“มาได้สักทีนะเรา” ธาราหันไปมองตามทิศทางต้นเสียงที่เขาได้ยิน หลังจากที่เขาได้รับแจ้งจากน้ามูนามาว่าบิดาของตนมาหาถึงที่เกาะเพาะเลี้ยงก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับคนที่เอ่ยทักเสียงนุ่มทุ้มเจือด้วยแววเอ็นดูเหมือนเก่าก่อนกลับทำให้เขาแปลกมากยิ่งกว่า
“พี่ชล มาได้ยังไง” ธาราเอ่ยทักพี่ชายของตนที่มีนามว่า สายชล ซึ่งตอนนี้นั่งข้างกันกับบิดา เจ้าของชื่อยกยิ้มขำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหา ใช้มือแกร่งนั้นบีบนวดท้ายทอยของเขาเชิงหยอกล้อ ก่อนจะจบลงที่การวางมือพาดลงบนบ่ากว้างของเขาแทน ในขณะที่เขานั้นยกมือขึ้นไหว้สวัสดีบิดา ซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ก็ใครใช้ให้เราหายหัวไปนานขนาดนี้ล่ะ ไหนบอกว่าจะโทรหาพี่บ่อยๆ ไง นี่อะไร ติดสาวจนลืมพี่ไปแล้วหรอ” สายชลเอ่ยบอกกึ่งเย้า เหลือบสายตาไปมองคนตัวเล็กที่พยายามทำตัวเล็กลีบเกาะหลังของธาราไม่ห่าง และเมื่อสายชลเห็นท่าทีนั้นของคนตัวเล็กแล้วก็อดที่จะยื่นหน้าเข้าไปพูดคุยด้วยไม่ได้
“สวัสดี ชื่ออะไรละเรา” ธาราหันมอ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ธาราก็เป็นฝ่ายอาสาเดินนำทางพาบิดาและพี่ชายเยี่ยมชมเกาะส่วนตัวและธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ แต่เขาพาไปดูเฉพาะในส่วนที่เขาเข้ามารับผิดชอบดูแลตั้งแต่ย้ายมาประจำการที่นี่ เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็มาเยี่ยมชมเกาะนับไม่ถ้วนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง รวมถึงการติดตามงานและเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะเพียงแต่ตอนนี้เขารับหน้าที่มาประจำการที่นี่ ทำให้ทั้งสองไว้วางใจจนหายหน้าหายตาไปพักหนึ่ง ดังนั้นทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน มักจะได้รับการยกมือไหว้สวัสดีด้วยความนอบน้อมจากเหล่าพนักงานทั้งหลายรวมถึงนักวิจัยที่กำลังนั่งพักอยู่บ้างประปราย ซึ่งทั้งเขา พี่ชาย และบิดาต่างพยักหน้ารับ แวะสอบถามบ้างเป็นบางครั้งทั้งงานที่กำลังทำ โปรเจ็คที่กำลังเริ่ม หรือปัญหาอื่นๆ ระหว่างทางไปเรื่อยๆ เพื่อใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาโดยมีลุงบาซิมทำหน้าที่ช่วยจดบันทึกคล้ายเลขากลายๆ ก่อนที่สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาพากันเยี่ยมชมคืออควาเรียมที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาพวกเขาเดินชมอควาเรียมไปตามทาง ในขณะที่ธารานั้นสองจิตสองใจ ดวงตาคมกล้ามักจะคอยเหลือบมองไปที่ทิศทางหนึ่งอยู่เสมอ จิตใจของเขาพะวักพะ
“มาได้สักทีนะเรา” ธาราหันไปมองตามทิศทางต้นเสียงที่เขาได้ยิน หลังจากที่เขาได้รับแจ้งจากน้ามูนามาว่าบิดาของตนมาหาถึงที่เกาะเพาะเลี้ยงก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับคนที่เอ่ยทักเสียงนุ่มทุ้มเจือด้วยแววเอ็นดูเหมือนเก่าก่อนกลับทำให้เขาแปลกมากยิ่งกว่า“พี่ชล มาได้ยังไง” ธาราเอ่ยทักพี่ชายของตนที่มีนามว่า สายชล ซึ่งตอนนี้นั่งข้างกันกับบิดา เจ้าของชื่อยกยิ้มขำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหา ใช้มือแกร่งนั้นบีบนวดท้ายทอยของเขาเชิงหยอกล้อ ก่อนจะจบลงที่การวางมือพาดลงบนบ่ากว้างของเขาแทน ในขณะที่เขานั้นยกมือขึ้นไหว้สวัสดีบิดา ซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม“ก็ใครใช้ให้เราหายหัวไปนานขนาดนี้ล่ะ ไหนบอกว่าจะโทรหาพี่บ่อยๆ ไง นี่อะไร ติดสาวจนลืมพี่ไปแล้วหรอ” สายชลเอ่ยบอกกึ่งเย้า เหลือบสายตาไปมองคนตัวเล็กที่พยายามทำตัวเล็กลีบเกาะหลังของธาราไม่ห่าง และเมื่อสายชลเห็นท่าทีนั้นของคนตัวเล็กแล้วก็อดที่จะยื่นหน้าเข้าไปพูดคุยด้วยไม่ได้“สวัสดี ชื่ออะไรละเรา” ธาราหันมอ
‘นี่มัน........’ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าเหงือกเลยก็ว่าได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ถูกทำขึ้นเพื่อเอาใจคนที่ชื่นชอบสัตว์น้ำเป็นพิเศษ ของประดับตกแต่งล้วนเป็นพวกปลาเปลือกหอย และไข่มุก แม้ว่าจะมีของบางอย่างที่ดูไม่เข้าพวกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขัดหูขัดตามากเกินไปนัก ภายในห้องนั้นใหญ่โตกว้างขวางตกแต่งอย่างสวยงาม ภายในนั้นมีผ้าม่านสีแดงขอบทองเป็นพู่ห้อยระย้าซึ่งถูกคราบเกลือเกาะหนาจนแข็งจัดแต่ยังพอมองออกว่าคืออะไรนอกจากนี้แล้วที่ด้านบนยังแต่งไฟแชนเดอร์เรียห้อยเอาไว้อยู่ ที่ฝั่งหนึ่งของห้องมีเตียงเปลือกหอยงดงามเป็นประกาย ตรงกลางของเตียงนั้นคือฟูกนุ่มอย่างดีซึ่งบัดนี้ถูกคราบเกลือเกาะจนแข็งจัดไม่ต่างกัน หากแต่อะไรก็ไม่ดึงดูดสายตาเท่าบ่อน้ำที่กลางห้อง....ตรงกลางห้องมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีเสาหินอ่อนสีขาวนวลเป็นประกายตั้งรายล้อมทั้งหมด 5 ต้น ด้วยกัน ทำให้เห็นว่าเป็นรูปร่างของดวงดาว 5 แฉก และที่เสาแต่ละต้นนั้นมีกระถางต้นไม้และเถาวัลย์ที่ตายแล้วพันเลื้อย บ่งบอกได้ว่าหากต้นไม้เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่จะงดงามมากเพีย
“ภรรยา มาเร็ว” เสียงหวานใสของคาไนน์เอ่ยร้องเรียกเร่งเร้าให้เขาขยับฝีเท้าก้าวตาม ธาราเดินตามหลังไปด้วยความเอื่อยเฉย สองมือถูกสอดเอาไว้ใต้กระเป๋ากางเกง ใบหน้าหันไปยังทิศทางที่มีลมพัดโชยหลับตาพริ้มให้กับสัมผัสของสายลมจากท้องทะเลในยามค่ำคืน ต่างจากใครบางคนที่กระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงทั้งธาราและคาไนน์อยู่อาศัยบนบกมาสักพักใหญ่แล้ว และธารายังไม่ปล่อยให้คาไนน์ได้ลงเล่นน้ำที่ท้องทะเลเลยสักครั้ง ดังนั้นหลังจากที่จบมื้อเช้าของวันที่ถูกลักหลับไป ธาราจึงเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง ว่าเขาจำกัดความเป็นอิสระและตัวตนของคาไนน์มากเกินไปหรือไม่ เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เข้าจึงเริ่มมองหาช่วงเวลาที่เหมาะสม เผื่อปล่อยให้นางเงือก แค่กๆ นายเงือกตัวน้อยได้แหวกว่ายในสายวารีดั่งที่เจ้าตัวหวังได้สมใจธาราพาคาไนน์มาที่ถ้ำซึ่งเป็นทางเชื่อมเข้าออกระหว่างบนบกและในน้ำ ข้างในถ้ำบัดนี้ส่องสว่างกว่าเดิมมากนัก เพราะเขาสั่งให้คนมาติดตั้งไฟเอาไว้เพื่อใช้มองทาง โดยใช้ข้ออ้างว่างจะได้ไม่มีใครลื่นล้มโขดหินแล้วหัวกระแทกแบบเขาอีก ดังนั้นแล้วเหล่าคนงานจึงไม่ค่อยติดใจอะไรมากนัก เมื่อทั้งสองพากันเดินเข้ามาถึงภ
ธาราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่มีแสงอาทิตย์บางๆ ส่องผ่านหน้าต่างของห้องนอน เขารับรู้ได้ว่าบนอกของตนมีน้ำหนักบางอย่างที่คุ้นเคยวางกดทับจึงก้มลงมองดูเพื่อยืนยันความคิดของตน เขาเห็นคาไนน์นอนหลับตาพริ้มอยู่บนอก จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมนั้นแผ่วเบาแม้ตัวเขาจะนึกประหลาดใจว่าเหตุใดตนจึงฝันถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้ ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะวาบผ่าน ถ้อยคำของคาไนน์ลอยซ้ำในหัวอีกครั้งหนึ่ง“แต่เจ้าต้องรับหยาดน้ำซัมไมนอลจากข้า จึงจะสามารถฟื้นคืนความทรงจำ.........”งั้นแสดงว่าที่เขาฝันถึงเรื่องราวเมื่อคืนนั้นนั่นก็เพราะ......ธาราค่อยๆ เบนสายตาลงต่ำ พยายามจ้องมองที่ด้านล่าง ไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกจริงๆ หรือไม่ แต่เขากลับไม่เห็นอะไร นอกจากศีรษะเล็กทุยของคาไนน์ที่กำลังขยับขยุกขยิกไปมา เขามองจ้องภาพนั้นไม่วางตา เห็นได้ว่าคาไนน์เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเผยรอยยิ้มหวานทั้งที่ตาปิดปรือ หลังจากนั้นจึงขยับกายยันตัวขึ้น สองแขนคร่อมเขาไว้ที่ด้านข้าง มาพร้อมกับรอยยิ้มบางและมืออีกข้างที่ยกขึ้นขยี้ตาไปมาอย่างน่าเอ็นดู“อ้ะ” ธาร
Kanine Partคาไนน์ยกปลายนิ้วไล้เกลี่ยผิวแก้มของผู้เป็นภรรยาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มกว้างที่มีให้กัน กับคนเพียงผู้เดียว ก่อนที่จะค่อยๆ กดแทรกกายของตนให้เข้าลึกที่สุดของช่องทางสีหวานฉ่ำ ลำกายนั้นขยับขยายขนาดเพิ่มเติมเต็มช่องวางภายในนั้นจนติดล็อกแน่นอยู่ภายใน ปิดกั้นหยาดน้ำสีขาวขุ่นไม่ให้ไหลออกจากร่างกายโปร่งบางที่ยังคงหลับใหลไม่รับรู้เรื่องราว ท่วงทำนองเสียงหวานเอ่ยดังผะแผ่วราวกับจะช่วยขับกล่อมให้นอนหลับฝันดี“ฝันดีนะ ภรรยาที่รักของข้า......” พูดแล้วก็เอนตัวซุกซบลงบนอกของคนที่อยู่ใต้ร่าง ศีรษะเล็กทุยนั้นขยับไปมาร้าวกับลูกแมวออดอ้อนเจ้าของ ธาราที่ยังคงติดอยู่ในห้องฝันขมวดคิ้วให้กบสัมผัสวาบหวามที่สอดแทรกเข้าลึกในกาย จนเมื่อสิ่งนั้นสงบนิ่ง เจ้าตัวก็ผ่อนลมหายใจแล้วจมลงสู่ห้องนิทราอีกหนคาไนน์ยังคงฮัมเพลงในลำคอด้วยความอารมณ์ดี ปลายนิ้วเขี่ยไล้ลูบวนที่ยอดอกสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างสบายอกสบายใจ ความรู้สึกล้ำลึกปะปนไปกับความโหยหาที่ถวิลถึงเนื่องจากตอนนี้ทั้งธาราและคาไนน์พากันอพยพย้ายขึ้นมาอยู่อาศัยบนบก คาไนน์เองก็ยังคงมีความคิดถึงบ้านบ้างเป็นบางค
ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัว ทำให้ธาราถึงกับขมวดคิ้วด้วยความรำคาญเล็กน้อย และนั่นทำให้ใครบางคนที่ปีนป่ายขยับมานั่งคร่อมทาบทับกันถึงกับหยุดชะงัก ดวงตากลมโตสดใสแวววาวเหลือบตาขึ้นมองด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ลมหายใจที่สม่ำเสมอคงที่ก็ถูกปล่อยออกมา ทำให้คนที่ยังคงตื่นอยู่ลอบถอนหายใจแล้วปฏิบัติการขั้นถัดไปในทันที.....ธาราลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความมืดมิดรอบด้าน ได้ยินเสียงคลื่นน้ำกระทบหาดทรายดังขึ้นอย่างชัดเจนสะท้อนก้องอยู่ในหู เขากวาดสายตามองออกไปรอบตัว กลับพบว่าตนเองตื่นขึ้นจากผืนทราย มิได้นอนอยู่บนเตียงและกกกอดใครอีกคนไว้ในอ้อมแขนแต่อย่างใด จนกระทั่งเขาปรับสายตาได้ จึงเห็นว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้คือถ้ำแห่งหนึ่ง......“ออกเสียงตามผมนะ กอไก่” สายตาของเขาหันไปยังทิศทางที่มาของเสียนั้น ก่อนจะพบกับภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น รูปร่างยังคงคล้ายกับเด็กมัธยมต้น แทนที่จะเป็นช่วงมหาลัยตามอายุ และใช่ คนๆ นั้น คือเขาเอง....“กอ...” เสียงของใครบางคนพยายามจะเลียนแบบสิ่งที่เขาพึ่งเอ่ยคำเมื่อครู่ ท
ตอนนี้ทั้งเขาและลุงบาซิมกำลังนั่งประจันหน้ากันในห้องทำงานส่วนตัวที่ศูนย์วิจัยในช่วงเย็นค่ำของวัน หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะทำห้องวิจัยและนำเอามาปรึกษาพูดคุยกับอีกฝ่าย เขากลับได้รับคำตอบที่น่าตกใจยิ่งกว่า....“ครับ ที่ใต้อควาเรียมนั้นมีศูนย์วิจัยอยู่ก่อนแล้ว” ลุงบาซิมยืนยันหลังจากที่เขาเอ่ยถามซ้ำไปอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ก่อนที่ลุงบาซิมจะเล่าถึงความเป็นมาของห้องวิจัยนั้นด้วยตนเอง“คือตอนที่คุณท่านตัดสินใจซื้อเกาะนี้แล้วเพาะเลี้ยงหอยมุกขาย ท่านก็มีการสั่งให้ทำห้องวิจัยเอาไว้ใต้ศูนย์นิทรรศการอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ และแน่นอนว่า....... ใช้เพื่อวิเคราะห์และสำรวจหาเหล่าเงือกเหมือนกัน” เพียงเท่านั้นหัวใจของธาราก็เย็นเหยียบขึ้นมาในทันที เขาเงยหน้ามองคนพูดนิ่งๆ อีกฝ่ายที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวต่อโดยไม่ต้องเอ่ยปากแต่อย่างใด“ตอนนั้นท่านบอกว่า ตอนที่พบคุณธาราแล้วพาตัวกลับไปรับการรักษาที่กรุงเทพ คุณธาราพยายามดิ้นรนเป็นอย่างมาก พยายามที่จะกลับมาที่เกาะนี้ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรมา คุณท่านบอกเพียงแค่ว่าคุณธารายืนกรานว่าเงือกมีอยู่จ
ในที่สุดหลังจากที่ธาราขลุกอยู่กับคาไนน์ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ฝึกพูด ฝึกเดิน และหัดการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติทั่วไป ตอนนี้วันเวลาผ่านเลยไปหลายสัปดาห์แล้ว และธาราไม่อาจเกเรไม่ยอมทำงานทำการมากไปกว่านี้ได้ นั่นด้วยเพราะผู้เป็นบิดาและพี่ชาย มักจะโทรมาถามข่าวคราวอยู่เสมอซึ่งธาราได้แต่อึกอักในลำคอ เอ่ยตอบไม่เต็มเสียง จะให้เขาบอกครอบครัวได้อย่างไร ว่าหลังจากที่ลงมาดูงานยังไม่ถึงอาทิตย์ ก็เก็บเอาเงือกตนหนึ่งมาเลี้ยงดูเสียแล้ว ดังนั้นแล้วธาราจึงต้องจำใจปล่อยคาไนน์ไว้ที่บ้านพักเพียงลำพัง ส่วนตนเองนั้นก็เข้ามาทำงานตรวจเอกสารอยู่ที่ศูนย์วิจัย บางครั้งก็หอบงานกลับไปทำที่บ้านพักด้วยแม้ว่าบิดาและพี่ชายจะเร่งตามยิ้กๆ ให้เขากลับไปช่วยงานในกรุงเทพ หากแต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ไม่ยินยอมเดินทางกลับแต่อย่างใด แถมยังบอกทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเขาอาจจะย้ายมาอยู่ประจำการที่นี่เป็นการถาวร และหากมีเรื่องด่วนอะไรหรือจำเป็นจริงๆ ค่อยขึ้นเครื่องกลับไปจัดการ หลังจากจบคำบอกกล่าว คนทางบ้านก็พากันร้องโวยวาย หากแต่เจ้าตัวไม่คิดจะอยู่ฟัง กลับกดตัดสายทิ้งไปในทันที แล้วโยนโทรศัพท์ส่งๆ ไว้บนโต๊ะทำงานดว