เทียนนั่งมองโรงศพของปู่เขาทุกวันตั้งแต่ที่ศพมาถึงประเทศไทยจนพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้อยู่กับปู่เป็นวันสุดท้าย ยิ่งมองเรื่องราวความทรงจำในอดีตของเขากับปู่ก็ยิ่งผุดขึ้นมาในหัวเขา
"ทำไมปู่ถึงทิ้งไปผมแบบนี้ล่ะครับ...ไหนปู่บอกว่าจะกลับมาฟังคำตอบจากผมไม่ใช่เหรอ" เทียนพูดออกมาทั้งน้ำตา ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักหมดแล้วเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนปู่ตรงนี้ "พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว ฮึก~งั้นผมขอตอบคำถามปู่ตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ...ฮือ...ผมทำไม่ได้ครับปู่...ฮึก...ฮือ...ผมทำไม่ได้ ผมแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ครับ...ฮื้อ...ฮือ...ผมขอโทษ ผมทำให้ปู่ผิดหวังอีกแล้ว...ฮื้อ...ฮือ...ฮือ...ฮื้อ...ฮึก...ฮือ" เทียนนั่งร้องไห้จนตัวโยนด้วยความเสียใจ เขารู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของปู่ได้แถมการที่ปู่จะจากไปเขายังได้ติดค้างคำตอบของปู่อีก เวกัสเดินเข้ามาดูเทียนที่นั่งร้องไห้ปานคนจะขาดใจ เขารู้ว่าเทียนกับคุณซ่งรักและสนิทกันมากแค่ไหนและก็รู้ว่าคงไม่มีคำปลอบโยนใดที่จะทำให้หัวใจของเทียนรู้สึกดีขึ้น เวกัสเดินเข้าไปแล้วย่อตัวนั่งลงข้างๆ เทียน เขาใช้มือทั้งสองข้างโอบไหล่ของเทียนไว้แล้วลูบเบาๆ "คุณเทียนไปพักผ่อนเถอะนะครับ ทำแบบนี้ร่างกายจะไม่ไหวเอานะ" เวกัสพูด "ฮือ...ฮื้อ...ฮือ...ฮึก~" เทียนยังคงเอาแต่ร้องไห้อยู่แบบนั้น เวกัสไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีตอนนี้เขารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของเทียนมากๆ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ศพของคุณซ่งมาถึงเทียนก็เอาแต่นั่งเฝ้าโรงศพของคุณซ่งแบบนี้ทุกวันไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรและนอกจากดื่มน้ำแล้วเขาก็ไม่ยอมทานอะไรเลยขนาดคุณหญิงทั้งสองของบ้านสั่งให้เขาไปพักผ่อนเขาก็ยังไม่เป็นผม "เดี๋ยวผมพาไปพักนะ" เวกัสพูดแล้วประคองเทียนขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็พาเทียนกลับไป ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ หลังจากผ่านพ้นเรื่องงานศพของคุณซ่งทุกคนก็ได้มารวมตัวกับที่บ้านใหญ่ตามคำสั่งของคุณผู้หญิงทั้งสองพร้อมกับทนายประจำตระกูล "ในเมื่อมากันครบแล้วก็ประกาศเถอะค่ะคุณทนาย" คุณหญิงหยาดทิพย์พูด "ครับ" ทนายตอบแล้วยืนขึ้น "กระผมนายเจษฎา บริพัตรทนายส่วนตัวของคุณซ่ง วัฒนา สิริยากร วันนี้ขอประกาศถึงเนื้อความตามพินัยกรรมที่คุณซ่งได้กระทำไว้ตั้งแต่ก่อนเสียชีวิต" ทนายพูดแล้วไล่มองหน้าลูกหลานของคนในตระกูลก่อนจะก้้มหน้าลงไปอ่านอีกครั้ง "ข้าพเจ้านายวัฒนา สิริยากรได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2565 โดยมีคุณเจษฎา บริพัตรทนายส่วนตัวและวิสุทธิ์ วงศ์ศาลเป็นพยาน ข้าพเจ้าขอมอบบ้านหลังนี้ให้กับคุณหญิงหยาดทิพย์ สิริยากรและคุณโฉม พรนภา สิริยากร ภรรยาทั้งสองอองข้าพเจ้ารวมถึงเงินสดอีกคนละ 200 ล้านบาท 2.ข้าพเจ้าขอยกกิจการโรงแรมทั้งหมด 12 แห่งทั้งในและต่างประเทศให้กับนายธำรง สิริยากร ลูกชายคนโตของ้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 3.ข้าพเจ้าขอยกที่ดินที่ภูเก็ตพร้อมบ้านพักส่วนตัวของตระกูลให้กับนางสาวเขมมิกา สิริยากรลูกสาวของข้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 4.ข้าพเจ้าขอยกอพาร์ตเมนต์ SKJ ที่สมุทรปราการและนนทบุรีให้กับนายเอกราช สิริยากรลูกชายคนเล็กของข้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 5.ข้าพเจ้าขอสงวนสิทธิ์ผู้ดูแลกิจการทุกอย่างให้แก่ผู้นำตระกูลคนต่อไปเป็นคนจัดสรรแต่เพียงผู้เดียว" ทนายพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนที่ดูกำลังแตกตื่นตกใจกันไม่น้อยจนไม่มีสมาธิสนใจสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เลย "แบบนี้หมายความว่าไงอ่ะ" มุกดาหัรไปพูดกับสามีตัวเอง "อย่าบอกนะว่าจะมีการจัดสรรคนดูแลกิจการใหม่น่ะแล้วที่พวกเราทำกันมาจะทำยังไง" เอกถามทนาย "ผมไม่ทราบครับว่าผู้นำคนใหม่จะจัดสรรคนยังไง พวกคุณอาจได้ดูแลกิจการเดิมหรือไม่ก็หมุนเวียนไปดูแลกิจการอื่นของตระกูล...หรือไม่แน่ก็อาจจะไม่ได้ดูแลกิจการไหนเลยซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ความต้องการของผู้นำคนใหม่เท่านั้น" ทนายตอบ "แบบนี้ก็ไม่แฟร์น่ะสิ พวกเราดูแลโรงสีกันมาเป็นสิบๆ ปีอยู่ดีๆ จะมาให้คนอื่นเอาไปทำต่อง่ายๆ ได้ยังไงถ้าจะให้เราไปดูแลงานอื่นพวกเราก็ทำไม่เป็นเหมือนกันนั่นแหละ" มุกดาลุกขึ้นถามด้วยความโมโห "เงียบแล้วนั่งลงเดี๋ยวนี้เลยยัยมุกดา" คุณโฉมพูด "แม่~" "นั่งลง!" เมื่อเห็นลูกสาวทำตัวดื้อด้านคุณโฉมก็ใช้เสียงที่จริงจังขึ้นจนมุกดาต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี "ต่อเลยค่ะคุณทนาย" คุณโฉมหันไปบอกทนายเจษฎา "ครับ...ข้าพเจ้าขอยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับ..." ทุกคนต่างลุ้นระทึกกับคำตอบขอทนายมากเพราะตอนนี้ชะตากรรมของทุกคนกำลัังขึ้นอยู่กับผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลแล้ว "นายเทียน เมธัส สิริยากร" จบคำของทนายร่างกายของเทียนก็รู้สึกชาขึ้นมาทันที ครอบครัวของเทียนหันมายินดีกับเขาทุกคนแต่เขากลับไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย "ไม่จริง! ลูกๆ ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนพ่อจะมายกตำแหน่งผู้นำให้ไอ้เทียนได้ไง" เอกลุกขึ้นโวยวายด้วยความไม่พอใจ "แต่ผมก็อ่านทุกอย่างตามพินัยกรรมนะครับ" ทนายตอบ "มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ไอ้เทียนมันเป็นหลานประสบการณ์อะไรก็ไม่มีแล้วจะให้ขึ้นมาบริหารทุกอย่างได้ยังไง" เอกพูด "ใช่ อย่างน้อยตรงนี้คนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็ต้องเป็นพี่หล่งสิ คุณพ่อไม่มีทางข้ามหัวลูกๆ อย่างเราหรอก" มุกดาพูด "ฉันเคยบอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่เคยต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูล คุณพ่อเห็นสมควรให้ใครก็สามารถเลือกได้ตามต้องการได้เลย" หล่งตอบ "แต่มันก็ต้องไม่ใช่ไอ้เทียนป่ะพี่" เอกพูด "แล้วเทียนมันทำไม" หล่งถาม "ก็เทียนมันไม่ได้ชอบผู้หญิงยังไงล่ะแล้วแบบนี้จะมีทายาทสืบสกุลให้พวกเราได้ยังไง" เหมยหลินลุกขึ้นแล้วตอบหล่งด้วยสีหน้าเหยียดเทียนอยู่พอสมควร "ผมเคยคุยกับคุณปู่เรื่องนี้แล้วครับว่ายังไงก็คงไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงแต่คุณปู่ก็ยังมอบตำแหน่งนี้ให้ผม ผมว่ามันน่าจะตอบคำถามอาเหมยได้นะครับว่าต่อให้ผมชอบผู้ชายคุณปู่ก็ยังเลือกผมอยู่ดี" เทียนพูด "แต่แกไม่เคยเรียนรู้งานของที่บ้านเลยแล้วจะเข้าใจมันได้ยังไง" มุกดาพูด "ของพวกนี้มันเรียนรู้ไม่ยากหรอกครับ...แล้วก็เหมือนอามุกดาจะลืมนะว่าคุณปู่สอนงานทุกอย่างผมมาตั้งแต่ผมเด็กๆ เพียงแค่ช่วง 4-5 ปีมานี้ผมไม่ได้มีเวลามาสนใจตรงนี้เฉยๆ ก็เท่านั้นเอง" เทียนตอบ "แล้วแกรู้ไหมล่ะว่า 4-5 ปีมานี้กิจการของที่บ้านมันเป็นยังไงบ้าง ฉันใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีดูแลแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่โรงสีอยู่ๆ จะให้เด็กอย่างแกมาทำต่อแกคิดว่าฉันจะวางใจได้เหรอ" มุกดาพูด "ผมยังไม่เคยบอกเลยนะครับว่าจะย้ายทุกคนไปดูแลกิจการอื่น ทำถึงต้องตกใจกันขนาดนั้นหรือว่ากิจการที่ทุกคนดูแลอยู่มันมีความลับอะไรอยู่กันแน่" เทียนถามหยั่งเชิงพวกอาของเขาและดูทุกคนจะมีพิรุธอยู่ไม่น้อยเพราะสีหน้าของพวกเขาต่างเลิ่กลั่กกันไปหมด "เวกัส เจสัน" เทียนเอ่ยเรียกคนของบ้านตัวเองให้เข้ามาหาทันที "ครับ" ทั้งสองรีบเข้ามาหาเทียนแล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ส่งคนของเราไปที่กิจการทุกอย่างของตระกูลแล้วนำบัญชีรายรับรายจ่ายและเอกสารสำคัญมาให้หมด...ผมจะตรวจสอบเอง" เทียนพูด "ครับ" เวกัสและเจสันตอบรับแล้วออกไปทำงานของตัวเองทันที "ตาเทียน! นี่แกกล้าทำเรื่องข้ามหัวพวกฉันขนาดนี้เลยเหรอ" มุกดาถามด้วยความโกรธที่จู่ๆ เทียนก็คิดจะตรวจสอบงานของเธอทั้งที่ยังไม่ไม่ได้ขออนุญาตจากเธอก่อนเลย "ผมก็แค่อยากรู้งานของที่บ้านทั้งหมดเฉยๆ ในฐานะผู้นำตระกูลคนใหม่...ไม่ได้เหรอครับอามุกดา" เทียนตอบด้วยสีหน้ายียวนจนมุกดาแทบอยากจะเดินเข้ามาตบหน้าหลานชายสักฉาก "อยากจะตรวจสอบจริงๆ น่ะมันก็ได้อยู่แต่ก็ควรจะขออนุญาตพวกอาก่อนไหมยังไงซะตอนนี้พวกอาก็ดูแลกิจการตรงนั้นอยู่" เหมยหลินพูด "ตอนนี้ผมเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่อยากจะตรวจสอบกิจการในการดูแลของตัวเองยังจำเป็นต้องขออนุญาตจากใครด้วยเหรอครับ" เทียนถาม "ฮึ~ก็ตามมารยาทน่ะจ๊ะ" เหมยหลินตอบ "งั้นถ้าว่ากันตามมารยาทจริงๆ ผมว่าผมน่าจะต้องถามอาเอกกับอาเหมยหลินหน่อยนะครับว่าตอนนี้เมฆอยู่ที่ไหน...คุณปู่ตายทั้งทีทำไมหลายชายคนเล็กขอวตระกูลถึงไม่มาร่วมงานศพเลย" เทียนถาม เอกและเหมยหลินทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าเทียนจะสื่ออะไร "ตาเมฆก็ช่วยงานตาสายฟ้าอยู่ที่ฮ่องกงไง" เหมยหลินตอบ "งั้นเหรอครับ" เทียนถาม ตอนนี้ทุกคนในห้องล้วนต่างสงสัยกันหมดว่าเทียนเป็นอะไรทำไมอยู่ดีๆ ถึงเจาะจงไปที่เมฆ "ใช่ งานมันเยอะจาเมฆจะมาไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลกอีกอย่างต่อให้ตาเมฆไม่มาพวกเราก็จัดงานศพกันเองได้ไม่ใช่หรอ" เอกตอบ "ถ้างานยุ่งจริงๆ งั้นทำไมสายฟ้าที่เป็นคนคุมงานถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้แต่เมฆที่เป็นแค่เด็กคนนึงที่ตามพี่ชายไปทำงานถึงมาไม่ได้ล่ะครับ" เทียนถาม "นี่แกจะพูดอะไรกันแน่" เอกถามแล้วจ้องตาเทียนเอาไว้ตลอดเหมือนพยายามข่มเขา "ก็ก่อนที่คุณปู่จะไปฮ่องกง คุณปู่ได้บอกผมว่าจับหนอนบ่อนไส้ที่แอบลักลอบเอาข้อมูลของพวกเราไปบอกคู่แข่งได้แล้ว...ซึ่งคนๆ นั้นก็คือเมฆ ลูกชายของอาเอกกับอาเหมยหลินไงครับ" เทียนตอบ ทุกคนพอได้ฟังก็ตกใจอย่างมากยกเว้นคุณผู้หญิงทั้งสองคนที่รู้อยู่แล้ว เอกไม่พอใจที่เทียนว่าลูกชายของตัวเองจึงยกมือขึ้นมาแล้บตบไปที่หน้าของเทียนอย่างแรง "แกอย่ามาใส่ความลูกชายฉันนะ" เอกพูด หล่งและดารินรีบเข้ามาดูลูกชายทันทีด้วยความเป็นห่วง "ไอ้เอก! มึงกล้าตบลูกกูเหรอ" หล่งชี้หน้าน้องชายด้วยความโกรธหมายจะเข้าไปซัดให้รู้แล้วรู้รอดแต่ธูปก็รีบเข้ามากอดรั้งพ่อของตัวเองไว้ก่อน ด้านของเอกก็มีนพและสายฟ้าคอยดึงเอาไว้เหมือนกัน "พอสักที!" คุณโฉมพูดขึ้นหลังจากเหตุุการณ์ในบ้านเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ "วิสุทธิ์ไปส่งคุณทนายที" คุณโฉมหันไปพูดกับวิสุทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ "ครับคุณโฉม" วิสุทธิ์เดินไปหาทนายแล้วเชิญออกไปที่รถเพื่อที่จะให้คนไปส่งเขาถึงที่ "มีแขกอยู่ในบ้านก็ยังกล้าลงมือกันอีก น่าขายหน้าจริงๆ" คุณหญิงหยาดทิพย์พูด "แม่ใหญ่ค่ะ คุณแม่ ตาเมฆไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ คุณแม่อย่าไปเชื่อไอ้เทียนมันนะคะ" เหมยหลินรีบคุกเข่าต่อหน้าคุณผู้หญิงทั้งสองอ้อนวอนขอร้องความเห็นใจ "ฉันก็หวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น" คุณหญิงหยาดทิพย์ตอบ "แต่ถ้ามันเป็นคนชักศึกเข้าบ้านต่อให้มันจะเป็นหลานชายของฉัน ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมันไปเด็ดขาด" คุณโฉมพูด "คุณแม่ค่ะได้โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้ชีวิตตาเมฆ รอเขากลับมาอธิบายทุกอย่างเองเถอะนะคะ...ฮึก...ฉันเชื่อนะคะว่าตาเมฆจะไม่มีวันทรยศตระกูลของเราเด็ดขาด...ฮึก...นะคะคุณแม่ นะคะแม่ใหญ่" เหมยหลินพูดไปร้องไห้ไปเธอกลัวว่าเทียนจะไม่ให้โอกาสลูกชายของตัวเองจึงพยายามพูดโน้มน้าวใจขอแม่ๆ ทั้งสอง17:45 น.ตืด ตืด ตืด (เสียงโทรศัพท์) ปูนปั้นใช้มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา"ฮัลโหลลล~""ทำไมเสียงเป็นงั้นอ่ะนี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอปูน คนอื่นเขามารวมตัวกันแล้วนะ" เอมม่าพูด"ตื่นแล้ว" "เสียงยังงัวเงียอยู่เลย เนี่ยพี่ให้ทางรีสอร์ทเขาจัดโต๊ะให้หน้าหาดแล้วกำลังจะตั้งเตาเลย รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากินด้วยกันนะ" "รู้แล้ววว เดี๋ยวตายไปนะ""เร็ว ๆ เข้าล่ะ ช้าหมดอดกินนะ" "คร้าบบบ" ปูนปั้นลุกจากเตียงทั้งที่ยังคงง่วงอยู่เพราะก่อนหน้านี้เขาทานยาแก้เมาเรือไป เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูและขอใช้เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำจากนั้นก็ออกมาใส่เสื้อผ้าด้านนอก เขาหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสั้นสีขาวมาใส่จากนั้นก็ประทินผิวฉีดน้ำหอมนิดหน่อยก็พร้อมออกไปเจอกับทุกคนแล้ว บรรยากาศตอนเย็นเงียบสงบต่างจากตอนกลางวันมากและช่วงดีที่รีสอร์ทมีพื้นที่หน้าหาดเป็นของตัวเองมันเลยพื้นความเป็นส่วนตัวได้เป็นพิเศษ ปูนปั้นก้าวเท้าออกจากบ้านพักเสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งดังแผ่ว ๆ ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน มีเพียงแสงจันทร์สลัว ๆ ที่ส่องนำทางให้เขาเดินไปตามหาดทรายขาวนุ่มเท้าในใจได้แต่คิดว่าถ้ามีเทียนอยู่ท
14 กุมภาพันธ์บรรยากาศการเดินทางไปเกาะราชาช่างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของเหล่าพนักงานของร้าน Happy Time แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้มาครบทุกคนเพราะบางคนอยากใช้เวลากับคนรักของตนแต่บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังตลอดทาง บ้างก็พากันชี้นกชี้ไม้เอ่ยชมความงามของท้องทะเลไม่ขาดปาก ความใสของน้ำทะเลที่ไล่เฉดสีฟ้าครามและเขียวมรกตเหมาะกับการถ่ายรูปเก็บไว้มาก ๆ เมื่อมาถึงเกาะทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำแล้วนั่งรวมตัวกันอีกทีช่วงเย็นเพื่อไปทานอาหารด้วยกันส่วนปูนปั้นขอแยกกับไปนอนพักก่อนเพราะเขาบอกกับทุกคนว่ารู้สึกเมาเรือตอนแรกเอมม่าก็ว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อแต่เขาก็ปฏิเสธเพราะไมาอยสกให้พี่สาวหมดสนุก ปูนพักเดินเข้ามาในห้องพักด้วยความรู้สึกเหงา เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเห็นรูปตัวเองกับเทียนที่ตั้งอยู่บนหน้าจอก็ยิ่งทำให้คิดถึงเข้าไปใหญ่ ตืด ตืด ตืด (เสียงโทรศัพท์เข้า)ปูนปั้นยิ้มออกมาทันทีที่เห็นว่าเทียนวิดีโอคอลมาหาเขา เขารีบกดรับด้วยความดีใจ ภาพขอเทียนที่อยู่ในชุดสูทสีดำ background ด้านหลังเป็นห้องสีขาวและชั้นเอกสารมากมาย
กุ๊กไก่และธูปเดินเที่ยวภายในงานอย่างตื่นเต้น พวกเขาพากันแวะซื้อของอร่อยกินนตลอด ผลัดกันป้อนไปมาจนตอนพุงกางกันไปแล้ว "ไม่เคยมาเลยอ่ะ ตอนแรกนึกว่าจะเงียบไม่คึกครื้นแบบในกรุงเทพแต่ที่ไหนได้คนเยอะแยะไปหมดเลย ของกินก็อร่อยมากด้วย" กุ๊กไก่มองไปรอบ ๆ งานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม"ผมถึงได้บอกไงว่าพี่ควรออกจากกรุงเทพมาเที่ยวที่อื่นบ้าง จะได้รู้ว่าที่ประเทศไทยอ่ะไม่ได้มีดีแค่ในกรุงเทพนะ" "จ้า รู้แล้วจ้าพ่อคูณณณ~" สีหน้าติดรำคาญของกุ๊กไก่เป็นสิ่งที่ธูปได้เห็นเป็นประจำทุกวันแต่เขากลับไม่เคยรู้สึกไม่โอเคเลยกลับกันเขาดันรู้สึกชอบมันด้วยซ้ำเพราะมันทำให้กุ๊กไก่ดูน่ารักขึ้นมากต่างจากตอนทำงานที่เขามันจะชอบทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไร้อารมณ์จนดูน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าไม่ได้มาลองสัมผัสกับตัวเองเขาคงไม่มีทางเชื่อหรอกว่าคนอย่างกุ๊กไก่จะมีมุมน่ารัก ๆ แบบนี้ด้วยเหมือนกัน "เฮ้ย! เสื้อผ้าร้านนู้นสวยมากเลยอ่ะ ไปดูกันไหม" กุ๊กไก่ชี้ไปที่ร้านเสื้อม่อฮ่อม"เอาสิ" กุ๊กไก่เดินนำธูปไปที่ร้านเสื้อผ้า"สวัสดีเจ้า บะฮู้ว่าลูกค้าเป๋นตี้สนใจ๋ชุดไหนเจ้า" แม่ค้าสอบถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะมาก ๆ"อันนี้คือชุดม่อฮ่อมใช่ไหมครับ" กุ
มาถึงห้องพักทั้งคู่ก็รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วขึ้นนอนบนเตียงพักผ่อนจากความเหนื่อยล้ากันอย่างจริงจัง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ดึกมาแล้ว ธูปค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังทำอะไรกับร่างกายเขาอยู่และภาพตรงหน้าที่เขาเห็นก็คือกุ๊กไก่กำลังทายาและนวดขาให้เขา"พี่ทำอะไรอ่ะ" "ตื่นแล้วเหรอ""อืม""ฉันเห็นนายเดินมาตั้งไกลแถมยังแบกของหนัก ๆ อีกด้วยเลยคิดว่านายคงปวดร้าวไปทั้งตัว""พี่เองก็เดินมาไกลเท่ากับผมนั้นแหละ""แต่ฉันก็ยังสบายกว่านายเยอะ...ทายาเสร็จแล้วก็ไปล้างหน้าเถอะ ฉันสั่งข้าวเอาไว้ให้แล้วจะได้มากินพร้อมกัน" กุ๊กไก่ตอบแล้วก็ลุกออกไป ธูปสังเกตเห็นสีหน้าของกุ๊กไก่แปลกไปไม่ค่อยสดใสร่าเริงเลยรู้สึกเป็นห่วง"ไม่สบายหรือเปล่า" กุ๊กไก่ส่ายหัวตอบแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว ธูปไม่ถามอะไรมากเขาลุกไปล้างหน้าแล้วมานั่งที่โต๊ะเพื่อทานอาหารพร้อมกันกับกุ๊กไก่"อร่อยนะเนี่ย" ธูปพูดเสียงแจ๋วแต่กุ๊กไก่กลับไม่ตอบอะไรเลย เขาก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตัวเองอย่างเงียบ ๆ จนธูปไม่สบายใจ เขาวางช้อนลงแล้วมองไปที่กุ๊กไป่ชัด ๆ"พี่เป็นอะไร""เปล่า""เปล่าแล้วทำไมไม่คุยกับผม""ฉันแค่เหนื่อยเฉย ๆ""งั
ธูปกับกุ๊กไก่นั่งกันอยู่คนละฝั่ง ซึ่งระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันกุ๊กไก่ยังคงทำหน้าบูดบึ้งไม่คุยกับธูปสักคำส่วนธูปก็เอาแต่จ้องเขาเหมือนอยากจะชวนคุยแต่ก็ไม่กล้า "เลิกจ้องฉันสักทีได้ป่ะ" กุ๊กไก่ทนไม่ไหวหันมาดุธูป "นี่พี่โกรธผมเหรอ" "ฉันไม่ได้โกรธ" "เห็นอยู่ว่าโกรธ" กุ๊กไก่ถอนหายใจแล้วกอดอกหันหน้าไปมองทางวิวทางด้านนอกแทน "ผมขอโทษ...ผมไม่ได้อยากให้เราทะเลาะกันจริง ๆ แต่ที่ผมพูดแบบนั้นก็เพราะว่า-" "เพราะว่านายเบื่อที่ฉันเรื่องมากและก็ขี้งกใช่ไหมล่ะ...ขอโทษนะที่ฉันทำให้ทริปของนายมันพังแบบเนี่ย" "ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมแค่อยากให้เราได้มาถึงที่พักไว ๆ จะได้พักผ่อนแล้วก็หาอะไรอร่อย ๆ กินกัน ตั้งแต่เช้าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยแถมตอนที่พวกเราเดินหารถมันก็ร้อนมาก ๆ ผมเห็นเหงื่อพี่แตกเต็มตัวไปหมดเกินพี่เป็นลมขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดที่พาพี่มาลำบากแบบนี้" น้ำเสียงที่ฟังดูเสียใจของธูปทำให้กุ๊กไก่เย็นลงทันที เขาหันกลับมาหาธูปมองดูใบหน้าที่กำลังฉายแววเศร้าอยู่ "ช่างมันเถอะ ฉันเอง...ฉันเองก็เรื่องมากจริง ๆ นั่นแหละ" "ผมรู้นะว่าพี่ไม่ได้เรื่องมากหรอกแต่พี่แค่เกรงใจผม พี่กลัวว่าผมจะต้องจ
ปูนปั้นตื่นขึ้นมาหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนนอนเพราะกลัวว่าจะลุกไม่ทันนัดของดาริน เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาปิดเสียงกลัวมันจะดังรบกวนเทียน เขามองดูเทียนที่นอนถอดเสื้อแล้วก้มลงไปจุ๊บที่แก้มของเขาจากนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขอลงจากเตียงเทียนก็ดึงเขาลงมากอดไว้ในอกซะแล้ว"แกล้งหลับเหรอ" "เปล่าซะหน่อยแต่พอดีมีคนมาขโมยจุ๊บเลยตื่น""ตื่นแล้วก็ปล่อยผมต้องไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำบุญกับแม่อีก""ไปตั้ง 7 โมงค่อยอาบก็ได้หรอก""ไม่ได้เดี๋ยวไม่ทัน""ก็พี่อยากกอดหนูหนิหน่า" "พอเลย! จะมาอยากกอดอะไร" ปูนปั้นว่าแล้วเอามือไปจับที่เป้าของเทียน"เนี่ย! แข็งแต่เช้าเลยไม่ต้องมาอ้างว่าอยากกอดหรอก""เอ้า~ อ้างที่ไหนก็พี่อยากจริง ๆ""พอ ๆ ๆ ปล่อยเลยจะไปอาบน้ำ" ปูนปั้นว่าแล้วแกะมือของเทียนออกจากตัวเองจากนั้นก็ลุกขึ้นออกจากเตียง"นอนไปเลยแล้วก็เก็บกระเป๋าผมไปใส่รถด้วยหลังจากทำบุญเสร็จจะได้กลับคอนโดกัน""สั่งเป็นแม่เลยนะ รู้เปล่าทุกคนที่นี่ไม่มีใครกล้าออกคำสั่งพี่เลยนะ""ก็ลองดู! ถ้าผมกลับมาแล้วลุงยังไม่จัดการให้เสร็จวันนี้ก็เตรียมกลับไปส่งผมที่บ้านได้เลย""โห่~ ดุจ