“อื้อหือ ... ห๊อม... หอม พี่รินทร์ทำอะไรกินมั่งเนี่ยกลิ่นหอมไปถึงหน้าบ้านเลย” ปริณทำจมูกฟุดฟิด หลับตาพริ้ม หยอกเย้าพี่สาวคนสวย
“เมนูวันนี้ มีปลาทับทิมสามรสของโปรดคุณพ่อ ยำสามกรอบของโปรดคุณแม่ ผัดกะเพราไข่เยี่ยวม้าของโปรดพี่ แล้วก็ต้มขาไก่ซุปเปอร์ของโปรดแกไง เห็นบ่นนักบ่นหนาว่าอยากกินตีนนนนนน ฮ่าๆๆๆ “ เธอตอบน้องชายอย่างอารมณ์ดี เสียงหัวเราะของสองพี่น้องดังออกไปถึงหน้าบ้าน จนนางวิมาลาต้องเดินเข้ามาดู
“สองพี่น้องนี่เล่นอะไรกันเสียงดังไปถึงข้างนอกเลยลูก” นางวิมาลายิ้มให้กับลูกทั้งสองคนของเธอ
“อาหารเสร็จหมดแล้วค่ะแม่ เดี๋ยวปริณช่วยพี่ตั้งโต๊ะได้เลยนะ แล้วพ่อล่ะคะกลับมาหรือยัง" มาลารินทร์เอ่ยถามมารดาถึงนายบุรินทร์ บิดาของเธอ
“ยังเลยลูก นี่ก็จะสองทุ่มแล้วนะทำไมยังไม่ถึงบ้านก็ไม่รู้ แม่โทรหาก็ไม่ติด ไม่รู้โทรศัพท์แบตหมดหรือเปล่า”
นางวิมาลาตอบกลับบุตรสาวแววตาฉายแววกังวล ปกติสามีไม่เคยกลับผิดเวลาเกินหนึ่งชั่วโมง ถ้ามีธุระสำคัญอะไรจะต้องโทรมาบอกนางก่อนทุกครั้ง แต่นี่เกินเวลาไปจะสองชั่วโมงแล้วมิหนำซ้ำยังติดต่อสามีไม่ได้อีก
“รถอาจจะติดก็ได้ค่ะแม่ รินทร์ว่าอีกสักพักพ่อก็คงจะถึงค่ะ” เธอบอกกับแม่ของพร้อมกับประคองนางวิมาลาออกมานั่งรับลมรอที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
เวลา 21.30 น.
“ฮึก... ฮือออ รินทร์ สามทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม่พ่อยังไม่กลับมา ฮืออ ...ฮึก แม่ใจคอไม่ดีเลยลูก”
นางวิมาลาพูดกับลูกสาวด้วยเสียงสะอื้นสั่นเทา ร่างบางรีบเดินมานั่งใกล้ ๆ มารดาแล้วกอดประคองไว้ พลางลูบหลังลูบไหล่เบาๆ อย่างปลอบโยน ทั้งที่ใจตัวเองก็ร้อนรุ่มไม่ต่างกัน แต่ก็ยังพยายามฝืนพูดให้น้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แม่ใจเย็น ๆ นะคะ เดี๋ยวพ่อก็กลับมา ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่อย่ากังวลใจไปเลยนะ" เธอพูดปลอบมารดาทั้งที่เรียวปากสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ยอมรับว่าตัวเองก็ใจเสียไม่แพ้กัน
“กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ”
เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของมาลารินทร์ดังขึ้น เธอจึงคลายอ้อมกอดจากนางวิมาลาแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปรับโทรศัพท์ที่ชาร์ทแบตไว้ในบ้าน หน้าจอสมาร์ทโฟนปรากฎชื่อ นายบุรินทร์ ผู้เป็นบิดา จึงยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะรีบกดรับสาย
“คุณพ่ออยู่ไหนคะเนี่ยดึกแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้าน หนูกับแม่เป็นห่วงแทบแย่” มาลารินทร์พูดออกไปโดยไม่ได้ฟังเสียงปลายสายเลยสักคำ
“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นพยาบาลจากรพ.XXX นะคะ ตอนนี้คุณบุรินทร์ประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส อยู่ที่รพ.XXX ค่ะ เราพบว่าโทรศัพท์คนไข้แบตหมดจึงนำมาชาร์ตแล้วลองเปิดหาเบอร์โทรญาติดู พบเบอร์ของคุณเลยรีบโทรมาแจ้งให้ทราบค่ะ … คุณ .... คุณคะ....คุณได้ยินหรือเปล่า ....ยังฟังอยู่ไหมคะคุณ?”
มาลารินทร์ถือโทรศัพท์แนบหูค้างอยู่อย่างนั้น รู้สึกแน่นในอกจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ น้ำตาคลอสองหน่วยตาแล้วไหลหยดลมาเปียกสองแก้ม แต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากเธอ ... ใช่...เธอกำลังซ็อคกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงพยาบาลปลายสายยังคงเรียกเธออยู่ แต่ตอนนี้ลำคอเธอตีบตัน หน้าร้อนวูบวาบเหมือนจะเป็นลม
“พี่รินทร์ พี่เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ปริณเขย่าตัวพี่สาวแรง ๆ เพื่อเรียกสติ ได้ผล ... เธอหันมามองน้องชายแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ปริณ ...ฮึกกกก ฮืออออ รพ.XXX โทรมาบอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสอยู่ เราต้องรีบไป ไปหาพ่อกัน ฮือๆๆๆ”
ร่างบางสะอื้นตัวโยน ในขณะที่นางวิมาลาได้ยินทั้งหมดที่ลูกสาวกับลูกชายคุยกัน นางยืนตกตะลึงอยู่หน้าประตูกลางบ้าน แล้วค่อย ๆ เซล้มลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ปริณรีบผละจากพี่สาว แล้วเข้าไปประคองแม่ มาลารินทร์ได้สติจึงรีบวิ่งเข้าไปดูมารดา ปริณสั่งให้พี่สาวดูแลแม่ไว้ ส่วนเขารีบวิ่งไปขับรถออกมา แล้วพาทุกคนไปรพ.XXX ทันที
@ รพ.XXX หน้าห้อง ICU
“รินทร์ พ่อเป็นยังงัยบ้าง ปริณโทรมาบอกฉันก็รีบตามมาเลย”
สายป่านวิ่งมาหาทุกคนที่กำลังยืนรออยู่หน้าห้อง ICU ร่างบางผวาเข้าหาเพื่อนที่เพิ่งมาถึงแล้วกอดซบหน้าลงกับอกเพื่อน ร้องไห้สะอื้นตัวโยนจนน้ำตาเปียกชุ่มเสื้อของสายป่าน
แกร๊ก ... แอ๊ดดดด...
เสียงประตูห้อง ICU เปิดออก คุณหมอกับพยาบาลสาวสองท่านเดินออกมาจากห้อง ทุกคนรีบเดินเข้ามาหาหมอเพื่อรอฟังอาการพร้อมกัน
“คุณหมอคะ คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ” มาลารินทร์เอ่ยถามคุณหมอเสียงสั่นระริก
“คุณบุรินทร์อาการสาหัสมาก หมอพยายามช่วยจนสุดความสามารถแล้วแต่ร่างกายคนไข้บอบช้ำเกินไป ตอนนี้คนไข้เสียชีวิตแล้ว หมอขอแสดงความเสียใจด้วยครับ” หมอหนุ่มใหญ่วัยกลางคนกล่าวด้วยความสุภาพพร้อมกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป
“ฮึกกก ฮืออออ โฮๆๆๆ ”
เสียงร้องไห้ดังระงม ร่างบางของมาลารินทร์สะอื้นจนสั่นสะท้าน หัวใจแตกสลาย เมื่อสูญเสียบิดาผู้เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวไปอย่างกระทันหัน เธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก ด้วยไม่อยากให้นางวิมาลาผู้เป็นมารดาต้องเศร้าโศกไปกว่านี้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้แม่และน้องชายแทนบิดาผู้จากไป
ดวงตากลมคู่สวยพร้อมแพขนตาหนาหลับตาลง น้ำตารินไหลเป็นสาย ตกระทบหน้าอกจนเปียกปอน ระรึกถึงนายบุรินทร์บิดาผู้จากไป พร้อมกับอธิษฐานจิตในใจ
"สู่สุคตินะคะพ่อ ไม่ต้องห่วงพวกเรานะ รินทร์สัญญาว่าจะดูแลแม่กับปริณเป็นอย่างดีเลยค่ะ”
“แม่คะ ทานข้าวเย็นกันดีกว่าค่ะ วันนี้มีข้าวต้มปลาของโปรดของแม่ด้วย รินทร์ทำสุดฝีมือเลยนะคะ” มาลารินทร์ที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่เอ่ยเรียกมารดาให้มาทานอาหารเย็นด้วยกัน เป็นจังหวะเดียวกันกับปริณที่กลับจากมหาวิทยาลัยพอดี“โอ้โห...ลมอะไรหอบพี่สาวผมกลับมาบ้านได้เนี่ย พี่รินทร์เข้าครัวเองแบบนี้ก็ลาภปากผมเลยสิ คอยดูเถอะจะกินให้พุงกางเชียว” ปริณเข้าสวมกอดพี่สาวแล้วเอ่ยเย้า“แหม..ปริณ แกพูดอย่างกับพี่ไม่ได้มาที่นี่เลยทั้งที่เพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง” คนเป็นพี่ส่งค้อนวงใหญ่ให้น้องชาย พลางตักข้าวต้มปลาเสริฟให้แม่กับปริณ“พี่มาบ่อยก็จริง แต่ปกติไม่เคยเห็นมาคนเดียวเลยนี่นา วันนี้ทำไมพี่เซดริกไม่มาด้วยล่ะครับ” ปริณเอ่ยถามถึงว่าที่พี่เขย เพราะปกติไม่เคยเห็นรายนั้นห่างพี่สาวตัวเองเลย“เขาก็มีธุระของเขาบ้างสิ พี่อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้นานเข้าก็เบื่อ เลยคิดว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านเราแล้วหางานทำดีกว่ารอพึ่งพาอาศัยคนอื่น วันข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้ พี่ว่าเราควรพึ่งตัวเองให้ได้ตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า” คำพูดของเธอดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ทั้งแม่และน้องชายต่างก็จับสังเกตได้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอ
หลังจากวันนั้นเซดริกก็พามาลารินทร์ไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง จนกระทั่งล่าสุดคุณหมออนุญาตให้ท่านกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ส่วนปริณตอนนี้มหาวิทยาลัยเปิดเทอมแล้ว และเขาก็สามารถไปเรียนได้โดยไม่ต้องห่วงนางวิมาลา เพราะเซดริกได้จ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลให้เกือบสามเดือนแล้วที่มาลารินทร์ย้ายมาอยู่กับเซดริกที่เพนเฮาส์แห่งนี้ เวลาที่มีวันหนึ่ง ๆ หมดไปกับการดูแลเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะจัดเตรียมเสื้อผ้าและอาหารให้ทั้งเช้าและเย็น หลังจากเขาออกไปทำงานแล้วเธอก็จะทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ไม่ค่อยมีให้ทำเพราะเซดริกจ้างแม่บ้านให้มาทำงานบ้านให้ทุกอาทิตย์ เขาบอกว่าไม่อยากให้คนตัวเล็กเหนื่อย จนบางทีเธอก็บ่นว่าเหงาเพราะไม่มีอะไรจะทำ เขาเลยชวนให้เธอตามไปทำงานกับเขาแก้เบื่อ แต่เธอไม่อยากไปเพราะกลัวจะเป็นภาระของเขาเวลาทำงานมากกว่า“ติ๊ง...ต่องงง”เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น มาลารินทร์นิ่วหน้าสงสัยเพราะเวลานี้เซดริกน่าจะยังทำงานอยู่ แล้วถ้าเขากลับมาจริงก็ต้องมีคีย์การ์ดจึงไม่จำเป็นจะต้องกดออด จะว่าเป็นสายป่านก็ไม่น่าจะใช่เพราะเมื่อครู่เพิ่งคุยโทรศัพท์กันเมื่อครู่ เพื่อนยังบอกเลยว่ากำลังจะเตรียมตัวไปทำงานแล
เช้าวันนี้เซดริกพามาลารินทร์มาเยี่ยมนางวิมาลาที่โรงพยาบาลตามที่ได้รับปากไว้ ก่อนถึงโรงพยาบาลเธอขอแวะซื้อผลไม้ที่แม่ชอบไปฝากท่านก่อนซึ่งชายหนุ่มก็ตามใจไม่ได้ขัด เมื่อถึงโรงพยาบาลมาลารินทร์ถึงกับอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าโรงพยาบาลจะหรูหราอย่างกับโรงแรมแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยที่สายป่านบอกว่าค่ารักษาแพงหูฉี่มือหนาอบอุ่นจับมือเรียวเล็กให้ก้าวเดินไปตามเขาไปยังห้องพักฟื้นของนางวิมาลา เมื่อถึงหน้าประตูที่ติดชื่อของแม่ มาลารินทร์ก็เคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะเปิดเข้าไป เธอเห็นแม่นอนอยู่บนเตียงคนไข้โดยมีสายป่าน แอลตัน และปริณอยู่ในห้องด้วย สีหน้าของนางวิมาลาดูสดชื่นกว่าเดิมมาก คนตัวเล็กรีบเข้าไปกอดแม่ด้วยความคิดถึง นางกอดตอบบุตรสาวพร้อมกับลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู“แม่เป็นอย่างไรบ้างคะ อาการดีขึ้นไหม ทานอะไรได้ปกติหรือเปล่าคะ รินทร์ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ดูแลตอนที่แม่ผ่าตัด” หล่อนถามมารดาด้วยความเป็นห่วง น้ำตาคลอหน่วยตา นางวิมาลายิ้มบาง ๆ แล้วเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว“ไม่เป็นไรหรอกลูก เห็นสายป่านบอกว่าหนูกับแฟนไปงานด่วนที่ต่างประเทศกลับมาไม่ทัน แฟนหนูเลยให้คุณแอลตันกับสายป่านมาช่วยดูแลแม่แทนให้ ขอบใจแฟนหนูด้ว
หลังจากคนตัวโตปราบพยศเด็กดื้อเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกไปทำอาหารเย็นเตรียมไว้ให้หญิงสาว ด้วยกลัวว่าหล่อนจะหิวเมื่อตื่นขึ้นมา ในขณะที่ร่างแกร่งกำลังสาละวนกับการทำอาหารอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครบางคนเดินเข้ามาในครัว ซึ่งเขาจำเสียงฝีเท้านั้นได้ดี “ของที่กูสั่งได้ครบมั้ย ” แอลตันพยักหน้าพร้อมกับส่งถุงอาหารสดและอาหารแห้งให้เซดริก เขารับถุงอาหารมาจัดเก็บของสดใส่ตู้เย็นและเก็บของแห้งไว้ในตู้วางของแห้ง“แล้วเสื้อผ้าเมียกู่ล่ะ มึงไม่ได้ซื้อมาหรือไง?” เขาเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นถุงเสื้อผ้าตามที่สั่ง“มึงสั่งกูให้ซื้อเสื้อผ้ากับชุดชั้นในของผู้หญิง แต่เสือกไม่บอกไซส์มาแล้วกูจะไปซื้อถูกได้งัยวะ ” แอลตันพูดพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน“เฮอะ..กูเพิ่งรู้ว่าเรื่องแค่นี้เพลย์บอยอันดับหนึ่งอย่างมึงก็ไม่มีปัญญาแก้ปัญหา” เซดริกพูดเน้นเสียงหนักแสดงอาการหงุดหงิด ในขณะที่แอลตันยักคิ้วให้อย่างยียวนก่อนจะตอบกลับเพื่อนสนิทออกไป“กูไม่ได้สิ้นคิดขนาดนั้นหรอกน่า คนอย่างกูสมองอัจฉริยะเรื่องแค่นี้ทำไมกูจะแก้ไม่ได้วะ” แอลตันพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับหันหน้าไปทางประตูทางเข้า เซดริกได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของใครคนหนึ่ง
หลังจากบทรักเร่าร้อนผ่านไป มาลารินทร์ก็หลับไปนานโขรู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูกจนท้องร้องประท้วงด้วยความหิวทันที เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอาหารตกถึงท้อง เพราะเซดริกเอาแต่จับเธอกินจนเหนื่อยและหมดแรงหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเป็นอย่างมาก ที่นอนข้างกายว่างเปล่าไร้เงาของเซดริก นาฬิกาบนผนัง บอกเวลา 15.30 น. เธอลุกจากเตียงนอนและเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ สระผม ทำความสะอาดร่างกายโดยใช้เวลาในห้องน้ำอยู่นานพอสมควรเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ร่างบางก็ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูผืนเดียวห่อหุ้มร่างกาย บนศีรษะมีผ้าขนหนูผืนเล็กพันผมเอาไว้ มาลารินทร์นั่งลงบนเตียงแล้วเช็ดผมที่เปียก เธอต้องกลับบ้านเพื่อนำเงินที่ได้ไปจัดการเรื่องการผ่าตัดของแม่ นี่ก็ผ่านไปวันสองวันแล้วที่ไม่ได้ติดต่อทางบ้าน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้างเมื่อเช็ดผมเสร็จก็เดินสำรวจไปทั่วห้องนอน พบชุดกองอยู่บนพื้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็ต้องถอนใจเพราะสภาพชุดขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี ชุดชั้นในก็ไม่มีเพราะใช้แต่สติ๊กเกอร์ปิดจุก ส่วนแพนตี้ตัวน้อยก็ถูกเขากระชากจนขาด แล้วจะออกไปจากที่นี่ไ
คนตัวเล็กหอบหายใจถี่รัว หลังจากเสร็จสมจากการถูกปรนเปรอด้วยปากและลิ้นร้ายกาจของชายหนุ่ม เซดริกไม่ปล่อยให้เธอหยุดพักนาน เขาใช้ฝ่ามือหนาจับอาวุธคู่กายขนาดใหญ่ไซด์ยุโรปชักรูดขึ้นลงเบาๆ เพื่อเตรียมความพร้อม เมื่อมาลารินทร์เห็นแท่งรักขนาดใหญ่ตรงหน้า เธอถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะยังเข็ดกลัวจากการร่วมรักรุนแรงครั้งก่อนหน้า ร่างเล็กจึงกระถดถอยหนีโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนเจ้าของดวงตาสีฟ้าหม่นดูจะเข้าใจในท่าทีตื่นกลัวของหญิงสาว เขาจึงขยับเข้าตระกองกอดร่างเปลือยแล้วจูบปลอบประโลมเบา ๆ ที่ขมับชื้นเหงื่อเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง“ไม่ต้องกลัวนะครับเมีย ผัวสัญญาว่าจะไม่ทำรุนแรง ถ้าเจ็บหรือไม่ไหวก็บอกผมนะ ”เขาปลอบประโลมเสียงแหบพร่าด้วยอารมณ์ปรารถนาแล้วดันร่างเล็กให้นอนลงบนเตียง เซดริกนั่งคุกเข่ากลางหว่างขาขาวแล้วยกขาเรียวขึ้นวางพาดบนบ่า ดึงสะโพกของเธอเข้ามาใกล้ จับปลายหัวหยักถูไถไปที่ปากทางรักคับแคบแล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปในร่องสวาทนุ่มนิ่ม ในขณะที่ท่อนเอ็นถูกบีบรัดด้วยช่องทางคับแคบจนชายหนุ่มรู้สึกคับแน่นไปหมด“อุ้ย...ซี๊ดดด เบาๆ ค่ะคุณเซดริก รินทร์อึดอัดจังค่ะ”มาลารินทร์ร้องห้ามเสียงแผ่วเบา