LOGINตอนที่ ๘ เป็นที่โปรดปราน
จ้าวอู่ฉีก้าวเข้ามาถึงด้านใน นัยน์ตามองตะเกียงไฟที่แสงริบหรี่ สะท้อนให้เห็นเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังหลับใหล เขาถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงเสื้อตัวใน นั่งลงบนเตียงนอนก่อนจะตวัดผ้าแพรผืนบางขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไป เขาไม่ได้ทิ้งตัวนอนลง แต่เท้าแขนข้างหนึ่งลงบนหมอน ส่วนอีกข้างก็พาดไว้ที่บั้นเอว ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงต่ำจรดปลายจมูก ดอมดมกลิ่นกายหอมหวานเข้าเต็มปอด “อื้อ” ซูเยี่ยนครางอย่างรู้สึกรำคาญเล็กน้อยเมื่อมีบางอย่างก่อกวน “ซูเยี่ยน” จ้าวอู่ฉีเรียกเสียงเบา ขณะซุกไซ้ใบหน้าไปตามลำคอ ซูเยี่ยนลืมตาตื่นแทบจะในทันที เขาพลิกตัวหันมามอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไรออกมา ริมฝีปากจ้าวอู่ฉีก็ทาบทับลงมาเสียแล้ว ซูเยี่ยนไม่อาจจะปฏิเสธหน้าที่อุ่นเตียงได้ เขาปล่อยให้ท่านอ๋องนำพาจากคราแรกที่ไม่เต็มใจ เวลาต่อมาก็โอนอ่อนตามอย่างง่ายดาย จวบจนในค่ำคืนนั้น จ้าวอู่ฉีเรียกชื่อซูเยี่ยนไปตลอดทั้งคืน ……………… รุ่งอรุณในหลายวันต่อมา วันนี้เป็นวันเลื่อนขั้นขึ้นเป็นตำแหน่งพระชายารองสูงสุด เป็นรองแค่เพียงหวางเฟย ซูเยี่ยนนั่งใบหน้าเรียบเฉยอยู่หน้าบานกระจก ปล่อยให้บ่าวรับใช้จัดการตนเองตามใจ แม้ก่อนหน้านี้จะพอรู้มาบ้างว่าตนเองได้เลื่อนขั้นสนม แต่ก็ไม่มีใครมาบอกอย่างเป็นทางการ มีเพียงเสียงซุบซิบนินทาจากบ่าวรับใช้ที่ไม่เคารพในตนเองเท่านั้น ร่างกายเปลือยเปล่าลุกขึ้นยืนหลังจากที่จัดการใบหน้าและรวบผมเสร็จ สวี่เฟิงเสสายตามองเพียงนิดเมื่อเห็นร่องรอยรักสีกุหลาบบนตัวของเจ้านาย เขายิ้มกริ่มอยู่เพียงผู้เดียวอย่างชอบใจ หลัง ๆ มานี้ท่านอ๋องมาที่นี่ทุกค่ำคืน และจะกลับออกไปตอนรุ่งสางก่อนที่เจ้านายของเขาจะตื่น ข่าวลือเรื่องอนุที่ถูกลืมค่อย ๆ เลือนหายไป จนกลายเป็นชายารองคนโปรดเสียแทน บ่าวรับใช้บรรจงสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีฟ้าอ่อนให้อย่างตั้งใจ ซูเยี่ยนไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เขาเพียงยืนนิ่ง ใบหน้ามองตรงไปด้านหน้า ตาก็แทบจะไม่กะพริบ จากนั้นไม่นานสวี่เฟิงก็พาซูเยี่ยนไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อรับราชโองการ “ซูอิ้งซื่อมาถึงแล้ว” เสียงตะโกนจากคนผู้หนึ่งดังขึ้น ซูเยี่ยนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจ้าวอู่ฉีที่กำลังยืนอยู่บริเวณลานพิธี เงยหน้าขึ้นมองสบตา “ซูอิ้งซื่อ รับราชโองการ” เสียงของหยวนกงกง ขันทีผู้แทนพระองค์ดังขึ้น ซูเยี่ยนประสานมือไว้ด้านหน้าพลางคุกเข่าลงบนพื้นอย่างนอบน้อม สายตาหลุบต่ำแสดงถึงความเคารพ หยวนกงกงจึงเริ่มอ่านราชโองการเสียงกังวาน “ตามพระราชโองการ ซูเยี่ยนมีความดีความชอบโดยการมีบุตรชายให้ท่านอ๋อง และประพฤติตนเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาแด่จวนอ๋อง จึงทรงเลื่อนขั้นให้ดำรงตำแหน่งหรูเหรินนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฝ่าบาททรงมีรับสั่งมอบเรือนเฟิ่งฮวาเป็นที่พำนัก พร้อมปิ่นหงส์ ทองสิบชั่ง ผ้าแพรยี่สิบพับ และตำลึงเงินอีกห้าหีบ เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศ” เมื่อเสียงราชโองการสิ้นสุดลง ซูเยี่ยนก้มลงกราบกับพื้นอย่างนอบน้อม “กระหม่อมรับราชโองการ ขอถวายบังคมฝ่าบาท” หยวนกงกงถอยหลังออกไปอย่างสำรวม พิธีเสร็จสิ้นลงเมื่อชื่อของซูเยี่ยนถูกบันทึกลงในสมุดสายลำดับของวงศ์ตระกูล ชายารองหมาด ๆ ก้มลงคำนับอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาเรียบนิ่งสบกับฝ่ามือของจ้าวอู่ฉีที่ผายรออยู่ เขาวางมือลงบนมือแกร่งของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อสัมผัสนั้นกระชับมั่น ดวงตาคมของจ้าวอู่ฉีเผยแววพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบา ๆ ให้ เป็นสัญญาณว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาปรารถนา ซูเยี่ยนยกยิ้มมุมปากเพียงนิด หากไม่สังเกตก็คงไม่มีผู้ใดเห็น แต่นั่นกลับไม่ใช่กับจางเหม่ยอิง พระชายาเอกเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันนั้นเข้าพอดี นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยไฟแค้นแต่ยังทำอะไรตอนนี้ไม่ได้ คงต้องรอให้จ้าวอู่ฉีไปค่ายทหารเสียก่อนจะได้ชำระความ หลังจากพิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้น ซูเยี่ยนก็ถูกเชิญตัวมาที่เรือนหลังใหม่ที่หลี่เซียวเหอทรงพระราชทานให้เป็นสินสอด เรือนเฟิ่งฮวาช่างใหญ่โตโอ่อ่า แตกต่างจากเรือนหลันฮวาลิบลับ ข้าวของเครื่องใช้ล้วนประณีตสวยงาม ผ้าม่านก็ทำจากผ้าไหมเนื้อดี ซูเยี่ยนนั่งลงด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหม่อมองออกไปด้านนอก เขาคิดดีแล้วว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาตัวรอดในจวนแห่งนี้เพื่อลูกน้อย จะไม่ยอมอยู่เฉยทนดูพระชายาเอกกลั่นแกล้งอีกต่อไป นับจากนี้เขาจะเอาใจใส่ คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องไม่ให้ขาดตก จะได้เป็นชายารองคนโปรด บุตรชายจะได้สุขสบายในภายภาคหน้า “มีผู้ใดอยู่ข้างนอกหรือไม่ เข้ามาแต่งตัวให้ข้าที” “ขอรับ” สวี่เฟิงรีบเข้ามารับใช้ในทันทีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จะเป็นเช่นไรหากเป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้นายที่ตนรับใช้มาตั้งแต่จำความได้จะไม่ได้เป็นพระชายาเอก ทว่าหากเป็นที่โปรดปรานก็คงดีไม่น้อย ซูเยี่ยนลุกขึ้นยืนทันทีหลังจากที่สวี่เฟิงหวีผมที่ยาวไปจนถึงบั้นท้ายเสร็จ เขาสวมเสื้อคลุมตัวบางแนบเนื้อเพื่อรออุ่นเตียง “สวี่เฟิง ข้ามีอะไรจะให้เจ้า” ซูเยี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบห่อผ้าสีแดงสดออกมาจากใต้หมอน “อะไรหรือขอรับ” สวี่เฟิงขยับเข้ามานั่งคุกเข่าลงใกล้ ๆ “ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่เจ้าดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” กล่าวจบก็ยื่นห่อผ้านั้นวางบนมืออีกฝ่าย “ขอบพระทัยชายารอง” “ไม่เป็นไร...เจ้าดูแลข้าดียิ่ง ข้าซึ้งน้ำใจเจ้า แต่หากว่าวันใดเจ้ามีใจอยากแต่งงานออกไปจากจวน ก็ขอให้บอกข้า” “มิได้พ่ะย่ะค่ะ บ่าวยังไม่อยากแต่งงาน” สวี่เฟิงกล่าวอย่างซาบซึ้งในความมีน้ำใจของผู้เป็นนาย ทั้งสองจึงยิ้มให้กัน ก่อนซูเยี่ยนจะเอ่ยถามต่อ “เจ้าว่าท่านอ๋องจะมาหรือไม่” “บ่าวไม่อาจตัดสินขอรับ หากแต่ท่านถาม กระหม่อมก็จะตอบว่ามาอย่างแน่นอน” “เหตุใดเจ้าจึงดูมั่นใจนัก” “เป็นเพราะท่านอ๋อง...” ยังไม่ทันที่สวี่เฟิงจะเอ่ยจบประโยค เสียงประตูเรือนแห่งนี้ก็เปิดขึ้นเสียก่อน นั่นจึงทำให้บทสนทนาตัดจบไปเพียงเท่านั้น จ้าวอู่ฉียืนมองชายารองของเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความต้องการไม่ปกปิด “เจ้าออกไปเสีย” สวี่เฟิงโค้งตัวแล้วก้าวออกไปอย่างรู้งาน นัยน์ตาคู่คมจดจ้องแล้วจึงก้าวเท้าเข้ามาหาซูเยี่ยน ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เอื้อมมือไปจับปลายคางให้หันมามองสบตา ซูเยี่ยนจึงหันกลับมาช้า ๆ มองใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวอู่ฉีพลางคลี่ยิ้ม “รอข้านานหรือไม่” จ้าวอู่ฉีเอ่ยถาม นัยน์ตามองอย่างหลงใหล “ไม่พ่ะย่ะค่ะ” “มานี่” ทั้งสองไม่รู้ว่ามองสบตากันนานเท่าใด จ้าวอู่ฉีฉุดเขาลุกจากที่นั่ง รู้สึกตัวอีกทีแผ่นหลังเปลือยเปล่าก็สัมผัสฟูกนอนเสียแล้ว จ้าวอู่ฉีตะโบมจูบเอาจูบเอาราวกับกระหาย ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับซูเยี่ยน เขาใช้มือยกขึ้นโอบรอบลำคอพลางจูบตอบไม่ยอมแพ้ จากนั้นก็ถูกพลิกคว่ำ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสร้อน จูบไล่ตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงบั้นท้ายงามงอน เสียงหลุดครางเบา ๆ ดังขึ้น ขณะมือก็กำผ้าปูเสียจนยับย่น จ้าวอู่ฉีทรมานชายารองของเขาด้วยไฟปรารถนา ทำทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน หารู้ไม่ว่าช่างทรมานซูเยี่ยนยิ่งนัก กายใหญ่คุกเข่าที่ด้านหลังขณะยืดตัวเหยียดตรง จับแก่นกายแห่งบุรุษค่อย ๆ ดันเข้าใส่ที่ช่องทางช้า ๆ ซูเยี่ยนเหลียวมองคนด้านหลังด้วยนัยน์ตาฉ่ำปรือ แต่ความต้องการกลับมีมากกว่า เขาอ้อนวอนผ่านทางสายตา จ้าวอู่ฉีเห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มแล้วดันให้ลึกขึ้น มือทั้งสองข้างบีบเคล้นที่เอวเล็ก รั้งให้รับแรงกระแทกถนัดถนี่ ก่อนจะถาโถมเข้าใส่แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ขณะที่จ้าวอู่ฉีขยับเข้าใส่อยู่นั้น มือหนึ่งก็ลูบไล้ไปตามสีข้าง แล้วจึงก้มลงบดเบียดริมฝีปากเร่าร้อน ซูเยี่ยนตอบรับอย่างเต็มใจ ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามแรงถาโถมดุดัน ราตรีกาลไม่สามารถผ่านพ้นไปโดยง่าย ทั้งสองต่างเรียกชื่อกันและกันเกือบจะทั้งคืน เขาขาอ่อนแทบสิ้นเรี่ยวแรง สำนึกสุดท้ายก่อนจะสัมผัสถึงความอุ่นร้อนภายใน ซูเยี่ยนได้ยินคำว่ารักหลุดออกมาจากคนด้านบน ก่อนจะสิ้นสติล้มพับไปในทันที “ข้ารักเจ้าซูเยี่ยน” เสียงกระซิบข้างหูอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสูดลมหายใจเข้าแถว ๆ พวงแก้มหลายต่อหลายครา ยามอิ๋น5 ซูเยี่ยนลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมแขน แล้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับใหลด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก มือที่เคยวางพาดอยู่บนเอวอีกฝ่ายเลื่อนขึ้นมา พลางใช้ปลายนิ้วชี้ไล้ไปตามสันจมูก จ้าวอู่ฉีขยับตัว เขากุมมือของซูเยี่ยนก่อนจะดึงมาจุมพิตเบา ๆ ซูเยี่ยนเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มส่งให้ “ท่านอ๋อง” “ข้าไม่อยู่เสียนาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวอู่ฉีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ระยะหลังมานี้เขาต้องไปชายแดนอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งก็ช่างยาวนาน แถมซูเยี่ยนก็ไม่ค่อยส่งข่าวมากนัก “กระหม่อมกับลูกสบายดี” “บุตรชายข้ามีนามว่าอะไรงั้นหรือ” เอ่ยถามพร้อมกับเอื้อมมือมากุมใบหน้านวล “จ้าวอู๋เฉินพ่ะย่ะค่ะ” ซูเยี่ยนเอ่ยตอบ ขณะกุมมือทาบหลังมือจ้าวอู่ฉีให้แนบแก้มแน่นขึ้นกว่าเดิม “ชื่อเพราะยิ่งนัก เลี้ยงง่ายหรือไม่” “ง่ายยิ่งนัก อู๋เฉินชอบนอนเป็นอย่างมาก ในยามค่ำคืนก็ไม่ค่อยตื่นมางอแงสักเท่าใดนัก” “คงจะน่าชังเหมือนเจ้า” “หามิได้ จ้าวอู๋เฉินมีใบหน้าคล้ายคลึงท่านไม่มีผิด” “ฮ่า ๆ เช่นนั้นบุตรชายข้าคงจะหล่อเหลาไม่น้อย” ซูเยี่ยนเพียงแค่ยิ้มรับ “พาข้าไปหาอู๋เฉิน…อีกไม่นานข้าจะต้องไปชายแดนเป่ยอีกครา” “พ่ะย่ะค่ะ...ท่านพ่อของกระหม่อมสบายดีหรือไม่” “ท่านแม่ทัพซูเสวียนสบายดี แต่คงจะปวดศีรษะอยู่ไม่น้อย เพราะข้าศึกยังคงรุกรานไม่ขาดสาย” “ท่านพ่อปลอดภัยก็ดีแล้ว” “เจ้าอย่าห่วงเลย ทุกอย่างจะจบในอีกไม่ช้า” เขาเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่ม ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปจูบหน้าผากขาว “กระหม่อมถามได้หรือไม่” “ว่ามา” “ครานี้ท่านจะไปนานหรือไม่” ซูเยี่ยนถามก่อนจะหลบนัยน์ตาหยอกล้อที่มองมา “คิดถึงข้าหรือ?” “หากท่านไปนานข้าคงจะคิดถึง” คำตอบที่ได้ทำเอาจ้าวอู่ฉีนิ่งอึ้งไป ใบหน้าหล่อเหลามองคนตรงหน้าตาแทบจะไม่กะพริบ “ข้าฝันแล้ว” “ท่านได้ยินไม่ผิด” “ซูเยี่ยนของข้า” มุมปากยกยิ้มกว้างอย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่คิดว่าในชาตินี้จะได้ยินวาจาเช่นนี้จากคนตรงหน้าอีกครั้ง “ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าครั้งนี้จะไปนานหรือไม่ แต่ข้าจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน” ยามอิ๋น5 เวลา ๐๓.๐๐-๐๔.๕๙ น.ตอนที่ ๒๖ เคียงกันนับจากนี้ยามค่ำคืนในจวนอ๋องเงียบสงัด แต่ในใจของจ้าวอู่ฉีกลับเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ ร่างสูงเดินไปเดินมาหน้าห้องคลอดไม่หยุด เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทว่าในหัวกลับวุ่นวายเสียจนแทบฟังเสียงตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้ามองประตูที่ปิดสนิท ใจจดจ่อกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมเชื่อว่าชายารองจะต้องปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” เยียนชิงเอ่ยปลอบเจ้านายของตนขณะยืนรออยู่ไม่ห่าง จ้าวอู่ฉีเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย ทว่าแววตายังคงจับจ้องไปยังประตูด้วยความร้อนใจเสียงร้องเบา ๆ ของทารกดังลอดออกมาในที่สุด บรรยากาศที่เงียบงันเมื่อครู่พลันถูกทำลาย จ้าวอู่ฉีหยุดเดินในทันใด เขาขยับเข้าไปใกล้ประตูด้วยความตื่นเต้น เสียงของหมอตำแยดังแว่วออกมา“เป็นเด็กผู้หญิงเพคะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”ร่างสูงถอนหายใจออกมายาว ๆ ราวกับปลดปล่อยความกังวลที่กักเก็บไว้ก่อนหน้านี้ เขาหันมองเยียนชิงที่ยกยิ้มเล็กน้อยให้“ข้าจะเข้าไป”กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากห้องคลอดโชยออกมา จ้าวอู่ฉีก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทีสุขุม ทว่าดวงตากลับเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยาก มองซูเยี่ยนเอนตัวพิงหมอนอย
ตอนที่ ๒๕ ลาจากในพระราชวังหลวง หลังการปราบปรามกบฏที่เมืองหลวงสำเร็จลง จ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินในชุดแม่ทัพเต็มยศเดินเข้าสู่ท้องพระโรง ใบหน้าของทั้งสองยังคงแสดงถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกที่เพิ่งสิ้นสุด“กระหม่อมจ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินน้อมถวายบังคมฝ่าบาท” ทั้งสองคุกเข่าลงพร้อมกัน ขณะที่ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงประทับบนบัลลังก์ทอง ดวงเนตรคมจับจ้องไปยังสองผู้ภักดี“ลุกขึ้นเถิด” สุรเสียงทรงพลังเอ่ยสั่ง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น “การศึกครั้งนี้จบลงแล้วหรือไม่?”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่ตงจวินรายงานพลางก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หลี่ชิงเจี๋ยและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว พร้อมหลักฐานที่พบระหว่างการปราบปราม”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังจ้าวอู่ฉี “แล้วผู้ที่เหลือเล่า?”“ฝ่าบาท กบฏที่เหลืออยู่ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ไม่มีหลงเหลือที่จะก่อความวุ่นวายได้อีก” จ้าวอู่ฉีกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น “กระหม่อมได้ส่งตัวจางเหม่ยอิงให้คุกหลวงเพื่อใช้เป็นพยานตามพระบัญชา และได้ส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายสินบนของกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง พระเนตรทอดมองไปยังทั
ตอนที่ ๒๔ กลับคืนในเช้าวันต่อมาหลังจากการสอบสวนที่คุกหลวง จ้าวอู่ฉีเร่งมุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวเท้าผ่านประตูวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ขันทีในพระราชวังนำทางเขาไปยังพระตำหนักที่เงียบสงบที่ห้องด้านใน หลี่เซียวเหอกำลังตรวจฎีกา หยวนกงกงเข้ามารายงานว่าจ้าวอู่ฉีมาขอเข้าเฝ้า เขาจึงพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา“ถวายบังคมฝ่าบาท” จ้าวอู่ฉีคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ทอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ลุกขึ้นเถิด เจี้ยนอ๋อง” หลี่เซียวเหอเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากฎีกาในพระหัตถ์จ้าวอู่ฉียืนขึ้นอย่างนอบน้อม ก่อนจะรายงานถึงความคืบหน้าของการสอบสวน “กระหม่อมได้นำตัวจางเหม่ยอิงและเว่ยจงเข้าสอบสวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้ได้ข้อมูลบางส่วน แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่กระจ่าง หากกระหม่อมขอพระบรมราชานุญาตให้เพิ่มแรงกดดันเพื่อขยายผล”หลี่เซียวเหอเงยพระพักตร์ขึ้น สายพระเนตรคมกริบจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคิดว่ายังมีใครอยู่เบื้องหลังอีกหรือ”“กระหม่อมเชื่อว่ามีพ่ะย่ะค่ะ หลันซิงเฉินไม่อาจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้เพียงลำพังได้”“ดี เช่นนั้นข้าจะให้ราชองครักษ์เสื้อแพรเพิ่มกำลังสนับสนุนเจ้าสำหรับเรื่องนี้”“ข
ตอนที่ ๒๓ ลอบโจมตีทางด้านหลี่ตงจวินหลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้น เขาเอ่ยชวนไป๋ซือเฟิงไปเดินเล่นในลานสวนด้านหลังเรือนใหญ่ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเรียวของไป๋ซือเฟิงที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แต่ฝีเท้าของเขากลับเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หลี่ตงจวินชะลอฝีเท้าตาม สายตามองหน้าท้องที่นูนใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง“เดินไหวหรือไม่” หลี่ตงจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ไหวขอรับ ข้าเพียงแค่...แปลกใจ ทำไมที่นี่ถึงได้ใหญ่โตนัก” เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ลานสวนที่ตกแต่งอย่างประณีต มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายหลี่ตงจวินหยุดเดินก่อนจะหันมามองไป๋ซือเฟิงด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ความจริง...ข้าไม่ได้บอกเจ้าทั้งหมด ข้าขอโทษที่ต้องโกหก”“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ซือเฟิงชะงักเท้า สายตาจับจ้องหลี่ตงจวิน“ข้าไม่ใช่เพียงชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เคยบอกเจ้า” หลี่ตงจวินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าชื่อหลี่ตงจวิน ข้าเป็นชินอ๋อง”ไป๋ซือเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นเอง คิดไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ธรรมดา กระหม่อมเสียมารยาทกับท่านแล้ว”“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่โกรธข้าก็ดีแล้ว เจ้ารู้เมื่อไรหรือ”
ตอนที่ ๒๒ แสงจันทร์รำไรกลางดึกยามฟ้ามืดสนิท จ้าวอู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาในกระโจมที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เขารู้สึกอึดอัดจากความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อสงบจิตใจหมู่ดาวส่องประกายเหนือท้องฟ้า แต่ใจของเขากลับหนักอึ้ง เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดช่างเงียบงันราวกับปิดบังบางสิ่ง จ้าวอู่ฉีเดินเรื่อยเปื่อยไปยังแนวป่าริมค่าย ทว่าก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดชะงักร่างในชุดเรียบง่ายของชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวในสายลม เมื่อเดินไปมองใกล้ ๆ จ้าวอู่ฉีแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาของเขาเบิกโพลง“ซูเยี่ยน...” เสียงเรียกนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบุรุษผู้นั้นหันมาพลางยกมือลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวงทว่าจ้าวอู่ฉีไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไป เขาพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น ความอบอุ่นจากอ้อมกอดทำให้เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ซูเยี่ยน... เจ้ากลับมาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องรอด ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่จากไป...”“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของอีกฝ่ายดังขึ้น เขาพย
ตอนที่ ๒๑ ภรรยาข้าไป๋หลี่จวินซึ่งได้รับคำสั่งให้สืบสวนความเคลื่อนไหวในเหลียวหนิง เดินทางมาถึงท่าเรือตระกูลหม่าในยามสาย ท่ามกลางความคึกคักของพ่อค้าและคนงานที่ขนส่งสินค้า ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาเฉียบคม“ข่าวว่าตระกูลหม่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าต้องห้าม เจ้าแน่ใจหรือ” ไป๋หลี่จวินถามคนสนิท ขณะยืนมองกิจกรรมที่เกิดขึ้น“ขอรับนายท่าน ข้าได้รับรายงานจากหน่วยสืบข่าวลับ ว่า ตระกูลหม่านอกจากจะทำการค้าถูกต้อง ยังใช้ท่าเรือนี้เพื่อส่งสินค้าที่มิได้แจ้งแก่ทางการอีกด้วย”ไป๋หลี่จวินพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้านำกำลังบางส่วนล้อมทางออกท่าเรือไว้ อย่าให้มีผู้ใดหลบหนีได้ ข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเอง”เมื่อเดินเข้าไปยังท่าเรือ ไป๋หลี่จวินแสร้งทำทีเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งปะปนไปกับฝูงชน ทว่าดวงตาของเขากลับมองไปยังหมู่ตึกที่ตั้งอยู่ด้านใน“นายท่าน นั่นคือที่เก็บของของตระกูลหม่าขอรับ” คนสนิทกระซิบเบา ๆไป๋หลี่จวินพยักหน้า เขาก้าวเข้าไปใกล้หมู่ตึกโดยมิได้แสดงตน ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายสองคนกำลังลากเกวียนบรรทุกหีบไม้ขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกแน่นหนา“หยุด!” เสียงของไป๋หลี่จวินดังขึ้น ทำให้ชายทั้งส







