“ข้าเป็นเจ้าที่” ชายผู้มีหนวดเคราและเรือนผมสีดอกเลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ท่านศร เป็นเจ้าที่ที่นี่ก่อนที่ข้ามาอยู่ในต้นไม้นี้เสียอีก” สาลิกาเอ่ยชื่อของท่านเจ้าที่ที่แสนใจดีที่อนุญาตให้วิญญาณที่ไม่มีที่ไปอย่างเธอมาอาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่เมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน
“อย่าไปบอกคนอื่นว่าเห็นข้าล่ะ เดี๋ยวพวกเขาจักพาลกลัว” ท่านศรเอ่ยย้ำกับเงือกสาวเพราะเขาพอจะรับรู้ได้ว่าสองพี่น้องกลัวแค่ไหนเมื่อได้ยินมนตรามัจฉาบอกว่าคุยกับนางไม้ได้
“ทำไมฤาท่าน” มนตรามัจฉายังคงมีสีหน้าฉงน สิ่งที่เธอเห็นและพูดออกไปเป็นความจริงทั้งนั้น ทำไมคนอื่นถึงต้องกลัว
“สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ผู้คนเหล่านั้นเรียกทุกอย่างว่าผี”
“พวกท่านก็ถูกผู้คนเรียกเช่นนั้นฤา”
“จะเรียกว่าเจ้าที่ นางไม้ หรือวิญญาณก็มิต่างจากความหมายนั้น”
“มิน่า วีถึงได้มีอาการกลัว พี่ชบาก็เรียกสิ่งที่ข้าเห็นว่าผี พวกเขาทำเหมือนเข้าใจข้า แต่สุดท้ายก็มิใช่” พูดมาถึงตรงหน้าสีหน้าของหญิงสาวก็ห่อเหี่ยวลง
“เจ้าอย่าถือโทษโกรธใครที่ไม่เชื่อเจ้าเลย โลกมนุษย์นี้ ผู้คนจักเชื่อทุกอย่างที่ตาของพวกเขามองเห็น ส่วนเจ้าที่มองเห็นพวกข้าก็เพราะพวกข้าอยากให้เห็นเท่านั้น เจ้าจงใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนที่มนุษย์ใช้กัน หมั่นสร้างบุญ แลอย่าทำให้ใครต้องหนักใจเรื่องของเจ้า หากเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอันใดที่คิดว่าคนอื่นๆ รับฟังเจ้ามิได้ เจ้าก็จงมาพูดกับข้า เข้าใจฤาไม่”
มนตรามัจฉาพยักหน้ารับคำท่านศร ทว่าหัวในใจนั้นก็ยังมีทุกข์หนัก เพราะยังอยากให้คนที่เป็นพี่น้องเข้าใจทุกอย่างในตัวของเธอ ทั้งยังอยากรู้แจ้งในความรู้สึกด้วยว่าก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาอยู่ในร่างของชมชีวัน เธอมีความเป็นอยู่เช่นไร
ร่างบางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม มือเรียวดึงหมอนข้างเข้ามากอด แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหนักใจเพราะคนที่เธออยากให้เขาใจในตัวของเธอมากที่สุดกลับไม่ได้คิดที่จะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดตั้งแต่แรก บนโลกที่เธอไม่คุ้นเคยใบนี้มีหลายอย่างให้เธอต้องเรียนรู้และยอมรับสินะ หากมีใครสักคนที่พร้อมเข้าใจในตัวของเธอได้อย่างเต็มอกคงดี
“คุณได้ยินผมไหมมนตรามัจฉา”
“คุณอัคคีเหรอคะ” หญิงสาวที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนผุดลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงอีกครั้ง
“ใช่ ผมเรียกคุณตั้งหลายรอบ คิดว่าคุณจะไม่ได้ยินผมซะแล้ว”
“พรุ่งนี้ฉันจะชวนพี่ชบาไปทำบุญให้คุณนะคะ วันนี้ฉันไม่ว่างเลย”
“ผมได้ยินไอ้คนที่จับผมมามันบอกว่าจะสลับวิญญาณของผมกับลูกชายของมัน”
“พวกนั้นทำไปเพื่ออะไรคะ”
“ผมได้ยินแค่นั้นจริงๆ แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้ผมเป็นแค่วิญญาณ” น้ำเสียงสุดท้ายของชายหนุ่มอ่อนลง
“วิญญาณ หมายถึงผีใช่ไหม”
“ใช่ ผมก็ไม่ต่างอะไรจากคำนั้น แต่ถ้าหากคนชั่วพวกนั้นจะสลับวิญญาณของผม เท่ากับว่าตัวของผมก็ต้องอยู่ที่ไหนสักที่ คุณช่วยผมได้ไหม ช่วยหาผมให้เจอ”
“แล้วคุณพอจะรู้ไหมว่าตัวของคุณอยู่ที่ไหน”
“ผมไม่รู้ รู้แค่ว่าผมชื่ออัคคี”
“แล้วคนที่จับตัวคุณล่ะ คุณรู้ชื่อไหม”
“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าอีกไม่นานมันจะทำพิธีสลับวิญญาณของผมกับลูกชายของมัน”
“ฉันจะหาวิธีช่วยคุณให้เร็วที่สุด คุณไม่ต้องกลัวนะคุณอัคคี”
“ผมจะรอคุณนะมนตรามัจฉา”
ประโยคท้ายๆ ของชายหนุ่มค่อยๆ เลือนหายไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงถอนหายใจของหญิงสาว เพราะเธอรู้ว่านั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเธอและเขาจะสื่อสารกันต่อไม่ได้แล้ว
สาวเจ้าค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอนอีกครั้ง “ในเมื่อฉันให้สัญญาว่าจะช่วยคุณ ฉันก็จะต้องช่วยให้ได้ค่ะคุณอัคคี”
หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวกระโปรงยาวถึงข้อเท้าเดินตามคนเป็นพี่ที่กำลังเดินซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันในร้านสะดวกซื้อหน้าวัดด้วยแววตาฉงน เพราะที่บ้านของเธอก็มีของพวกนี้เยอะแล้ว ไม่รู้ว่าชื่นชีวาจะซื้อของพวกนี้อีกทำไม
“เราซื้อของพวกนี้ไปทำอะไรเหรอคะ ที่บ้านก็มีตั้งเยอะ”
“ของใช้พวกสบู่ยาสีฟัน ยารักษาโรคพวกนี้เราจะเอาไปทำสังฆทานให้พระสงค์”
“อ๋อ...ค่ะ”
“ยังไม่หมดแค่นี้นะ เราต้องไปซื้อพวกดอกไม้ธูปเทียนด้วย”
“ค่ะ แล้ว...ทำบุญ ต้องทำที่วัดอย่างเดียวใช่ไหมพี่ชบา”
“บุญคือการทำความดี เราไม่จำเป็นต้องทำที่วัดอย่างเดียวก็ได้ แต่ชาวพุทธอย่างเราก็จะเข้าวัดเป็นส่วนใหญ่”
“แล้วบุญที่ไม่ได้ทำกับวัดอย่างเดียวมีอะไรบ้างเหรอคะ”
“ก็ช่วยเหลือคนอื่นด้วยใจบริสุทธิ์ไม่ได้หวังผลตอบแทนก็เป็นบุญเหมือนกัน หรือไม่ก็บริจาคเงินให้โรงพยาบาล โรงเรียน อะไรพวกเนี้ย แล้วบุญที่เราทำไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นนะ เราจะแผ่ให้ใครก็ได้ ทั้งคนทั้งสัตว์หรือแม้กระทั่งวิญญาณบรรพบุรุษของเรา แล้วก็พวกวิญญาณเร่ร่อน”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว” รู้ดังนั้นสาวเจ้าก็พอจะฉีกยิ้มได้ ในเมื่อบุญที่เธอทำสามารถแผ่ให้ใครก็ได้วันนี้เธอก็จะยกบุญทั้งหมดที่เธอทำให้กับอัคคี เผื่อว่าเขาจะหลุดพ้นจากเรื่องที่กำลังทุกข์ใจเสียที
เงือกสาวยืนปั้นหน้าให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ว่าวีรกรรมของเธอจะไปถึงหูองค์ราชาและราชินีผู้ปกครองเมืองนี้หรือยัง“ท่านมิควรทำเยี่ยงนี้เลยเจ้าหญิง หากท่านยังคงทำเรื่องมิสมควร ข้าจักต้องรายงานท่านเจ้าเมือง”เมื่อความผิดถูกละเว้นเงือกสาวก็พอจะยิ้มออก จากนั้นจึงรีบคุกเข่าคำนับองครักษ์หนุ่มเป็นการขอบคุณ “ข้าขออภัย ข้าจักไม่ทำอีก”ร่างของรณจักรปักษาสลายหายไปกับอากาศ ตัวของเจ้านาคทะเลก็ลงมากองกับพื้นชมชีวันค่อยๆ เงยหน้าเปิดตาทีละข้างเมื่อรู้ว่ารณจักรปักษาไม่อยู่แล้วก็ทิ้งตัวนั่งกับพื้นด้วยสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่เจ้านาคทะเลที่นอนหงออยู่ตรงหน้า“ไปทำยังไงให้จับได้ล่ะสามน”“ก็ข้ามิรู้ว่าท่านรณจักร จักเห็นข้าด้วย ข้ากลัวแทบตายเจ้าหญิงยังมิวายบ่นข้าอีกฤา” สามนสะบัดหน้าหนีเจ้านายตน เขากลัวจนแทบหยุดหายใจเมื่อถูกรณจักรปักษาดึงหลังคอขณะที่กำลังปีนป่ายตามหาปักษิณสิงขร“ข้าปลอบเจ้าก็ได้” ชมชีวันอุ้มเจ้านาคทะเลตัวกลมมากอดปลอบ ด้วยรู้ว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นจนลืมใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนตัวน้อยไป“ชิ...”“อย่างอนข้านักเลยน่า ข้าขอโทษ แล้วได้เห็นว่าที่สวามีข้าฤาไม่”“แค่ข้าย่างกายเข
ชมชีวันมาถึงตำหนักของชลามัจฉาก็วิ่งไปรอบตำหนัก เพราะที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่เป็นที่อยู่หลับนอนเท่านั้น แต่หลังตำหนักมีรากไม้ขนาดใหญ่ขดโอบล้อมเกิดเป็นบ่อน้ำสีฟ้าสวยและรอบๆ ก็มีไม้ดอกหลากสีสันเป็นที่น่ามองอีกด้วย“ข้าชอบสระน้ำนี้เจ้าค่ะท่านน้า ข้ามาหาท่านบ่อยๆ ได้ไหมเจ้าคะ”“เรือนหอของเจ้าจักมีเช่นกัน หลังเจ้าร่วมหอกับท่านปักษิณสิงขร รากไม้จากตำหนักจักขยายรากเกิดเป็นบ่อน้ำให้เจ้าได้แหวกว่ายยามคะนึงหาเมืองเกิดที่จากมา”“แต่ข้าอยากมาที่นี่” ที่พูดออกไปเมื่อครู่เพียงต้องการหาข้ออ้างมาอยู่ใกล้ชลามัจฉาเท่านั้น“ตามใจเจ้าเถิด”“ท่านพี่อยากมาหาข้าใช่ฤาไม่เล่า” มีนามัจฉาอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ด้วยรู้ว่าญาติผู้พี่ต้องอยากพาเธอไปหาอะไรทำสนุกๆ เช่นครั้งที่เธอกลับไปเยี่ยมเยียนถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่แน่นอน ที่นั่นเป็นถิ่นของมนตรามัจฉา แต่ที่นี่เป็นถิ่นของเธอ มีหลายอย่างเลยที่เธออยากให้มนตรามัจฉาไปพบไปเห็นเหมือนกับสิ่งที่เธอได้เห็นในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล“ให้จำเอาไว้ว่าเจ้าจักพาพี่เจ้าซนมิได้แล้วหนา” ชลามัจฉาเหมือนจะรู้ทันว่าลูกสาวของเธอกำลังคิดอะไรจึงต้องเอ่ยปากปรามเอาไว้ก่อน เพราะหลังจากนี้มนตราม
“พวกคุณ เอ่อ... พวกท่านเข้ามาในหอนอนของข้าได้ยังไง ข้ามิได้อนุญาตให้ใครเข้ามา” ชมชีวันจำได้ว่าทั้งสองเป็นนางรับใช้ของอชินีพารา ไม่เพียงแค่หน้าตาที่ไม่เป็นมิตร ทว่าสายตายังมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นที่เจอกันคราแรกก็ยังเหมือนเดิม“ราชินีมีรับสั่งให้เจ้าหญิงเข้าเฝ้าในเพลานี้เจ้าค่ะ”“มีเหตุอันใดฤา”“มิทราบได้ พวกข้ามาเชิญเจ้าหญิงตามคำสั่งเท่านั้น จงไปกับพวกเราโดยดีเถิดเจ้าค่ะ”“เอ่อ...อืม” ชมชีวันรีบเดินตามทั้งสองไปแต่โดยดี เสียงเอ่ยเชิญของนางรับใช้นั้นแข็งไร้หางเสียงปานการออกคำสั่ง หากเธอคิดขัดขืนมีหวังอาจจะถูกฝ่ามืออรหันต์ฟาดหลังหักได้ ทว่าเรื่องที่ทำให้เธอร้อนๆ หนาวๆ มากกว่าความโหดของสายตานางรับใช้ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ราชินีของเมืองนี้ให้ไปเข้าเฝ้า ไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไร ทว่าก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นเรื่องที่สามนถูกจับได้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของเงือกสาวได้เลื่องลือเป็นที่เสียหายแน่ชมชีวันเดินก้มหน้าก้มตาตามนางรับใช้ทั้งสองมาพักใหญ่ จนกระทั่งเข้ามาถึงตำหนักใหญ่ที่อชินีพาราประทับอยู่ ในโถงใหญ่แห่งนี้แม้จะไม่ได้ต่างจากที่ที่เธอพักอาศัยมากนัก ทว่าที่แห่งนี้มีผ้าไหมสีประดับเป็นม่านตัดกับ
ณ ใจกลางผืนป่ากว้างใหญ่อันเขียวขจีที่มีแม่น้ำสายใหญ่รายล้อมรอบเมือง เมื่อมีสายน้ำก็ย่อมมีชีวิต ที่นี่จึงเป็นเมืองที่เหล่าสรรพสัตว์อาศัยอยู่กันมากที่สุด พื้นที่แห่งนี้เรียกว่าเมืองปักษิณพารา เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับต้นไม้ที่แกะสลักให้มีช่องว่างใหญ่โตพอที่จะให้สรรพสัตว์ได้ใช้อาศัยอยู่ได้อย่างสบายหลายแห่ง มีเจ้าเมืองปกครองนามว่า นครินทร์คีรีผู้เป็นราชานกยักษ์ ร่วมกับราชินีอชินีพาราผู้เป็นบุตรีของอดีตเจ้าเมืองพยัคฆาอาณาเขตการปกครองของเมืองปักษิณพารากว้างใหญ่ไพศาล เพราะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรมากมายที่ชุบเลี้ยงชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ในป่าใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่พระอิศวรและครุฑชั้นปกครองได้ช่วยกันสร้าง จึงเป็นที่น่าเกรงขามกับสรรพสัตว์ทุกเผ่า เรียกได้ว่าเป็นเมืองนี้เป็นมหาอำนาจของป่าใหญ่นี้ก็ว่าได้เงือกสาวสาวในชุดเดรสผ้าฝ้ายแขนกุดกระโปรงสั้นเหนือเข่ามีเข็มขัดที่ทำจากไข่มุกคาดเอวให้เห็นทรวดทรงเดินเข้ามานั่งหน้ามุ่ยตรงข้ามกับเจ้านาคทะเลตัวน้อยที่กำลังสวาปามปลาดิบอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าของเธอ“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เลยสามน สัตว์หลายตนที่นี่ด
“ข้าเป็นเจ้าที่” ชายผู้มีหนวดเคราและเรือนผมสีดอกเลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม“ท่านศร เป็นเจ้าที่ที่นี่ก่อนที่ข้ามาอยู่ในต้นไม้นี้เสียอีก” สาลิกาเอ่ยชื่อของท่านเจ้าที่ที่แสนใจดีที่อนุญาตให้วิญญาณที่ไม่มีที่ไปอย่างเธอมาอาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่เมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน“อย่าไปบอกคนอื่นว่าเห็นข้าล่ะ เดี๋ยวพวกเขาจักพาลกลัว” ท่านศรเอ่ยย้ำกับเงือกสาวเพราะเขาพอจะรับรู้ได้ว่าสองพี่น้องกลัวแค่ไหนเมื่อได้ยินมนตรามัจฉาบอกว่าคุยกับนางไม้ได้“ทำไมฤาท่าน” มนตรามัจฉายังคงมีสีหน้าฉงน สิ่งที่เธอเห็นและพูดออกไปเป็นความจริงทั้งนั้น ทำไมคนอื่นถึงต้องกลัว“สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ผู้คนเหล่านั้นเรียกทุกอย่างว่าผี”“พวกท่านก็ถูกผู้คนเรียกเช่นนั้นฤา”“จะเรียกว่าเจ้าที่ นางไม้ หรือวิญญาณก็มิต่างจากความหมายนั้น”“มิน่า วีถึงได้มีอาการกลัว พี่ชบาก็เรียกสิ่งที่ข้าเห็นว่าผี พวกเขาทำเหมือนเข้าใจข้า แต่สุดท้ายก็มิใช่” พูดมาถึงตรงหน้าสีหน้าของหญิงสาวก็ห่อเหี่ยวลง“เจ้าอย่าถือโทษโกรธใครที่ไม่เชื่อเจ้าเลย โลกมนุษย์นี้ ผู้คนจักเชื่อทุกอย่างที่ตาของพวกเขามองเห็น ส่วนเจ้าที่มองเห็นพวกข้าก็เพราะพวกข้าอยากให้เห็นเท่านั้น เจ้าจงใช้ชี
วายุตรวจร่างกายชมชีวันคร่าวๆ เรียบร้อยก็ส่งต่อหญิงสาวมาที่ห้องทำงานของธีรภพ จิตแพทย์หนุ่มตี๋หน้าหยกราวกับพระเอกซีรีส์จีนที่เป็นเพื่อนสนิทของเขา“เชิญนั่งก่อนครับคุณชมพู” มนตรามัจฉาเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยแววตาระแวงพอสมควรชื่นชีวาพยักหน้าให้น้องสาวนั่งลงตรงข้ามกับหมอหนุ่ม “ชมพูมีอะไรก็คุยกับคุณหมอได้ทั้งหมดเลยนะ เดี๋ยวพี่จะไปรอข้างนอก”“ค่ะ”“ฝากด้วยนะคะหมอภพ”“ครับ”เภสัชสาวออกจากห้องไปเรียบร้อย หมอหนุ่มก็หันมาสนใจหญิงสาวหน้าหวานที่กำลังนั่งทำหน้ากังวลอยู่ฝั่งตรงข้าม “ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนนะครับ ผมชื่อภพครับ”“ฉันชื่อชมพูค่ะ แต่ว่า...” มนตรามัจฉาหยุดพูดกะทันหันเพราะจำได้ว่าชื่นชีวาให้เธอเข้าใจว่าเธอใช้ชื่อชมชีวันสีหน้าของหญิงสาวที่แสดงออกถึงความกังวลทำให้หมอหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าเธอมีอะไรในใจเกี่ยวกับเรื่องชื่อของตัวเอง “มีอะไรพูดกับผมได้ทุกเรื่องเลยครับ คิดซะว่าผมเป็นเพื่อนของคุณคนนึงก็ได้ แล้วผมก็คิดว่าผมพร้อมจะเชื่อกับทุกอย่างที่คุณพูดด้วย”“พูดได้ทุกเรื่องจริงเหรอคะ”“ครับ คุณพูดออกมาได้ทั้งหมดเลยครับ” ธีรภพเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นแววตาของหญิงสาวตรงข้ามเริ่มคลายความกังวล“อั