ณ ใจกลางผืนป่ากว้างใหญ่อันเขียวขจีที่มีแม่น้ำสายใหญ่รายล้อมรอบเมือง เมื่อมีสายน้ำก็ย่อมมีชีวิต ที่นี่จึงเป็นเมืองที่เหล่าสรรพสัตว์อาศัยอยู่กันมากที่สุด พื้นที่แห่งนี้เรียกว่าเมืองปักษิณพารา เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับต้นไม้ที่แกะสลักให้มีช่องว่างใหญ่โตพอที่จะให้สรรพสัตว์ได้ใช้อาศัยอยู่ได้อย่างสบายหลายแห่ง มีเจ้าเมืองปกครองนามว่า นครินทร์คีรีผู้เป็นราชานกยักษ์ ร่วมกับราชินีอชินีพาราผู้เป็นบุตรีของอดีตเจ้าเมืองพยัคฆา
อาณาเขตการปกครองของเมืองปักษิณพารากว้างใหญ่ไพศาล เพราะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรมากมายที่ชุบเลี้ยงชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ในป่าใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่พระอิศวรและครุฑชั้นปกครองได้ช่วยกันสร้าง จึงเป็นที่น่าเกรงขามกับสรรพสัตว์ทุกเผ่า เรียกได้ว่าเป็นเมืองนี้เป็นมหาอำนาจของป่าใหญ่นี้ก็ว่าได้
เงือกสาวสาวในชุดเดรสผ้าฝ้ายแขนกุดกระโปรงสั้นเหนือเข่ามีเข็มขัดที่ทำจากไข่มุกคาดเอวให้เห็นทรวดทรงเดินเข้ามานั่งหน้ามุ่ยตรงข้ามกับเจ้านากทะเลตัวน้อยที่กำลังสวาปามปลาดิบอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าของเธอ
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เลยสามน สัตว์หลายตนที่นี่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับฉันเลย แถมอาหารที่เอามาส่งให้ฉันก็มีแต่ผัก ฉันกินผักจนตดเหม็นเขียวหมดแล้วเนี่ย ซังกุงห้องเครื่องทำเมนูที่ฉันอยากกินไม่ได้หรือไง” พูดแล้วชมชีวันก็อดนึกโมโหไม่ได้ สองวันเต็มๆ แล้วที่เธอได้เดินทางมาถึงเมืองปักษิณพาราพร้อมกับรณจักรปักษา ราชองครักษ์ของปักษิณสิงขร มาถึงก็ได้รับสายตาไม่พอใจจากสรรพสัตว์แทบทุกตนในเมืองที่ออกมาต้อนรับ อีกทั้งสั่งอาหารอะไรไปก็ไม่เคยได้ตามที่สั่งสักอย่าง ไม่รู้จะต้องทำยังไง บอกกับใครเธอถึงจะได้รับประทานอาหารที่เธอชอบ ก่อนจะมาที่นี่ผู้ที่ไปรับเธอรับปากนักหนาว่าเธอจะอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างสบาย แต่ที่ไหนได้คนละเรื่องกับที่รับปากกับเธอเอาไว้เลย
“ข้าว่าพวกเขาทำได้เจ้าหญิง แค่พวกเขามิพึงใจท่านต่างหาก”
“ไม่พอใจฉันเรื่องอะไร อย่าบอกว่าเรื่องที่ฉันขอเห็นหน้าคนที่จะแต่งงานด้วยตั้งแต่มาถึง”
“นั่นก็ใช่ อีกอย่างภาษาที่ท่านพูดก็แปลกพิกล มิเหมือนผู้ใด กิริยาของท่านก็มิสมกับการเป็นลูกเจ้าลูกนาย แล้ว...”
“พอๆ ฉันเข้าใจแล้ว หลอกด่ากันรึเปล่าเนี่ย เอาเป็นว่า ฉัน เอ้ย! ข้าจักพูดภาษาของโลกนี้ให้ชินก็แล้วกัน”
“ท่านจักลองพูด ไหนลองพูดให้ข้าฟังหน่อยเจ้าหญิง”
ชมชีวันยืนขึ้น จากนั้นก็เริ่มขึ้นมือตั้งวง ท่าทางของเงือกสาวทำเจ้านากทะเลต้องรีบถอยหลังหนีไปยินแนบแผ่นหลังอยู่กับขาม้านั่งตัวยาว “ข้ามีนามว่ามนตรามัจฉา เอ้อ... เอย บ้านอยู่ฝั่งธนท่าพระ... ข้านามว่ามนตรามัจฉานะจ๊ะ บ้านอยู่ท่าพระฝั่งธน เอ้อ...เอย...”
“ท่าพระฝังธนนี่มันอยู่ตรงไหนฤาท่าน” ปลาตัวน้อยล่วงจากปากของนากทะเล เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เงือกสาวตรงหน้าเอ่ยพูดมา อีกทั้งพฤติกรรมที่ยกมือขึ้นรำเมื่อครู่ มันไม่ใช่วิสัยของเงือกชนชั้นเจ้าเอาเสียเลย
“ข้าล้อเจ้าเล่นน่า ข้าพอจักพูดภาษาของพวกเจ้าได้อยู่เหมือนกัน พอดีดูหนังมาเยอะ เอ่อ... แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าจักเห็นหน้าว่าที่สวามีของข้าเพลาไหน”
“ข้ามิรู้ได้ อาจจักเป็นวันอภิเสกสมรส”
“เฮ้อ บังคับให้มาแต่งงานด้วยแล้วยังจะเล่นตัวไม่ยอมให้เห็นหน้าก่อนแต่งอีก แบบนี้เรียกเล่นตัวแล้วนะเนี่ย” เธอเท้าเอวหมับ ทั้งสีหน้ายังดูไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด ก่อนหน้านี้เธอก็กำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตเป็นเงือกอยู่ดีๆ แต่ชีวิตเธอต้องกลายมาเป็นว่าที่เจ้าสาวอยู่ที่นี่ก็เพราะคนในเมืองปักษิณพาราดันรู้ว่ามีเงือกที่มีเรือนผมดำขลับ ก็เลยไปขู่ว่าหากไม่ยอมส่งตัวเธอไปแต่งงานง่ายๆ จะต้องเกิดสงคราม
ตอนนี้เธอก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่จะว่าไปการได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สนุกสำหรับคนที่ชอบความท้าทายอย่างเธอเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็จะต้องเอาตัวรอดจากการตกเป็นชายาของปักษิณสิงขรให้ได้ เพราะร่างนี้ไม่ใช่ร่างของเธอ เธอจะต้องรักษาร่างกายนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ข้าได้ยินว่าเจ้าล่องหนได้ใช่ไหมสามน”
“ใช่ นั่นเป็นความสามารถพิเศษของข้า”
“ดีเลย งั้นเจ้าก็ต้องทำตัวเป็นนากสายลับ”
“นากสายลับ ยังไงฤาท่าน”
“อ้าว... เจ้าก็ล่องหนไปสอดส่องห้อง เอ้ย... พระตำหนัก เอ่อ... เขาเรียกว่าอะไรกันล่ะ แบบที่อยู่” มือเรียวชี้ไปรอบตัว
“ตำหนัก”
“อ่อใช่ ละครพื้นบ้านที่แท้ทรู”
“อะไรของท่าน”
“เอาใหม่ๆ ข้าจะบรีฟเจ้าใหม่ ฟังข้านะสามนน้อย เจ้าจงทำตัวเป็นนากสายลับ เจ้าต้องหายตัวไปสืบมาให้ได้ว่าว่าที่สวามีของข้าอยู่ที่ใด หน้าตาเป็นเช่นไร ภายในหนึ่งชั่วยามเจ้าต้องคาบข่าวมาบอกกับข้าให้ได้”
“รับทราบขอรับเจ้าหญิง”
ชมชีวันยืนกอดอกมองเจ้านากทะเลที่เป็นเพื่อนตนเดียวของเธอกระโจนหายออกไปจากหน้าต่าง จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดมาที่หอนอนของตัวเอง จะว่าไปเธอก็แอบทึ่งกับสิ่งปลูกสร้างของเผ่าปักษิณพาราอยู่ไม่น้อย เพราะเกิดมาก็ยังไม่เห็นต้นไม้อะไรที่ใหญ่ที่ขนาดเท่ากับบ้านหลังโตในโลกของเธอขนาดนี้
สาวเจ้าทิ้งตัวลงนอนบนแท่นบรรทมที่มีฟูกหนาสีขาวปูเอาไว้ วันๆ เธอก็เอาแต่กินกับนอนเพราะไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ จำได้ว่าบุหลันมัจฉาบอกกับเธอว่ามาถึงที่นี่เธอจะได้เจอกับชลามัจฉาน้องสาวที่มีศักดิ์เป็นน้าของมนตรามัจฉา หากมีสิ่งใดให้ชลามัจฉาช่วยก็บอกได้เลย นึกถึงคราแรกที่มาถึงเธอเจอสรรพสัตว์หลานตนก็จริง ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำความกับผู้ใดเธอก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ที่เป็นเช่นนั้นก็น่าจะเป็นเพราะเธอดันไปเอ่ยถามหาผู้ที่เธอจะแต่งงานด้วยตั้งแต่คราแรกที่มาถึง เธอเองก็ลืมไปว่า ณ โลกมิตินี้ยังเป็นอารยธรรมโบรารณที่เคร่งครัดเรื่องประเพณี ได้แต่โทษตัวเองที่ดูหนังดูละครมาเยอะแต่ก็ดันไม่เฉลียวใจที่จะรักษากิริยา ในเมื่อเธอได้กระทำลงไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รับผลที่จะตามมาเท่านั้น
ในขณะที่หนังตากำลังจะปิด ชมชีวันก็ต้องดีดตัวผึง เมื่อจู่ๆ ก็มีนกตัวเล็กสองตัวบินผ่านหน้าต่างเข้ามา จากนั้นก็กลายร่างเป็นกายที่เหมือนมนุษย์สาว มีอาภรณ์ปกปิดร่างกายที่ทำจากขนนกสีน้ำตาลแทบทั้งตัว
“ท่านพี่ก็รู้ใช่ฤาไม่เจ้าคะว่าทั้งสองอภิเษกทั้งที่ยังมิได้รักกัน แลเพลานี้ข้าดูออกว่าทั้งสองกำลังใส่ใจแลสนใจกันเป็นพิเศษเจ้าค่ะ หากท่านเพลิงพันจักรมิคิดมีใจให้ท่านหญิงจักรู้สึกเสียใจที่ทำท่าหญิงโกรธปานนี้ฤาเจ้าคะ แลท่านหญิงเองหากมิมีความรู้สึกกับท่านเพลิงพันจักร ท่านหญิงจักยอมทำทุกอย่างเพื่อตามใจท่านเพลิงพันจักรในตอนที่สวามีป่วยฤาเจ้าคะ จริงอยู่ที่การกระทำของท่านหญิงเป็นไปเพราะรู้สึกผิด ทว่าก็มิต้องทำทุกอย่างที่ท่านเพลิงพันจักรขอก็ได้ใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ชายาข้าช่างสังเกตปานนี้เชียวฤา” รณจักรปักษาเอ่ยออกมาด้วยท่าทางขบขันที่เห็นชายาตนนั้นวิเคราะห์เรื่องนี้เสียยาว“ขำสิ่งใดเจ้าคะ จักว่าข้าช่างสังเกตฤาช่างสอดเจ้าคะ”“มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่เจ้าสงสัย เพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า เพียงแค่พอจักเดาออกว่าทั้งสองมิรู้ใจตน ทั้งสองอยู่ใกล้กันทุกวัน แม้จักมินานก็คงทำให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยมีความรัก ความรู้สึกคงยังมิชัดแจ้งแก่ใจตน”“ข้าเข้าใจได้ว่าท่านอัญญาภานารีมิเคยมีความรักนั้นใช่ แต่ท่านเพลิงพันจักรนั้นรักท่านอชินีพาราหนาเจ้าคะ”“เรื่องนี้ท่านปักษิณสิงขร
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้