“อย่าเข้ามานะ ที่นี่ที่ไหน ทำไมฉันเป็นแบบนี้ มีครีบมีหาง อยู่ในน้ำได้ด้วย โอ้ย...จะบ้าจริงๆ แล้วนะเนี่ย” สองมือยกกุมหัว ทั้งยังอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้กับตัวเองได้อย่างไร พยายามจะให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ทว่าก็ทำไม่ได้เพราะรู้แก่ใจว่ามันคือเรื่องจริง
“เหตุอันใดจึงทำให้เจ้าเอ่ยวาจาได้พิกลนัก” สินธุธาราไม่คิดถือสาบุตรี ทว่าเป็นกังวลมากกว่าว่าทำไมบุตรของตนถึงได้มีกิริยาและคำพูดคำจาแปลกประหลาด
“จะตอบได้รึยังว่าที่นี่ที่ไหน”
“ที่นี่เป็นเมือง...”
“ฮะ! เต่าพูดได้ด้วยเหรอ” ชมชีวันอ้าปากค้าง แค่เห็นตัวเองกลายเป็นนางเงือกยังไม่พอ เต่าตัวใหญ่เท่าฝาโอ่งที่อยู่นิ่งมานานนับนาทีดันโต้ตอบกับเธอแทนเงือกสองตน
“สรรพสัตว์ ณ ท้องทะเลกว้างแห่งนี้ล้วนสื่อสารกันได้ทั้งนั้น เจ้าลืมไปแล้วฤา แล้วข้าก็มิใช่แค่เต่าธรรมดา ข้านามว่าเฒ่าทรงกลด อาจารย์ของเจ้าอย่างไรเล่า แล้วเงือกสองตนนี้ก็คือท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า นี่เจ้าวิกลไปแล้วฤา ถึงได้จำมิได้ว่าใครเป็นใคร”
“อิหยังวะ!!” ตาเต่าเฒ่านี่ตอบคำถามเธอฉอดๆ จากที่อ้าปากค้าง ตอนนี้รีบเรียกสติของตัวเองและพยายามมาหาคำตอบจะดีกว่าว่าจู่ๆ มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับเธอ ครั้งสุดท้ายที่จำได้ก่อนจะตื่นมาอยู่ที่นี่เธอนั่งรถออกไปเที่ยวพร้อมกับอัคคี ทว่าฝนที่ตกหนักเลยทำให้ถนนลื่น ด้วยความที่อัคคีไม่ชำนาญทางเลยทำให้รถเสียหลักตกถนนพุ่งเข้าไปชนต้นไม้ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็ดับลงไป
“ไม่ใช่ว่าในตัวลูกของข้ามีดวงจิตดวงอื่นมาสิงสู่แล้วฤาท่านผู้เฒ่า” สินธุธาราชักเริ่มตงิดใจ เพราะถึงแม้บุตรีของตนจะมีนิสัยดื้อรั้นเพียงใด แต่ก็ไม่เคยก้าวร้าวต่อผู้อาวุโสกว่าแม้สักครั้ง
ผู้เฒ่าทรงกลดคิดเช่นเดียวกันกับสินธุธาราเขาจึงหันไปถามเงือกสาว
“เจ้านามว่าอันใดฤา”
“โอ้ แม่เจ้า ใช้ภาษาจักรๆ วงศ์ๆ ซะด้วย เอาอย่างงี้นะคะท่านผู้เฒ่าเต่า ฉันชื่อชมพู ชื่อจริงชื่อชมชีวัน ฉันเป็นคนค่ะ เป็นคนที่มีสองขาเคยเห็นไหมคะ ฉันก็ไม่รู้ว่าจู่ๆ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เรื่องนั้นข้าก็มิอาจรู้ในเพลานี้ได้ แต่ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า ในเพลานี้เจ้านามว่ามนตรามัจฉา เป็นบุตรีของราชาแลราชินีของเงือกสมุทร นั่นท่านพ่อของเจ้า ท่านสินธุธารา แล้วนั่นก็แม่ของเจ้า ท่านบุหลันมัจฉา”
“มีดวงจิตดวงอื่นมาอยู่ในร่างลูกของเราอย่างนั้นฤาท่านพี่ แล้วลูกของเราอยู่แห่งหนใดกัน” บุหลันมัจฉาตัวอ่อนปวกเปียก เมื่อคิดว่าบุตรีได้จากตัวเองไปแล้ว
“หากหัวใจสมุทรยังอยู่ ณ ที่แห่งนี้คงดี” สีหน้าของสินธุธาราเต็มไปด้วยความหนักใจ
คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นหนักขึ้นเมื่อได้ยินราชาเงือกเอ่ยถึงหัวใจสมุทร
“คุณพูดถึงหัวใจสมุทร ไอ้ก้อนกลมๆ แดงๆ ที่มีรูปเงือกตัวน้อยๆ อยู่ด้านในใช่ไหม”
“ทำไมเจ้าจึงรู้ได้”
“มันคือของของเงือกจริงๆ เหรอเนี่ย คือว่าของชิ้นนั้นมันเป็นสมบัติตกทอดมาจากต้นตระกูลทางพ่อของฉัน ปู่เคยบอกฉันว่ามันเป็นของเงือกสมุทร ให้ฉันเก็บเอาไว้อย่างดีค่ะ”
“แล้วตอนนี้หัวใจสมุทรอยู่แห่งใด” สัตว์ทุกตนที่อยู่ ณ แห่งนี้หูผึ่งเพราะมีความหวังที่จะได้หัวใจสมุทรกลับคืนมายังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งนี้
“น่าจะบ้านฉัน บ้านที่อยู่บนโลก บนพื้นดิน เอ่อ...ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหม” ชมชีวันยกมือเกาหัวแกรกๆ เพราะเธอก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ราชาเงือกและผู้เฒ่าเต่าได้เข้าใจ
“ข้าเคยได้ยินเรื่องมิติของโลกมนุษย์”
“คุณพูดว่ามิติของโลกมนุษย์ หมายความว่าฉันไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์อย่างงั้นเหรอ”
“คำว่าโลก มีหลายมิติ แลโลกนี้มีมากมายหลายเรื่องราวที่เจ้ายังไม่เคยได้รับรู้ แม้แต่ข้าเองที่อยู่มานับหมื่นปีก็ยังไม่สามารถเข้าใจคำว่าโลกได้อย่างถ่องแท้ทุกประการ แต่เพลานี้ข้าพอจักเข้าใจแล้วว่า เจ้าคือดวงจิตของมนุษย์ที่เข้ามาสิงสู่อยู่ในร่างของมนตรามัจฉา แล้วข้าก็เชื่อว่า ดวงจิตของมนตรามัจฉาก็อาจจักอยู่ในร่างของเจ้าโดยมีหัวใจสมุทรเป็นสิ่งนำพา”
“แล้วฉันจะกลับร่างตัวเองได้ยังไงคะ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่โชคชะตากำหนด แต่ในเมื่อเจ้าอยู่ในร่างของธิดาของราชาเงือก เจ้าก็จักต้องเรียนรู้แลทำหน้าที่ของธิดาเงือกสมุทรให้ดี”
“ฉันอยากกลับบ้าน หาวิธีกลับบ้านให้ฉันหน่อยได้ไหม”
ผู้เฒ่าทรงกลดส่ายหัวน้อยๆ “ข้ามิมีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ข้าเชื่อว่าเมื่อถึงเพลาที่เจ้าต้องกลับ เจ้าก็จักได้กลับ ในตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องรู้ก็คือ เจ้าเป็นเงือกตนเดียวที่มีเรือนผมสีดำขลับ แม้เจ้าจักมีเชื้อสายของราชาแลราชินีเงือกทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนบกแลในน้ำได้ แต่สิ่งสำคัญ เจ้าต้องห้ามให้พวกปักษิณพาราเห็นเจ้าได้ มิเช่นนั้นเจ้าจักต้องถูกบังคับให้อภิเสกสมรสกับโอรสของเจ้าเมืองปักษิณพารา”
“แล้ว พวกนั้นคือใครคะ”
“เผ่าของนกยักษ์ พวกนั้นเคยมาที่นี่แล้วสั่งเอาไว้ว่าหากมีเงือกสาวเรือนผมดำขลับถือกำเนิดขึ้น จักขอไปเป็นสะใภ้”
“ฉันก็ไม่ได้อยากไปเป็นสะใภ้ใครหรอกนะ เท่าที่ฟังมาเหมือนพวกคุณจะไม่ชอบพวกนกยักษ์ถึงไม่อยากยกลูกสาวให้ ทำไมเหรอ”
สินธุธาราเงยหน้าตอบด้วยตนเอง “ข้าไม่อยากบังคับฝืนใจลูกของข้า อีกเรื่องหนึ่งคือข้ารู้มาว่าโอรสของราชาเผ่านกยักษ์ แท้จริงแล้วนั้นเป็นโอรสของครุฑที่นำมาฝากเลี้ยงเอาไว้ พวกข้าไม่ชอบพวกครุฑ เพราะครุฑขโมยหัวใจสมุทรไป ทำให้สรรพสัตว์ในท้องทะเลเดือดร้อน แต่ข้ามิรู้ว่าหัวใจสมุทรนั้นไปอยู่บนโลกของเจ้าได้อย่างไร”
ชมชีวันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเช้าของวันใหม่เพราะรู้สึกถึงกลิ่นของความสดชื่นที่หอมจนเธออธิบายไม่ถูกว่ามันเหมือนกับอะไร เปลือกตาคู่สวยเบิกกว้างได้เต็มที่ก็รีบหันไปมองข้างตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครนอนอยู่ข้างๆ ก็หันมาสำรวจเนื้อตัวของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้ายังอยู่ดีก็ถอนหายใจโล่งอก เมื่อคืนเธอก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำข้อตกลงกับปักษิณสิงขรเรื่องที่เธอยังไม่พร้อมที่จะเป็นชายาของเขาอย่างเต็มตัว วันนี้นี่แหละที่เธอจะต้องพูดให้ได้“แล้วไปไหนล่ะเนี่ย” ว่าแล้วก็รีบมองหาครุฑหนุ่ม ทว่ากวาดสายตามองซ้ายมองขวาหาไม่เจอก็รีบลุกไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อสายตาของเธอมองไปเห็นสระน้ำสีครามที่โอบล้อมไปด้วยรากไม้ใหญ่ และพืชพรรณไม้ดอกสีสวยพร้อมผีเสื้อบินตอมเหล่าดอกไม้อันแสนงดงามนั้นไม่ห่าง แววตาของเธอก็เป็นประกายไปพร้อมๆ กับมีรอยยิ้มขึ้นมาเปื้อนบนใบหน้าในทันที“สวยจังเลย” เอ่ยจบก็รีบสาวเท้าวิ่งลงไปยังหลังตำหนักในทันทีเมื่อมาถึงก็เห็นครุฑหนุ่มที่เปลือยท่อนบนนุ่งเตี่ยวสีแดงตัวเดียวยืนกอดอกสยายผมยาวหยิกอยู่ก่อนแล้ว ชมชีวันหยุดฝีเท้าและแอบหลาบสายตาสวามี “แล้วทำไมไม่ใส
“มิใช่เพลาที่เจ้าจักพูดจาไร้สาระ” อชินีพาราบีบมือของมนตรามัจฉาเอาไว้แน่นเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของเธอเริ่มจับจ้องไปยังปักษิณสิงขรและเริ่มพูดชื่อของใครที่ไม่รู้จักขึ้นมา“เงียบก่อนเถิดหนา” ชลามัจฉาจำต้องปรามหลานสาวเพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ และหลายตนกำลังจับจ้องคู่บ่าวสาวกันเป็นตาเดียวชมชีวันก้มหน้างุดและขอโทษผู้อาวุโสวทั้งสองด้วยสายตา ทว่าเธอก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมปักษิณสิงขรจึงได้รูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายอัคคีนัก เธอเข้าใจได้ง่ายว่าเขาไม่ใช่อัคคี เพราะจำได้ว่ามนตรามัจฉาบอกว่าตอนนี้อัคคีฟื้นแล้วในโลกของเธอ แต่นั่นก็ยังเป็นปริศนาที่เธอหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่าทำว่าที่สวามีของเธอถึงได้หน้าตาเหมือนกันกับอัคคีขนาดนี้ หรือชีวิตของเธอหนีไม่พ้นอัคคีจริงๆ“จำได้ใช่ไหมว่าพิธีต่อไปเป็นอย่างไร” ชลามัจฉาอยากถามกับหลานสาวให้แน่ใจอีกรอบ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่ามนตรามัจฉาเริ่มไม่มีสมาธิ“จะ...เจ้าค่ะ” ชมชีวันตอบเสียงอ่อน ถึงเวลาแล้วสินะที่เธอจะต้องยืนขาแข็งเพื่อมอบน้ำว่านมงคลให้กับแขกเหรื่อแต่ละเผ่าพันธุ์ที่มาในงาน เท่าที่มองด้วยตาเปล่าตอนนี้เสมือนเธอกำลังมองผู้คนที่มาในงานคอนเสิร์ตอย่างไงอย่างงั้น กว่
ณ ตำหนักใหญ่ในวันสำคัญของเผ่าพันธุ์นกยักษ์ เหล่าสรรพสัตว์ผู้ปกครองเผ่าจากหลายเมืองมาเยือนพื้นที่แห่งนี้เพื่อเป็นสักขีพยานในวันอภิเษกสมรสของปักษิณสิงขรและมนตรามัจฉา ณ ท้องพระโรงของตำหนักที่ประดับประดาไปด้วยพืชพรรณหลากสีสันสวยงามพาสะดุดตา ทั้งยังมีอาหารหวานคาวรองรับแขกเหรื่ออยู่หลายจุด อีกทั้งยังมีเหล่าบรรดาผีเสื้อสวยงามคอยร่ายรำบ้างก็ขึ้นบินแสดงความสวยงามเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากผู้ที่เดินทางมาและให้ความจรรโลงใจไปพร้อมกันชมชีวันสวมอาภรณ์ในงานพิธีเรียบร้อย เหล่านางรับใช้ก็ขนเครื่องทองมาประดับประดาที่คอและแขนทั้งสอง“ของพวกนี้ข้าต้องสวมใส่ด้วยฤา” ชมชีวันยกมือลูบสร้อยคอเส้นหนาที่มีลวดลายกนก ทั้งมองจ้องกำไลข้อมือวงใหญ่ที่สลักเป็นเสมือนลายขนนกรอบวง“ของพวกนี้เป็นขององค์ราชินีที่ประธานให้ท่านเจ้าค่ะ ทุกอย่างล้วนเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าเมืององค์ต่อไป” บุหงาราตรีไขข้อกระจ่างให้กับเจ้าสาว‘เจ้าเมืององค์ต่อไป’ เมื่อคำพวกนี้เข้ามาในโสตประสาท เจ้าสาวแสนสวยในวันนี้ก็เริ่มสีหน้าเจื่อนลง เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอต้องเคร่งครัดในกฎเกณฑ์กว่าผู้ใด ยิ่งตอกย้ำหนักเข้าไปอีกว่าอิสระที่เธอชอบนั้นจะไม่ได้มันมาง
“นางคงจักพึงใจท่านปักษิณมากใช่ฤาไม่”“ใช่แล้ว” มีนามัจฉาพยักหน้าหงึกๆ“ท่าทางมัจฉารัมภากับนางมิน่าเป็นสหายกันได้”“ทั้งสองตนจากบ้านจากเมืองมาที่นี่พร้อมกัน แลในฐานะเดียวกันจึงเป็นสหายกัน คงเลือกคบมิได้ แต่ใครต่างก็มองออกว่าทั้งสองนิสัยใจคอมิเหมือนกัน สุมารีหยิ่งทระนง ส่วนมัจฉารัมภาเรียบร้อยอ่อนหวาน”“เจ้าคิดว่าหากท่านปักษิณมองเห็นแล้วจักพึงใจในนางทั้งสองฤาไม่”“ข้าคิดว่าหากท่านพี่ปักษิณคิดอยากให้นางทั้งสองมาปรนนิบัติ คงเรียกให้รับใช้นานแล้ว ท่านพี่มิต้องคิดอันใดมาก ยังไงเสียท่านพี่ก็ต้องเป็นชายาเอกเพียงตนเดียวเท่านั้น”“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ ข้ายอมรับว่าแม้จักมิอยากเป็นชายาผู้ใด แต่ในเมื่อต้องเป็นก็มิอยากเป็นรอง”“ท่านพี่สบายใจได้ หากท่านทำให้ท่านพี่ปักษิณมองเห็น มิมีทางที่ท่านพี่ปักษิณจักให้ใครแทนที่ท่านแน่ เชื่อข้าเถิด”ชมชีวันพยักหน้าน้อยๆ ในขณะที่สีหน้ากำลังระรื่นเมื่อนึกถึงวันข้างหน้า “อ่อ... ข้าอยากรู้ว่าพวกเราไปที่ถ้ำ
ปักษิณสิงขรกำลังไล่ฝ่ามือสำรวจอาภรณ์ที่ทางเรือนไหมส่งมาให้ แม้นจะมองไม่เห็นแต่ก็พอจะรู้ว่าไหมที่ใช้ทอผ้าให้เป็นอาภรณ์สวมใส่ในงานพิธีอภิเษก ผู้ถักต้องเป็นผู้ที่มีความละเมียดละไมมาก“อาภรณ์นี้ละเอียดนัก ฝีมือถักทอเป็นของผู้ใดฤา”“บุหงาราตรี” รณจักรปักษามองอาภรณ์นั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมเช่นกัน“นางรับใช้ที่ท่านว่างามนักใช่ฤาไม่” ปักษิณสิงขรมีรอยยิ้มมุมปาก แม้นเขาจะเป็นผู้ที่พูดน้อยและดูไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องของผู้อื่น ทว่าเขาก็จำได้ดีว่ารณจักรปักษาเคยเอ่ยชมบุหงาราตรีด้วยน้ำเสียงที่ดูหลงไหลอย่างไม่เคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว“ใช่”“ท่านถูกสร้างโดยองค์อิศวร หากท่านพึงใจนางใดคงมิใช่เรื่องยากที่ท่านจักขอประธาน”รณจักรปักษาเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อครุฑหนุ่มเอ่ยจบ เขาพอจะรู้ว่าที่ปักษิณสิงขรเอ่ยออกมาเช่นนี้คงรู้ว่าเขาพึงใจในตัวของบุหงาราตรี ทว่าแม้นเขาจะกำเนิดโดยเทพชั้นสูงแล้วอยากได้อะไรแล้วจะได้มาง่ายๆ“ข้ามิอยากบังคับจิตใจของใคร แลข้ามิสามารถละจากหน้าที่ได้”“เว้นเสียแต่ว่าข้าขอให้ท่านละจากหน้าที่”“ย้อนกลับไปคำเดิมที่ข้ามิชอบฝืนจิตใจใคร” รณจักรปักษารู้ว่าปักษิณสิงขรเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะควา
ณ ตำหนักเล็กของสุมารีเทวี บุตรีของเผ่าสิงห์สุระ สิงโตที่ปกป้องอาณาเขตของศิลาชีวิต สิงโตสาวมีรูปลักษณ์สวยสง่า ดวงตาคมกลมโต นัยน์ตาสีอำพัน อกเป็นอกเอวเป็นเอว มีความมั่นใจในตนเองสูง สิงโตสาวในอาภรณ์พันอกอกสีแดงสดสีเดียวกับซิ่นผืนงามที่กำลังสวมใส่ เรือนผมยาวถูกปล่อยสยายละไปกับสายลมขณะที่กำลังเดินมาต้อนรับแขกที่ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมัจฉารัมภา บุตรีของท่านพญาปลาแห่งเมือง ธารธารี ที่ถูกส่งตัวมาเมืองนี้เพื่อเป็นสนมให้กับปักษิณสิงขรเหมือนกัน“มาหาข้ามีธุระอันใดฤา” เห็นหน้ามัจฉารัมภาได้เธอก็รีบเอ่ยถามเจ้าหญิงปลาน้อยหน้าหวานในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ยืนรออยู่ในทันที“ท่านได้ข่าวของมนตรามัจฉาแล้วใช่ฤาไม่”“หึ่...แล้วนางก็ฟื้นจนได้ ข้าล่ะภาวนาไม่อยากให้นางตื่นขึ้นมาตลอดกาลเลย” สุมารีเทวีตอบด้วยสีหน้าและแววตาที่ไม่พอใจนัก“เป็นเช่นนั้นท่านปักษิณก็มิอาจมองเห็นน่ะสิ” มัจฉารัมภาคิดว่าสุมารีเทวีจะดีใจเสียอีกที่ไม่นานนี้ปักษิณสิงขรจะได้มองเห็นโลกภายนอกแล้ว“หึ่...แล้วทำไมจักต้องเป็นนางด้วยที่ทำให้ท่านปักษิณมองเห็น ข้ามิเข้าใจ”“หากท่านปักษิณมองเห็น ท่านปักษิณอาจพึงใจในรูปลักษณ์ของพวกเรา แล้วให้เราได้รับใช้ในฐา