็งแรงดีแล้วนะ กลับบ้านได้พรุ่งนี้” หมออคินกล่าวเรียบๆ ขณะตรวจเช็กอาการในวันที่ห้า
เพียงคำพูดนั้น ก็เหมือนเสียงฟ้าฟาดลงกลางใจ
คีรินทร์เมินหน้าหนี แววตาเข้มแข็งกลายเป็นสับสนโดยไม่ปิดบัง เมลินนั่งนิ่ง ใบหน้าซีดขาว ไร้เสียงพูดใดใด แต่เธอกำลังหวาดกลัวว่า...เขาจะพรากลูกไปอีกครั้ง
และเด็กชายอายุห้าขวบ ที่แม้จะยังไร้เดียงสา แต่ก็รับรู้ทุกอย่าง
คืนนั้น น้องน๊อตกระซิบถามเบาๆ ขณะนั่งบนเตียงข้างคีรินทร์
“พ่อครับ ถ้าผมหายดีแล้ว...แม่จะต้องไปใช่มั้ย?”
เขาชะงัก เสียงที่ถามนั้นใสซื่อแต่เจ็บลึก
คีรินทร์เงียบไปนาน ก่อนยื่นมือไปลูบหัวลูกเบาๆ
“กลางวัน...ถ้าแม่ทำตัวดี พ่อจะให้มาอยู่กับน๊อต” เขาเว้นวรรค ก่อนพูดต่อ
“กลางคืน แม่จะมานอนกล่อมน๊อตจนหลับ...แต่ต้องหัดนอนเองนะ น๊อตเป็นผู้ชายแล้ว”
เด็กชายยิ้มกว้างทันที โผเข้ากอดพ่อด้วยแขนเล็กๆ ที่อบอุ่นราวแสงอาทิตย์
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ในวันถัดมา ทุกอย่างเป็นไปตามที่คีรินทร์รับปากไว้ เขาอนุญาตให้เมลินได้อยู่กับลูกในห้องเล่น กลางวันนั่งวาดรูปด้วยกัน
บางครั้งคีรินทร์ก็นั่งเงียบมองอยู่ในมุมห้อง แม้จะไม่พูดอะไร แต่ทุกการกระทำของเขาล้วนส่งเสียง
“คีรินทร์...” เมลินเรียกเขาเบาๆ ขณะยื่นแก้วน้ำมาให้
เขามองเพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนี ไม่แม้แต่จะขยับตัวรับ
เธอไม่ได้ว่าอะไร เก็บแก้วน้ำกลับเงียบๆ และหันไปสนใจลูกเหมือนเดิม
ความเงียบระหว่างพวกเขาหนักอึ้ง
แต่สิ่งที่หนักกว่านั้น...คือคำถามในหัวของคีรินทร์ ที่ยังวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้าเขาเป็นลูกฉันจริง...แล้วทำไมเธอต้องหนี?”
“หรือว่าเธอ...เป็นสายของมัน?”
เพียงแค่คิดถึง 'มัน' ดวงตาของเขาก็แข็งกร้าวทันที
และ......การตายของคริส น้องชายต่างแม่ของเขา
ความรู้สึกที่หนักนี้ ทำให้เขาสับสนในวนเวียน ความรัก ความแค้น
กระทั่งคืนหนึ่ง...
คีรินทร์ออกจากบ้านหลังรับโทรศัพท์จากหมออคิน และไปดื่มหนักจนเมามายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“...แกยังสงสัยในตัวเมลินอยู่?” อคินถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบในร้านเหล้าส่วนตัว
“ใช่...และฉันต้องการรู้ความจริง” คำตอบนั้นราวกับเขากำลังทรมานตัวเอง
…อุณหภูมิภายในห้องชั้นใต้ดินต่ำกว่าชั้นอื่นในคฤหาสน์ แต่ไอร้อนจากแววตาของชายตรงหน้าทำให้ทั้งบรรยากาศกลับร้อนระอุจนน่าหวาดหวั่น…
เสียงประตูเหล็กเปิดออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของ คีรินทร์ เดินตรงเข้ามาด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์แรงจัดปะทะลมหายใจในทันที ดวงตาคมกริบคล้ายเสือที่ถูกปลุกจากการจำศีล จ้องตรงมายังหญิงสาวที่สะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียงเหล็ก
“คุณ... เมาเหรอ?” เสียงของเมลินสั่นพร่า ปลายเสียงตะกุกตะกักด้วยความตกใจและกังวล
เธอไม่ได้กลัวเพราะเขาเมา... แต่กลัวว่าในค่ำคืนนี้ เขาจะมองเธอเป็นศัตรู
เขาไม่ได้ตอบ... เพียงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงนั้น หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุอก มือหนึ่งค่อย ๆ ดึงเนกไทออกอย่างเชื่องช้า ก่อนโยนมันทิ้งลงพื้นราวกับอารมณ์ในใจเขาก็ไม่ต้องการเหตุผลอีกต่อไป
“บอกฉัน...” น้ำเสียงต่ำลึกและหอบน้อย ๆ จากฤทธิ์เหล้า
“วันนั้นที่หนีไป เธอคิดอะไรอยู่?”
หญิงสาวกำมือแน่น พยายามตั้งสติ ในขณะที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากของเธออย่างไม่ปิดบัง
“ฉันไม่มีทางเลือก...” เธอกระซิบ
หมับ!
มือใหญ่กระชากแขนเธอให้ลุกขึ้นแทบจะทันที ร่างของเธอเซไปปะทะอกกว้างนั้น กลิ่นตัวเขาผสมกับกลิ่นเหล้าทำให้เธอรู้สึกเวียนหัว แต่กลับไม่ได้ผลักเขาออก—กลับยืนนิ่ง… ราวกับหัวใจกำลังชั่งน้ำหนักระหว่าง “กลัว” กับ “โหยหา”
“ไม่มีทางเลือก? หรือเธอเลือกแล้ว?”
เสียงเขาหนักขึ้น มือข้างหนึ่งจับปลายคางเธอบีบเบา ๆ ให้แหงนหน้าขึ้นสบตา—แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและแรงปรารถนาอันเจ็บปวด
“เธอหลอกฉัน... เมลิน”
“ฉันไม่เคยหลอก—”
“โกหก!” เขาคำราม ขบกรามแน่น
แล้วทันใดนั้น ปากของเขาก็ประกบลงมาอย่างรุนแรง ดุดัน — ขบเม้มริมฝีปากล่างเธอราวกับลงโทษให้กับความเงียบตลอดห้าปีที่หายไป
จูบนั้นทั้งโกรธ ทั้งโหยหา…เหมือนเขากำลังลงโทษเธอ... และลงโทษตัวเองไปพร้อมกัน
“อื้อ...” เธอพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่เขากลับจับท้ายทอยไว้แน่น ดึงเธอกลับมา
ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต—กวาดล้างทุกความกลัว ทวงสิทธิ์ของความเป็นเจ้าของที่เขาคิดว่าถูกช่วงชิงไป
“ฉันควรเกลียดเธอ...” เขากระซิบชิดแก้ม หอบหายใจหนักหน่วง ขณะที่มือหนาเลื่อนไปยังต้นแขนเธอ—ดึงเสื้อเชิ้ตหลุดจากไหล่ลงมาอย่างไม่ลังเล
“แต่ฉัน...โคตรอยากได้เธอคืน”
...เพราะถ้าเธอจากไปอีกครั้ง—เขาไม่มั่นใจว่า จะมีหัวใจพอให้เกลียดเธอได้อีก
เสื้อเชิ้ตบางถูกกระชากออกจากร่าง เผยผิวขาวซีดสะท้อนกับแสงสลัวของไฟห้องใต้ดิน คีรินทร์จ้องมันเหมือนต้องการเผาเธอด้วยสายตา ก่อนจะ โน้มตัวลงลากลิ้นจากไหปลาร้าขึ้นไปถึงคาง
เธอสะท้านเฮือกกับสัมผัสที่ปะทุไปทั่วร่าง มือสั่นเทาจิกเข้ากับอกเสื้อของเขาแต่กลับไม่ผลักออก
เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้น—ขยุ้มอกนุ่มผ่านเสื้อชั้นใน บีบเคล้นด้วยแรงที่ผสมทั้งความแค้นและความกระหาย ก่อนจะ...
...เสียงหอบกระชั้นของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับแรงสัมผัสที่ไม่มีวี่แววจะผ่อนเบา…
คีรินทร์ผลักร่างเธอลงกับเตียงเหล็กอย่างแรงพอให้เธอจำได้ว่า เขาคือคนที่มีอำนาจเหนือเธอทุกตารางนิ้ว
เขาขึ้นคร่อมทันที… มือทั้งสองข้างตึงแน่นรั้งข้อมือบางของเธอไว้เหนือศีรษะ ร่างทั้งร่างของเมลินถูกกักขังอยู่ใต้เขา ไม่มีทางหนี และไม่มีเจตนาจะหนี
“คนทรยศ...จะไม่มีวันหนีไปได้อีก” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าข้างใบหู
จากนั้นลากลิ้นร้อนวนช้า ๆ ใต้กรามเธอ ไล่ต่ำลงไปยังเนินอก — ขบเบา ๆ อย่างเร้าอารมณ์ ก่อนจะใช้ฟันขบหนักลงบนเนื้ออ่อนตรงเหนือบรา จนเธอสะดุ้ง
“อ๊ะ...!” เสียงเธอสั่นพร่าและแหบหอบ แต่กลับไม่เปล่งคำปฏิเสธ
คีรินทร์ถอดเสื้อชั้นในของเธอออกอย่างรุนแรง
ฉีกมันด้วยมือเดียว แล้วโยนทิ้งลงพื้น
แววตาของเขาแทบกลืนกินทุกส่วนบนเรือนร่างตรงหน้า มือใหญ่ร้อนผ่าวเคล้นหน้าอกกลมได้รูป ดันเข้าหาตัว ใช้ลิ้นและริมฝีปากดูดขบวนจุดยอดอ่อนไหวจนแดงช้ำ
“ไม่...” เธอพยายามจะต่อต้าน — แต่เสียงเบาเหลือเกิน จนแทบกลืนหายไปกับเสียงหอบของเธอเอง
เขาละจากยอดอก เปลี่ยนไปไล้ลิ้นลากเส้นลงตามหน้าท้องที่สั่นไหวจากแรงหายใจของเธอ มืออีกข้างค่อย ๆ เลื่อนไปปลดกระดุมกางเกงนอนบางเบา
“อย่า...อย่าทำแบบนี้” เธอพูดพลางน้ำตาคลอ แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความวูบไหวปนสับสน
“แล้วเธอจะหยุดฉันได้ยังไง ในเมื่อร่างกายเธอกำลังเรียกร้องฉัน…”
เขาตวัดลิ้นร้อนเลียผ่านผิวเนื้อเนียนที่เริ่มชื้นเหงื่อ ลากผ่านหน้าท้องต่ำลงไป—ก่อนใช้ฟันขบขอบกางเกงในบางเบาแล้วดึงมันลงอย่างยั่วเย้า ราวกับจะลงโทษความเงียบที่เธอใช้กับเขาตลอดห้าปี
มือหนาแทรกระหว่างขาเธอช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วไล้วนอย่างแม่นยำจนเธอสะท้านเฮือก
“อื๊อออ… คีรินทร์…” เธอครางชื่อเขาเสียงสั่น
เพียงแค่นั้น...
เขาหยุดทุกการกระทำไว้ชั่วครู่
แววตานั้นสั่นไหว…
เขาจ้องใบหน้าของเธอ—ที่น้ำตาคลอแต่ดวงตาเต็มไปด้วย “ความรู้สึก” ไม่ใช่คำหลอกลวง
“ทำไมเธอไม่พูด…?”
เธอเม้มปาก ไม่ตอบ ร่างกายยังสั่นจากแรงสัมผัสที่ผ่านมา แต่หัวใจกลับแน่นขึง
แล้วเขาก็คร่อมลงมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งใจทั้งกาย
ไม่ใช่แค่ ‘ลงโทษ’ — แต่คือ ‘การครอบครอง’
คีรินทร์กดสะโพกลง กระแทกเข้าไปในตัวเธออย่างรุนแรงในจังหวะแรก
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสะท้านกำแพงห้อง
เธอกัดปากแน่น แอ่นตัวรับแรงกระแทกที่ไหลลื่นเข้าสุดแก่น
“เธอเป็นของฉัน...” เขากระซิบเสียงพร่า ขณะจังหวะขยับสะโพกเพิ่มความรุนแรงและถี่ขึ้น
“ทั้งร่างกายนี้ หัวใจนี้ และทุกความทรงจำในร่างเธอ...เป็นของฉัน!”
เขา บดสะโพกกระแทกลึกในจังหวะเน้นๆ สองครั้งติด จนเสียงครางของเธอดังลั่นห้อง
เสียงเนื้อกระทบ เสียงหอบ เสียงคราง ประสานกันเป็นจังหวะที่แทบไม่มีช่องให้ตั้งสติ
เขาขบไหล่เธอ ดูดดุนติ่งหู มือบีบสะโพกเธอแน่น เปลี่ยนท่ารวดเร็ว — พลิกเธอคว่ำหน้า แล้วจับสะโพกให้ลอยขึ้น
“ฉันจะทำให้เธอจำไปทั้งชีวิต ว่าฉันคือใคร!”
เขากระแทกเข้าด้านหลังอย่างไม่ปรานี ลึกและแน่นจนเสียงครางของเธอกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“อ๊าาา... คีรินทร์... พอ...”
“ไม่พอ จนกว่าเธอจะยอมพูดความจริงทั้งหมด”
เสียงหอบยังแทรกผ่านริมฝีปาก ก่อนที่เมลินจะถูกจับพลิกร่างกลับอย่างรุนแรง และถูกยึดครองอีกครั้งจากด้านหน้า“มองหน้าฉัน…แล้วบอกสิว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย”คีรินทร์กระซิบเสียงพร่า ขณะร่างใหญ่กระแทกเข้าสุดแก่นอีกครั้งจังหวะนั้น เมลินสะท้านจนแทบน้ำตาไหล เพราะมันลึก มันแน่น มันเจ็บแต่มันก็หวานหวิวเหมือนตกลงเหวแห่งความรักและความแค้นพร้อมกัน“ฉัน...ไม่...” เธอพยายามห้ามน้ำตา พยายามปฏิเสธทั้งที่เสียงครางยังสั่นไหวอยู่ในลำคอเขาใช้ปลายนิ้วเชยคางเธอขึ้น บีบแน่นแต่ไม่ถึงกับทำร้าย“เธอโกหก...แม้แต่ตอนนี้ก็ยังโกหก”พูดจบ เขาก็ ดูดเม้มปากเธออย่างรุนแรง — ราวกับจะลงโทษถ้อยคำลวงโลกที่เธอกลืนมันไว้กับหัวใจลิ้นร้อนแทรกเข้าไปภายใน…เกี่ยวพันอย่างบ้าคลั่ง หยาบคายแต่โหยหาจนเธอเกร็งสะท้านไปทั้งตัวร่างกายเขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้น รุนแรงขึ้นกระแทก — ลึกขึ้นบดขยี้ — หนักหน่วงกว่าเดิมดึงต้นขาเธอขึ้นคร่อมบนสะโพกเขา แล้ว สอดแทรกในมุมที่ลึกกว่าเดิม จนเธอสะดุ้
เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมามันทำให้เขาไม่สบายใจความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริงอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสามันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมันเกลียดความรู้สึกนี้...ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโ
เสียงล้อรถแล่นเข้าจอดหน้าตึกฉุกเฉินในช่วงดึกสงัด ทันทีที่ประตูรถเปิดออก คีรินทร์ก็ก้าวลงมาก่อนจะอุ้มน้องน็อตที่ซบแนบอกเขาด้วยไข้ตัวร้อนจี๋ เมลินก้าวลงตามด้วยสีหน้าซีดเผือดและอ่อนแรง แต่ยังฝืนเดินไปกับเขาอย่างไม่คิดปล่อยลูกให้พ้นสายตาไฟในโถงฉุกเฉินสว่างจ้า แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเงียบงันที่แปลกประหลาด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังสม่ำเสมอขณะชายร่างสูงในชุดสูทดำเดินตรงเข้ามา สายตานิ่งเย็นเฉียบพลันเหมือนคมมีดกรีดใจใครต่อใครในเสี้ยววินาทีคีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ไม่แม้แต่จะปรายตามองใครรอบตัว โทรศัพท์ในมือติดแนบหูอย่างรวดเร็ว“อคิน อยู่ไหน?”“เพิ่งลงเครื่อง” เสียงตอบกลับนิ่งเย็น แต่ฟังดูไม่เร่งรีบ“เกิดอะไรขึ้น?”“ลูก...เมลิน ลูกชายเธอ ป่วย”เพียงประโยคนั้นก็เพียงพอให้ปลายสายเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเร่งเร้า“ห้องไหน?”ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา หมออคินก็มาถึงเขาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่พูดพร่ำกับใคร ทิ้งให้เพื่อนมาเ
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่