LOGINตอนที่ ๙ ถูกพระชายาเอกกลั่นแกล้ง
ยามเหม่า1ทั้งสองเดินเคียงข้างกันมายังเรือนของบุตรชาย เขาโอบรอบเอวบางอย่างหวงแหน พลางเดินแย้มยิ้มพูดคุยกันไปตลอดทาง เสียงขับกล่อมปลอบประโลมดังเล็ดลอดออกมานอกเรือน นั่นจึงทำให้ซูเยี่ยนรีบเดินเข้าไปหาในทันที “อู๋เฉินเป็นอะไรงั้นหรือ” “มิได้เพคะ คุณชายน้อยเพียงแค่หิวเท่านั้น” “เช่นนั้นก็ส่งมาให้ข้า” ซูเยี่ยนกล่าว “เพคะ” “ไปพักเถิด ข้าจะดูเอง” ซูเยี่ยนรับตัวบุตรชายมาอุ้ม “ไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่” จ้าวอู่ฉียืนมองอยู่นานแล้ว พอเห็นบุตรชายสงบลงถึงได้จังหวะถาม “เพียงแค่หิวเท่านั้น” “จัดการเถอะ” ซูเยี่ยนใช้เวลาให้น้ำนมบุตรชายเพียงไม่นาน จ้าวอู๋เฉินก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม บุตรชายตัวน้อยหัวเราะเสียงใส ขณะที่หยอกล้อกับมารดา เขาอุ้มเจ้าก้อนแป้งออกมาจากในห้องนอน ก่อนจะยิ้มให้จ้าวอู่ฉีที่นั่งรออย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ “เจ้าอิ่มแล้วหรืออาเฉิน” เขาลุกเดินเข้ามาหา “ข้าอุ้มได้หรือไม่” ซูเยี่ยนส่งบุตรชายใส่อ้อมอกของจ้าวอู่ฉี ใบหน้ายิ้มแย้มจากก้นบึ้งของหัวใจ จ้าวอู๋เฉินเอียงคอมองอย่างแปลกหน้า ทว่าไม่นานก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เจ้าช่างอารมณ์ดียิ่งนักอาเฉิน” เสียงทุ้มพูดคุยพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม มีเพียงเสียงอ้อแอ้ตอบกลับมา ช่างน่ารักน่ามองยิ่งนัก “เจ้าอยากได้อาชาหรือไม่อาเฉิน หรือเจ้าอยากได้กระบี่ หากเจ้าอยากได้สิ่งใดพ่อจะมอบให้” ซูเยี่ยนที่มองดูอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับหลุดขำ นั่นจึงเรียกนัยน์ตาของท่านอ๋องให้หันกลับมา “ข้าพูดสิ่งใดผิดงั้นหรือ” “ไม่ผิด ไม่ผิด กระหม่อมเพียงแค่เห็นว่าอาเฉินยังเล็กนัก คงไม่ต้องการของสิ่งใด” “มิได้...เป็นบุตรชายข้าจะไม่มีสิ่งใดเลยได้เช่นไร...หากสิ่งที่ข้าเอ่ยถามยังไม่จำเป็น เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะสั่งทำหยกประจำตัวให้ดีหรือไม่” ประโยคแรกพูดคุยกับเมียรัก ประโยคหลังหันมาถามบุตรชาย “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” “แล้วเจ้าเล่า ไม่อยากได้อะไรหรือ” “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ หากเบี้ยหวัดที่พระชายาจัดสรรให้สามร้อยตำลึงก็เพียงพอแล้ว” จ้าวอู่ฉีได้ฟังก็ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “โอ๊ะ หลับแล้ว” ซูเยี่ยนก้มลงจูบกระหม่อมเด็กน้อย “พาอาเฉินไปนอนเสีย คงจะฟังเสียงข้าเพลินกระมัง” “เสียงของท่านนุ่มนวลถึงเพียงนั้น ไม่แปลกใจที่อาเฉินจะหลับลง” ซูเยี่ยนเอาใจ ขณะก้าวเข้ามารับบุตรชายจากอ้อมกอดของบิดา “เจ้าชอบให้ข้าขับกล่อมใช่หรือไม่” จ้าวอู่ฉีอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้า “อืม” ซูเยี่ยนตอบแล้วหลบสายตาเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะกล่อมเจ้าเข้านอนอีกดีหรือไม่” จ้าวอู่ฉีไม่ยอมปล่อยไปโดยง่ายจริง ๆ ซูเยี่ยนพยักหน้าไม่กล่าวคำ คืนนั้นเป็นดังคำที่จ้าวอู่ฉีได้กล่าวไม่ผิด ท่านอ๋องขับกล่อมภรรยาของเขาทั้งคืน ก่อนจะจากไปในตอนฟ้าสาง แต่ครานี้แตกต่างจากทุกครา เพราะมีกระดาษสีขาวสะอาดถูกบรรจงเขียนด้วยน้ำหมึกอย่างสวยงาม เป็นบทกลอนร่ำลาสุดซึ้ง ทั้งยังลงท้ายด้วยชื่อของผู้เขียน ‘จ้าวอู่ฉี’ เวลาผ่านไปจนคิมหันตฤดูแวะเวียนมาถึงอีกครา ปีนี้กลับอบอ้าวยิ่งกว่าปีก่อนจนแทบทนไม่ไหว ความร้อนระอุในเรือนนั้นราวกับอยู่ในเตาไฟ ซูเยี่ยนจำต้องพาบุตรชายตัวน้อยออกมานั่งเขียนอักษรที่เรือนดอกไม้ในสวนด้านหลัง เพื่อหลบอากาศที่แสนทรมาน กลางคืนก็แทบจะหลับไม่ลง แต่เขาไม่เคยปริปากบ่นออกมาแม้สักคำ แม้จะรู้ดีว่าความลำบากนี้มาจากพระชายาเอก ที่สั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ส่งน้ำแข็งมายังเรือนของเขา “ท่านแม่ เมื่อไรข้าจะได้เจอท่านพ่อขอรับ” เสียงเล็ก ๆ ของจ้าวอู๋เฉิน วัยเพียงสองขวบเศษดังขึ้นพร้อมกับดวงตากลมโตที่เงยขึ้นมองผู้เป็นมารดา ซูเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “เหตุใดเจ้าจึงถามกัน?” ซูเยี่ยนเอ่ยถามกลับ น้ำเสียงแผ่วเบาเจือความแปลกใจ “ข้าฝันขอรับ...ฝันว่าท่านพ่อมาหอมข้า” เด็กน้อยพูดอย่างไร้เดียงสา ใบหน้าอ้วนกลมยังคงเปื้อนรอยยิ้ม “งั้นหรือ” ซูเยี่ยนยกยิ้มจาง แต่ในใจกลับหนักอึ้ง เมื่อไม่รู้จะตอบบุตรชายเช่นไร จึงได้แต่เออออเพียงเท่านั้น “ขอรับ...ท่านแม่พาข้าไปหาท่านพ่อได้หรือไม่” คำถามไร้เดียงสานั้นทำให้หัวใจของซูเยี่ยนเหมือนถูกบีบรัด เขาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรชาย ก่อนจะตอบเสียงเบา “อาเฉิน พ่อของเจ้านั้นมีภารกิจมากมาย ไม่อาจพบเจ้าได้ในตอนนี้” เด็กน้อยนิ่งเงียบลงทันทีหลังได้ยินคำตอบ ใบหน้าอ้วนกลมบูดบึ้งเล็กน้อย ขณะระบายพู่กันลงบนกระดาษซวนจื่อ เส้นหมึกที่ลากยาวสะท้อนถึงความหงุดหงิดของเจ้าตัว ซูเยี่ยนมองใบหน้าของบุตรชายแล้วรู้สึกเจ็บลึกในอก ไม่อาจพูดสิ่งใดเพื่อปลอบประโลมได้ เขารู้ดีว่าจ้าวอู่ฉียังติดพันศึกอยู่ที่ชายแดนเป่ย แม้จะส่งข่าวคราวมาอย่างไม่ขาดสาย แต่การห่างหายไปนานก็ทำให้อาเฉินเริ่มรับรู้ถึงความว่างเปล่าของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดา “ท่านแม่ คืนนี้ข้านอนกับท่านได้หรือไม่” เสียงเล็กดังขึ้นอีกครั้งขณะที่จ้าวอู๋เฉินกำลังฝนหมึก ดวงตาใสแจ๋วของเด็กน้อยมองมารดาอย่างคาดหวัง “หืม?” ซูเยี่ยนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เรือนของข้าร้อนยิ่งนักขอรับ” คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้ซูเยี่ยนนิ่งงันไปทันที เขาหันมองบุตรชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจและเจ็บปวด แม้จะทนได้ทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่อาจยอมรับได้ คือการที่บุตรชายต้องอยู่อย่างลำบาก พระชายาจางถึงกับไม่แยกแยะเช่นนี้หรือ แม้ซูเยี่ยนจะอดทนต่อการกลั่นแกล้งทั้งหมดเพื่อตัวเอง แต่ไม่คาดคิดว่าความอาฆาตของนางจะลามมาถึงเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาเช่นนี้ เขาเม้มริมฝีปากแน่น ความคับแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกเหมือนจะทะลักออกมา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงลูบศีรษะบุตรชายเบา ๆ “ได้สิ คืนนี้เจ้ามานอนกับข้า” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แต่ในใจกลับเดือดดาลยิ่งนัก ……………… จางเหม่ยอิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าสวยที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจฉายรอยยิ้มบาง ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง นางช่างพึงใจยิ่งนักที่ได้เอาคืนซูเยี่ยนในยามที่ไม่มีจ้าวอู่ฉีคอยปกป้อง “หงเหลียน เจ้าทำตามที่ข้าสั่งแล้วหรือไม่” เสียงหวานเอ่ยถาม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นเยียบ “เพคะพระชายา หม่อมฉันสั่งพ่อบ้านหม่าไม่ให้ส่งน้ำแข็งไปที่เรือนเฟิ่งฮวาของชายารองและคุณชายแล้วเพคะ” จางเหม่ยอิงยกยิ้มเยาะในทันที “ดี อยากจะรู้นักว่าคนผู้นั้นจะทำอย่างไร” “ชายารองนิ่งเฉยเพคะ ทั้งยังพาคุณชายออกไปนั่งคัดตำราที่เรือนดอกไม้แทน” หงเหลียนรายงานอย่างระมัดระวัง “ไม่สะทกสะท้านเลยอย่างนั้นหรือ?” จางเหม่ยอิงหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลับเพิ่มความเย็นชาน่าขนลุก “ดี...หากมันแข็งข้อกับข้านัก เช่นนั้นข้าจะตัดเบี้ยหวัดเสียให้รู้แล้วรู้รอด” “พระชายาเพคะ หากท่านอ๋องรู้เข้า...” หงเหลียนเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล ทว่ากลับถูกขัดด้วยสายตาคมดุจากผู้เป็นนาย “คนผู้นั้นจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ก็ไม่รู้ ไปนานถึงเพียงนี้ ข้าเกรงว่าจะตายในสนามรบแล้วกระมัง” จางเหม่ยอิงเอ่ยเสียงเบาราวกับพูดกับตนเอง ทว่าน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “พระชายาเพคะ...” หงเหลียนทำท่าจะเอ่ยต่อ แต่คำพูดกลับหยุดลงทันทีเมื่อจางเหม่ยอิงหันขวับมาสบตา ดวงตาคู่นั้นช่างเย็นชาและดุดัน ทำให้หัวใจของบ่าวสาวเต้นระรัว “หุบปาก ก่อนที่ข้าจะฉีกปากเจ้าเสีย!” น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้หงเหลียนก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมองเจ้านายอีก บรรยากาศในเรือนตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงหายใจตื้นของหงเหลียนที่พยายามกลั้นไว้ “สั่งบ่าวรับใช้เตรียมตัว ข้าจะไปเยี่ยมซูเยี่ยนเสียหน่อย” จางเหม่ยอิงเอ่ยขึ้น พร้อมกับยกแก้วชาในมือขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม “เพคะ” หงเหลียนรับคำทันที ก่อนจะก้มศีรษะและถอยออกไปอย่างเร่งรีบ จางเหม่ยอิงมองตามหลังบ่าวรับใช้ของตน รอยยิ้มเย็นเยียบยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของนาง “ข้าจะดูสิว่ามันจะอดทนได้นานสักแค่ไหน...” ……………… ยามบ่ายคล้อยแสงแดดสาดส่องผ่านใบไม้ที่พลิ้วไหว จางเหม่ยอิงก้าวออกจากเรือนไป๋หลัน พร้อมขบวนบ่าวรับใช้ที่เดินตามหลัง นางอยู่ในอาภรณ์สีชมพูอ่อนลายดอกเหมยเย็บปักอย่างงดงาม แฝงความสง่างามและเยือกเย็นในคราวเดียวกัน เมื่อถึงเรือนเฟิ่งฮวา สายตาของนางกวาดมองไปยังบรรยากาศที่เงียบสงบผิดปกติ บ่าวไพร่ที่เรือนแห่งนี้ต่างทำงานกันอย่างเร่งรีบและระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจ “ไปบอกชายารองว่าข้ามา” จางเหม่ยอิงสั่งเสียงเรียบ หงเหลียนผงกศีรษะรับคำ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานนัก ซูเยี่ยนก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมบุตรชายตัวน้อยที่เดินตามติดอยู่ด้านหลัง ดวงตาของซูเยี่ยนฉายแววสงบนิ่ง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความอ่อนล้าในใบหน้าได้ “คารวะพระชายา” ซูเยี่ยนคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม บุตรชายตัวน้อยมองดูมารดา ก่อนจะโค้งตามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จางเหม่ยอิงยกยิ้มเล็กน้อย แต่แววตากลับแฝงความเย็นชา “ตามสบายเถิด ซูเยี่ยน...ข้าแค่ผ่านมาเลยแวะมาเยี่ยมเจ้า” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่ากลับทำให้ซูเยี่ยนรู้สึกกดดัน “ขอบพระทัยพระชายา” จางเหม่ยอิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ รอยยิ้มบางแต้มบนใบหน้าสวย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ไม่เชิญข้าดื่มชาหรือ” “เชิญพระชายาด้านในพ่ะย่ะค่ะ” ซูเยี่ยนตอบเสียงเรียบ พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม้จะรักษามารยาทไว้อย่างครบถ้วน แต่แววตาที่หลุบต่ำกลับสะท้อนความเหนื่อยล้าและความอึดอัดใจที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ จางเหม่ยอิงแสยะยิ้มแล้วก้าวเดินนำเข้าไปในเรือนเฟิ่งฮวา ราวกับเรือนนี้เป็นสถานที่ของนางเอง โดยไม่แม้แต่จะรอให้ซูเยี่ยนเดินนำทาง ทั้งสองนั่งที่โต๊ะดื่มชาด้วยกัน ซูเยี่ยนเหลือบมองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้ว่าการที่นางมาเยือนเรือนของเขาในเวลานี้มีเหตุผลใด แต่เชื่อว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดี “พระชายามีอะไรกับกะหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวล หากแต่แฝงความห่างเหิน จางเหม่ยอิงยกยิ้มบาง ริมฝีปากแตะแก้วชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างเบามือ “ข้าแค่มาพูดคุยกับเจ้าเท่านั้นเอง ซูหรูเหริน” ซูเยี่ยนไม่ได้ตอบ เพียงแค่รอฟังอย่างสงบนิ่ง “เจ้ารู้หรือไม่...เมื่อนานมาแล้ว ท่านอ๋องของข้าได้รบราฆ่าฟันอยู่ที่ชายแดน แล้วได้พบกับคนผู้หนึ่ง” จางเหม่ยอิงเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบมองตรงมาที่เขาแล้วพูดต่อ “แต่คนผู้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก... มักใหญ่ใฝ่สูง ใช้ใบหน้างดงามราวกับจิ้งจอกขาว หลอกล่อจนท่านอ๋องของข้าต้องรับเขามาเป็นอนุ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นั้นใช้มนตร์ดำชั้นต่ำอะไรร่ายใส่ท่านอ๋องของข้า” นางแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางราวกับสนุกกับสิ่งที่กำลังเล่า แม้รู้ดีว่าคนผู้นั้นที่จางเหม่ยอิงกำลังกล่าวถึงก็คือตนเอง แต่ซูเยี่ยนก็ไม่ได้โต้แย้ง ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าการที่จ้าวอู่ฉีแต่งเขาเข้ามาในจวนสร้างความไม่พอใจให้กับพระนางไม่น้อย “กระหม่อมรู้ดีว่าการที่กระหม่อมเข้ามาในจวนแห่งนี้ คงสร้างความไม่พอพระทัยต่อพระชายา แต่กระหม่อมหาได้เป็นอย่างที่ท่านกล่าวไม่” ซูเยี่ยนกล่าวอย่างราบเรียบนุ่มนวล ไม่ได้มีโทสะในน้ำเสียง นั่นจึงทำให้จางเหม่ยอิงเดือดดาลใจมากขึ้นกว่าเดิม ฟังจบก็ไม่อาจจะระงับโทสะได้ นางลุกขึ้นก่อนจะฟาดฝ่ามือที่ใบหน้าของซูเยี่ยนเต็มแรง “ช่างบังอาจยิ่งนัก ไอ้คนชั้นต่ำ กล้าเยาะเย้ยข้าเชียวหรือ” ตัวของจางเหม่ยอิงสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์โกรธ “หากการทำเช่นนี้ทำให้ท่านพอพระทัยข้าก็ยินดี” ซูเยี่ยนกล่าวออกมาเสียงเบา ซูเยี่ยนหลับตาไม่ตอบโต้สิ่งใด ถึงเขาจะอยู่ในฐานะชายารอง แต่อย่างไรก็เป็นบุรุษ มิอาจทำร้ายสตรีได้ เมื่อจางเหม่ยอิงเห็นคนตรงหน้าไม่สะทกสะท้านอันใด จึงลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความคับแค้นใจ 1ยามเหม่า ตรงกับช่วงเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๖.๕๙ น.ตอนที่ ๒๖ เคียงกันนับจากนี้ยามค่ำคืนในจวนอ๋องเงียบสงัด แต่ในใจของจ้าวอู่ฉีกลับเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ ร่างสูงเดินไปเดินมาหน้าห้องคลอดไม่หยุด เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทว่าในหัวกลับวุ่นวายเสียจนแทบฟังเสียงตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้ามองประตูที่ปิดสนิท ใจจดจ่อกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมเชื่อว่าชายารองจะต้องปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” เยียนชิงเอ่ยปลอบเจ้านายของตนขณะยืนรออยู่ไม่ห่าง จ้าวอู่ฉีเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย ทว่าแววตายังคงจับจ้องไปยังประตูด้วยความร้อนใจเสียงร้องเบา ๆ ของทารกดังลอดออกมาในที่สุด บรรยากาศที่เงียบงันเมื่อครู่พลันถูกทำลาย จ้าวอู่ฉีหยุดเดินในทันใด เขาขยับเข้าไปใกล้ประตูด้วยความตื่นเต้น เสียงของหมอตำแยดังแว่วออกมา“เป็นเด็กผู้หญิงเพคะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”ร่างสูงถอนหายใจออกมายาว ๆ ราวกับปลดปล่อยความกังวลที่กักเก็บไว้ก่อนหน้านี้ เขาหันมองเยียนชิงที่ยกยิ้มเล็กน้อยให้“ข้าจะเข้าไป”กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากห้องคลอดโชยออกมา จ้าวอู่ฉีก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทีสุขุม ทว่าดวงตากลับเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยาก มองซูเยี่ยนเอนตัวพิงหมอนอย
ตอนที่ ๒๕ ลาจากในพระราชวังหลวง หลังการปราบปรามกบฏที่เมืองหลวงสำเร็จลง จ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินในชุดแม่ทัพเต็มยศเดินเข้าสู่ท้องพระโรง ใบหน้าของทั้งสองยังคงแสดงถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกที่เพิ่งสิ้นสุด“กระหม่อมจ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินน้อมถวายบังคมฝ่าบาท” ทั้งสองคุกเข่าลงพร้อมกัน ขณะที่ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงประทับบนบัลลังก์ทอง ดวงเนตรคมจับจ้องไปยังสองผู้ภักดี“ลุกขึ้นเถิด” สุรเสียงทรงพลังเอ่ยสั่ง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น “การศึกครั้งนี้จบลงแล้วหรือไม่?”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่ตงจวินรายงานพลางก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หลี่ชิงเจี๋ยและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว พร้อมหลักฐานที่พบระหว่างการปราบปราม”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังจ้าวอู่ฉี “แล้วผู้ที่เหลือเล่า?”“ฝ่าบาท กบฏที่เหลืออยู่ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ไม่มีหลงเหลือที่จะก่อความวุ่นวายได้อีก” จ้าวอู่ฉีกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น “กระหม่อมได้ส่งตัวจางเหม่ยอิงให้คุกหลวงเพื่อใช้เป็นพยานตามพระบัญชา และได้ส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายสินบนของกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง พระเนตรทอดมองไปยังทั
ตอนที่ ๒๔ กลับคืนในเช้าวันต่อมาหลังจากการสอบสวนที่คุกหลวง จ้าวอู่ฉีเร่งมุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวเท้าผ่านประตูวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ขันทีในพระราชวังนำทางเขาไปยังพระตำหนักที่เงียบสงบที่ห้องด้านใน หลี่เซียวเหอกำลังตรวจฎีกา หยวนกงกงเข้ามารายงานว่าจ้าวอู่ฉีมาขอเข้าเฝ้า เขาจึงพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา“ถวายบังคมฝ่าบาท” จ้าวอู่ฉีคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ทอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ลุกขึ้นเถิด เจี้ยนอ๋อง” หลี่เซียวเหอเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากฎีกาในพระหัตถ์จ้าวอู่ฉียืนขึ้นอย่างนอบน้อม ก่อนจะรายงานถึงความคืบหน้าของการสอบสวน “กระหม่อมได้นำตัวจางเหม่ยอิงและเว่ยจงเข้าสอบสวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้ได้ข้อมูลบางส่วน แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่กระจ่าง หากกระหม่อมขอพระบรมราชานุญาตให้เพิ่มแรงกดดันเพื่อขยายผล”หลี่เซียวเหอเงยพระพักตร์ขึ้น สายพระเนตรคมกริบจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคิดว่ายังมีใครอยู่เบื้องหลังอีกหรือ”“กระหม่อมเชื่อว่ามีพ่ะย่ะค่ะ หลันซิงเฉินไม่อาจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้เพียงลำพังได้”“ดี เช่นนั้นข้าจะให้ราชองครักษ์เสื้อแพรเพิ่มกำลังสนับสนุนเจ้าสำหรับเรื่องนี้”“ข
ตอนที่ ๒๓ ลอบโจมตีทางด้านหลี่ตงจวินหลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้น เขาเอ่ยชวนไป๋ซือเฟิงไปเดินเล่นในลานสวนด้านหลังเรือนใหญ่ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเรียวของไป๋ซือเฟิงที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แต่ฝีเท้าของเขากลับเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หลี่ตงจวินชะลอฝีเท้าตาม สายตามองหน้าท้องที่นูนใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง“เดินไหวหรือไม่” หลี่ตงจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ไหวขอรับ ข้าเพียงแค่...แปลกใจ ทำไมที่นี่ถึงได้ใหญ่โตนัก” เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ลานสวนที่ตกแต่งอย่างประณีต มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายหลี่ตงจวินหยุดเดินก่อนจะหันมามองไป๋ซือเฟิงด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ความจริง...ข้าไม่ได้บอกเจ้าทั้งหมด ข้าขอโทษที่ต้องโกหก”“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ซือเฟิงชะงักเท้า สายตาจับจ้องหลี่ตงจวิน“ข้าไม่ใช่เพียงชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เคยบอกเจ้า” หลี่ตงจวินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าชื่อหลี่ตงจวิน ข้าเป็นชินอ๋อง”ไป๋ซือเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นเอง คิดไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ธรรมดา กระหม่อมเสียมารยาทกับท่านแล้ว”“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่โกรธข้าก็ดีแล้ว เจ้ารู้เมื่อไรหรือ”
ตอนที่ ๒๒ แสงจันทร์รำไรกลางดึกยามฟ้ามืดสนิท จ้าวอู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาในกระโจมที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เขารู้สึกอึดอัดจากความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อสงบจิตใจหมู่ดาวส่องประกายเหนือท้องฟ้า แต่ใจของเขากลับหนักอึ้ง เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดช่างเงียบงันราวกับปิดบังบางสิ่ง จ้าวอู่ฉีเดินเรื่อยเปื่อยไปยังแนวป่าริมค่าย ทว่าก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดชะงักร่างในชุดเรียบง่ายของชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวในสายลม เมื่อเดินไปมองใกล้ ๆ จ้าวอู่ฉีแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาของเขาเบิกโพลง“ซูเยี่ยน...” เสียงเรียกนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบุรุษผู้นั้นหันมาพลางยกมือลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวงทว่าจ้าวอู่ฉีไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไป เขาพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น ความอบอุ่นจากอ้อมกอดทำให้เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ซูเยี่ยน... เจ้ากลับมาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องรอด ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่จากไป...”“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของอีกฝ่ายดังขึ้น เขาพย
ตอนที่ ๒๑ ภรรยาข้าไป๋หลี่จวินซึ่งได้รับคำสั่งให้สืบสวนความเคลื่อนไหวในเหลียวหนิง เดินทางมาถึงท่าเรือตระกูลหม่าในยามสาย ท่ามกลางความคึกคักของพ่อค้าและคนงานที่ขนส่งสินค้า ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาเฉียบคม“ข่าวว่าตระกูลหม่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าต้องห้าม เจ้าแน่ใจหรือ” ไป๋หลี่จวินถามคนสนิท ขณะยืนมองกิจกรรมที่เกิดขึ้น“ขอรับนายท่าน ข้าได้รับรายงานจากหน่วยสืบข่าวลับ ว่า ตระกูลหม่านอกจากจะทำการค้าถูกต้อง ยังใช้ท่าเรือนี้เพื่อส่งสินค้าที่มิได้แจ้งแก่ทางการอีกด้วย”ไป๋หลี่จวินพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้านำกำลังบางส่วนล้อมทางออกท่าเรือไว้ อย่าให้มีผู้ใดหลบหนีได้ ข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเอง”เมื่อเดินเข้าไปยังท่าเรือ ไป๋หลี่จวินแสร้งทำทีเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งปะปนไปกับฝูงชน ทว่าดวงตาของเขากลับมองไปยังหมู่ตึกที่ตั้งอยู่ด้านใน“นายท่าน นั่นคือที่เก็บของของตระกูลหม่าขอรับ” คนสนิทกระซิบเบา ๆไป๋หลี่จวินพยักหน้า เขาก้าวเข้าไปใกล้หมู่ตึกโดยมิได้แสดงตน ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายสองคนกำลังลากเกวียนบรรทุกหีบไม้ขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกแน่นหนา“หยุด!” เสียงของไป๋หลี่จวินดังขึ้น ทำให้ชายทั้งส







