“คุณณิชชาแน่ใจนะครับ ว่าอยากทำงานที่ห้างสาขาสำนักงานใหญ่จริงๆ”
ยงธนัทหรือย้ง ผู้ช่วยคนสนิทของอังกูรที่รู้เรื่องระหว่างณิชชากับเจ้านายของตนดี ว่าเธอเป็นแม่ของลูกชายคนเดียวของเขา เพราะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกที่อังกูรสั่งให้เขาดูแลเธอในช่วงตั้งครรภ์ รวมถึงการดูแลที่ทางที่ส่งให้เธอไปเรียนต่อหลังจากคลอดรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหญิงสาว
“ค่ะคุณย้ง ณิชอยากเจอลูก อยากเจอน้องวินคุณย้งก็รู้ว่าคุณต้นไม่เคยตอบกลับข้อความของณิช ไม่เคยส่งรูปตาหนูให้ณิชดูเลยสักครั้ง หรือเขาอาจจะบล็อกณิชไปแล้วด้วยซ้ำ”
ในระหว่างเรียนณิชชาพยายามติดต่ออังกูรเพื่อขอพูดคุยและดูรูปลูกบ้าง แต่อังกูรไม่เคยรับสายเธอ และไม่เคยตอบกลับในทุกช่องทางการติดต่อ จนหญิงสาวเข้าใจได้ว่าที่เขาส่งเธอไปเรียนเมืองนอกก็เพราะไม่อยากให้เธอได้มีโอกาสกลับมาหาเด็กชายรติวัชร์นั่นเอง
หญิงสาวไปเรียนต่อหกปีคือระดับปริญญาตรีสี่ปีและต่อโทอีกสองปี ในหกปีที่ผ่านมานั้นทุกวันเกิดของลูกเธอจะได้เพียงรูปของลูกชายผ่านยงธนัทเป็นผู้ส่งให้เท่านั้น แต่ไม่เคยได้พูดคุยและแน่นอนว่าเด็กชายไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแม่เช่นกัน
“แล้วคุณณิชไม่กลัวว่าคุณต้นจะรู้เรื่องคุณหนูหวานเหรอครับ” ยงธนัทถามเรื่องที่เขาอึดอัดใจมาตลอดหลายปี เขาไม่รู้ว่าทั้งอังกูรและณิชชาคิดอะไรกันอยู่ถึงไม่พูดกันตรงๆ ต้องให้คนกลางอย่างเขารับรู้เรื่องและก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บมันไว้ในใจคนเดียว
ณิชชานิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองคนยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อก็ต้องมองไปทางบันไดเมื่อได้ยินเสียงตึงตัง
“ม่ามี้หายไปไหน ฮือ” เด็กหญิงวัยหกขวบเดินลงบันไดมา ผมเผ้ารุงรังเพราะเธอเพิ่งตื่นนอน ณิชชารีบลุกไปจูงลูกลงบันไดมาทันที
“โอ๋ ม่ามี้คุยกับลุงย้งอยู่ค่ะลูก น้องหวานหวานสวัสดีคุณลุงหรือยังคะ”
เด็กหญิงหยุดร้องไห้ เธอมองลุงย้งตาแป๋วก่อนที่มารดาจะปล่อยมือเธอและให้วิ่งไปหาชายหนุ่ม เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานย่อตัวไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าจนเขารับไหว้แทบไม่ทัน
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
“สวัสดีครับคุณหนู ไม่ต้องไหว้ลุงก็ได้ครับ” เขาพูดอย่างลำบากใจ อย่างไรก็ลูกสาวเจ้านายถึงเจ้านายจะไม่รู้ก็เถอะ! และนี่คือสิ่งที่เขาลำบากใจมาตลอด ในตอนที่ณิชชาอัลตราซาวนด์พบว่าตนเองท้องลูกแฝด เธอได้ขอร้องไม่ให้เขาบอกอังกูรว่ามีลูกแฝดเพราะทนไม่ได้ที่จะถูกพรากลูกไปทั้งสองคน
ยงธนัทยอมทำตามแต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องรู้ความเป็นไปของสองแม่ลูก เธอต้องบอกเป็นระยะว่าเด็กหญิงรติชาปลอดภัยแข็งแรงดี และตัวณิชชาเองต้องยอมรับให้อังกูรส่งเสียค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนเพื่อให้ตัวยงธนัทแน่ใจว่าลูกสาวของเจ้านายที่อยู่กับแม่จะไม่ลำบาก
ต่อมาณิชชาได้เข้าไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของห้างเอ็มจี โดยที่ได้รับความร่วมมือจากยงธนัทในการหาตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องเจอกับอังกูร และไม่ได้จำเป็นต้องเข้าพบผู้บริหารคนอื่นๆ มากนัก
“แผนกลูกค้าสัมพันธ์เหรอคะ”
“ครับ เป็นรองหัวหน้าแผนกฝ่ายลูกค้าต่างประเทศ ทำงานดูแลลูกค้าต่างชาติที่ติดต่อเข้ามา รับเรื่องร้องเรียนและประสานงานต่างๆ ปกติพนักงานในแผนกจะทำงานเป็นกะเช้ากับกลางวัน ไม่ต้องทำงานวันหยุดไม่มีโอที แต่รองหัวหน้ากับหัวหน้าแผนกเข้างานตามเวลาปกติได้”
“ได้ค่ะได้ ไม่มีปัญหา”
เธอรับปากไว้ก่อน เพียงแค่นี้ก็ถือว่ายงธนัทช่วยเต็มที่แล้ว ตอนแรกเธอคิดไว้ว่าหากต้องทำงานเข้ากะตามระบบของงานห้าง ที่ตั้งใจไว้คือว่าหากวันไหนที่เลิกดึกเธอจะจ้างพี่เลี้ยงให้อยู่ดูแลน้องหวานหวานเพิ่มเวลาไป และเพราะว่าคนอื่นทำได้เธอเองก็ต้องทำได้หญิงสาวจึงไม่อยากมีปัญหาให้ถูกเพ่งเล็ง
“โอเคครับ วันจันทร์คุณณิชเข้าไปรายงานตัวได้เลย”
การเริ่มต้นทำงานของณิชชาที่ห้างเอ็มจีผ่านไปอย่างราบรื่น จากวันแรกเวลาล่วงเลยมาอีกสามเดือนโดยที่เธอไม่เคยได้เจอทั้งน้องวินลูกชายและอังกูรเลย
“น้องวิน เมื่อไหร่แม่จะได้เจอลูกนะ” หญิงสาวห่มผ้าให้ลูกสาวอีกคน ใจก็พลางคิดถึงลูกชายฝาแฝดที่ถูกแยกไปตั้งแต่แรกคลอดด้วยความคิดถึง แม้ว่าจะมีลูกสาวอีกคนอยู่ตรงนี้ การมีอยู่ของน้องหวานหวานอาจจะช่วยเยียวยาจิตใจเธอให้ดีขึ้นได้บ้าง แต่เธอก็ยังคิดถึงลูกชายอีกคนอยู่ดี ความคิดถึงไม่ได้ลดลงแม้สักนิด
“หวานหวานขา แม่อยากบอกว่าหนูมีพี่ชายอีกคนนะลูก” ในปัจจุบันที่เธอเข้าทำงานที่ห้างเอ็มจีแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงที่จะพยายามในการส่งข้อความติดต่อไปหาอังกูร เพื่อขอพบและขอคุยกับลูกบ้างและผลลัพธ์ก็เช่นเคยที่ไม่เคยมีข้อความใดตอบกลับมา
อังกูรขมวดคิ้วเมื่อได้รับข้อความจากณิชชาเป็นเนื้อหาเดิมๆ ที่เขาแทบจะไม่ต้องเปิดอ่านก็รู้ว่าเธอส่งมาว่าอะไร เขาเคยคิดว่าตอนนั้นเธอยังเด็กมากหากณิชชาได้ไปสู่โลกกว้าง ไปพบชีวิตใหม่ เธอจะลืมลูกชายคนนี้ไปเอง แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด เพราะเธอยังเพียรพยายามขอร้องให้เขาอนุญาตให้เธอได้คุยกับลูกบ้าง
‘หรือว่าเธอไม่ยอมไปไหน เพราะหวังเรื่องเงิน’ ชายหนุ่มคาดเดา จากนั้นเขาจึงนึกได้ว่ารายงานค่าใช้จ่ายของเขาที่มีการโอนจ่ายให้ณิชชามาตลอดหกปีนั้น ในช่วงสองเดือนหลังไม่มีรายการโอนของณิชชาอีกแล้ว
รองประธานหนุ่มของห้างสรรพสินค้าปลีกและส่งวัยสามสิบห้า กดอินเตอร์คอมถามเลขาหน้าห้องของเขาทันที
“คุณสุ ย้งอยู่ไหม”
“อยู่ค่ะบอส คุณย้งเพิ่งกลับเข้ามาสักครู่เองค่ะ”
ได้ยินดังนั้น อังกูรจึงลุกออกจากห้องเขาเปิดประตูเดินผ่านเลขานุการสาวตรงไปยังห้องทำงานของยงธนัทที่อยู่ติดกันทันที
“อุ๊ย ท่าทางจะเรื่องด่วน เจ้านายถึงเดินไปหาคุณย้งเองเลย”
อังกูรผลักประตูห้องทำงานของผู้ช่วยคนสนิทโดยที่ไม่ได้ให้เสียงก่อน ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งรีบวางสายที่พูดค้างอยู่
“แค่นี้นะครับ สวัสดีครับเดี๋ยวผมติดต่อไปใหม่”
“ตกใจอะไร นายก็คุยไปสิ” อังกูรตอนแรกที่ไม่คิดอะไร พอเห็นท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายก็เริ่มสงสัย
“ตกใจอะไรเฮีย ผมเปล่าสักหน่อย แล้วเฮียมีอะไรเดินมาถึงนี่ เรียกผมไปหาที่ห้องก็ได้”
“นายมีพิรุธมาก จะบอกดีๆ ไหมว่าปิดบังอะไรอยู่” อังกูรคาดคั้น
“ไม่มี้... ไม่มีอะไรเลยเฮีย” ยงธนัทมองหน้าเจ้านายและรุ่นพี่ก่อนจะยอมรับ “เฮ้อ... ก็แค่ลูกค้าคอมเพลนมาเรื่องป้ายราคาไม่ตรงกับสินค้าน่ะพี่ แล้วซีเอสใหม่รับเข้ามายังทำงานได้ไม่ค่อยถูก”
“ก็ส่งไปเทรน เทรนไม่ผ่านก็ไม่ต้องให้ผ่านโปร”
“ก็คงแบบนั้นล่ะครับ ว่าแต่เฮียมีเรื่องอะไร”
“บันทึกการเงินเดือนนี้ ทำไมไม่มีค่าใช้จ่ายของณิชชา”
“คุณณิชบอกว่าเธอเรียนจบแล้วครับ ไม่อยากรบกวนเฮียแล้ว” ยงธนัทเริ่มเก็บไม้เก็บมือไม่อยู่ จนต้องรีบเปิดคอมมาดูงานไปด้วย คุยกับอังกูรไปด้วย
“แล้วเขากลับมาแล้วเหรอ ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
‘ใคร’ ที่ว่าก็หมายถึงยงธนัทเต็มๆ เพราะชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของณิชชา เป็นคนที่อังกูรมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลเรื่องของณิชชาเพียงคนเดียว
“เอ่อ... คงงั้นมั้งครับ” จะให้เขาตอบว่าอย่างไรล่ะ จะให้บอกเลยไหมว่าณิชชาเพิ่งเข้าทำงานที่นี่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
“นี่นายไม่รู้เหรอว่าณิชชาอยู่ไหน” อังกูรมองลูกน้องอย่างไม่ใคร่เชื่อถือนัก ไอ้หมอนี่ปกติมันรู้ทุกเรื่อง ทำเกินหน้าที่เสมอแล้วจะไม่รู้เรื่องของณิชชาได้อย่างไร
“มะ... ไม่ครับ พอดีว่าช่วงนี้ผมประสานงานเรื่องการก่อสร้างสำนักงานใหม่ของเราที่จีนด้วย เลยไม่มีเวลาไปตามเรื่องของคุณณิชชาเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ติดต่อมาก็ดีแล้วนี่ครับ เฮียจะได้สบายใจเรื่องน้องวิน”
“เขาเพิ่งส่งไลน์มาขอเจอน้องวินเมื่อสิบนาทีก่อน” อังกูรพูดเสียงเรียบ
“แล้วทำไมเฮียไม่ให้น้องวินเจอแม่บ้างละ เฮียเคยรับปากกับคุณณิชเธอไม่ใช่เหรอว่าจะไม่กีดกันเธอกับลูก” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยงธนัทไม่เคยเข้าใจว่าอังกูรคิดอะไรอยู่ แล้วถ้าอังกูรรู้ว่าตนเองมีลูกสาวอีกคนชายหนุ่มจะเป็นอย่างไร ยงธนัทแทบไม่กล้าคิดต่อ
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ