วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง
“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี”
ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน
“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัว
ณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้ว
จากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว่าแหวนแต่งงานที่ได้ตกทอดมาจากแม่สามีวงใหญ่เกินไป เกรงว่าหากใส่เป็นประจำจะทำหายสักวันแน่ๆ
“ณิชชอบแบบไหนเลือกเลย เอาเป็นแหวนคู่นะเฮียก็จะเปลี่ยนเหมือนกัน”
ณิชชาเลือกอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงขอพนักงานดูแหวนเพชรวงเล็กขนาดเพชรเม็ดไม่ใหญ่มาก คิดว่าน่าจะใส่ติดมือได้ทุกวัน
“สองวงนี้เป็นแหวนคู่ค่ะ น้ำหนักหนึ่งจุดสิบห้ากะรัตนะคะคุณผู้หญิง เป็นเพชรแบบไร้ตำหนิเกรดเจียระไนน้ำสวยมากเลยค่ะ”
“สวยดี ณิชชอบแบบนี้ใช่ไหมงั้นเอาวงนี้เลยก็ได้”
ณิชชาพิจารณาครู่หนึ่ง “ราคาเท่าไหร่คะคู่นี้”
“คู่นี้แหวนคุณผู้หญิงวงละห้าแสนส่วนอีกวงเป็นแหวนผู้ชายราคาอยู่ที่ห้าแสนห้าค่ะรับคู่ก็หนึ่งล้านถ้วนเท่านั้น”
พนักงานขายสาวสวยตอบอย่างนอบน้อมส่วนณิชชาอ้าปากค้างไปแล้ว
“รับครับ ผมใส่ได้พอดีเลยไม่ต้องแก้”
ชายหนุ่มยื่นบัตรเครดิตให้ทางร้านอย่างรวดเร็ว ณิชชาหันไปทำท่าจะแย้งแต่เขาอมยิ้ม
“วงนี้ล่ะณิช สวยดี น้อยแต่มาก”
ตกเย็นออกจากที่นั่นพวกเขาก็ตรงไปยังบ้านสวนของณิชชาที่ฝั่งธนฯ ทันที เพราะว่าคู่แต่งงานใหม่มีแพลนจะไปค้างคืนที่นั่นในระยะนี้
“เฮียโอเคแน่นะคะที่ช่วงนี้เราจะอยู่บ้านนี้”
ช่วงนี้ของเธอหมายถึงช่วงฮันนีมูนที่สองหนุ่มสาวตัดสินใจอยู่บ้านสวนเพื่อพักผ่อน โดยที่ไม่ได้เดินทางไปต่างจังหวัดหรือที่ไหนไกลๆ
“เฮียโอเค ถ้าณิชไม่ได้อยากไปเที่ยวที่อื่นนะ”
“ยังไม่อยากไปไหนไกลเลยค่ะ ไปก็เหนื่อยเดินทางอยากพักสบายๆ มากกว่า”
อังกูรพยักหน้า นับว่าณิชชากับเขาคิดไปในทางเดียวกันเกือบทุกเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสบายใจมากที่เราสองคนมีความสุขกับชีวิตในแบบเดียวกัน
“เฮียก็คิดแบบนั้น ปกติเราก็เดินทางบ่อยมากจนเอียน จนแอบคิดว่าถ้าเราอยากพักผ่อนเราก็ควรอยู่บ้าน”
อังกูรจอดรถยนต์ที่หน้าบ้านเมื่อมาถึง ตอนนี้บ้านเก่าถูกรีโนเวตใหม่แต่ยังคงสภาพเดิมไว้เป็นส่วนมากตามความทรงจำที่ณิชชาจำได้ แค่ปรับบางส่วนให้ทันสมัยและใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ส่วนพื้นที่รอบนอกก็ถูกจัดให้ดูเรียบร้อยขึ้น ด้านหน้าบ้านหญ้าที่ขึ้นจนรกก็ถูกตัดให้ดูสวยงามขึ้น มีการปลูกซ่อมดอกไม้ ต้นไม้ที่เคยเหี่ยวแห้งตายไปเนื่องจากขาดการดูแลให้กลับมาดูมีชีวิตชีวา
ส่วนในสวนก็เป็นเพียงการปรับพื้นที่ให้ใช้งานได้ดีขึ้น เช่นการขุดลอกร่องสวนให้เก็บน้ำได้ดีขึ้น ทำความสะอาดเก็บกวาดโคนต้นไม้ให้สะอาดถอนหญ้าและวัชพืชออก ซ่อมสะพานข้ามท้องร่องให้แข็งแรงปรับปรุงห้องเก็บของและที่นั่งพักในสวนให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม
ณิชชาลงจากรถมองไปรอบๆ อย่างพอใจ เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอยู่ที่นี่อีก หลังจากที่เคยทำใจให้เสียบ้านหลังนี้ไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน
“สวยจังค่ะ” เธอมองบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ที่ภายนอกถูกทาสีใหม่จนดูสวยขึ้นมาก หญิงสาวมองเลยเข้าไปด้านหลังบ้านจึงเดินเข้าไปยังสวนด้านใน มีอังกูรที่เดินตามเข้าไปแบบเอื่อยๆ
“เฮียทำบ้านต้นไม้ใหม่เหรอคะ ดีจังเลยค่ะ” ณิชชาหยุดใต้ต้นชมพู่ต้นใหญ่ บ้านต้นไม้ที่เมื่อก่อนเป็นบ้านไม้กว้างเพียงเมตรกว่าๆ นั้นตอนนี้มีการขยายออกให้กว้างขึ้น โดยการเชื่อมกิ่งไม้ใหญ่จากต้นไม้สองต้นเข้าด้วยกัน มีการทำเสารับน้ำหนักอีกหนึ่งต้นที่พื้นดินมันจึงกลายเป็นบ้านต้นไม้ที่กว้างกว่าเดิม ขนาดเท่ากับห้องขนาดเล็กและมั่นคงแข็งแรงขึ้น
“ขึ้นไปดูไหม เพิ่งตกแต่งเสร็จไม่กี่วัน” อังกูรถามแต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจเอง “อย่าเพิ่งดีกว่าณิชท้องอยู่ เอาไว้คลอดแล้วค่อยมาดู”
“อยากขึ้นค่ะ แต่ยังไม่อยากปีน” เธอตอบยิ้มๆ แม้ว่าตอนนี้จะมีบันไดเวียนขึ้นบ้านต้นไม้แล้วก็ตาม
“อ้าวณิชเพิ่งมาถึงเหรอลูก” นางน้อยที่ช่วงนี้ได้หยุดเพราะเด็กๆ ไม่อยู่ นางจึงขอลากลับมาอยู่บ้านสวนเช่นกันทักขึ้น
“ค่ะป้า นั่นทำอะไรคะ” เธอเดินไปหาอีกฝ่ายที่กำลังตัดใบตองอย่างชำนาญ
“ตัดใบตองไปทำห่อหมกกับขนมลูก พรุ่งนี้ป้าจะไปวัดแล้วณิชกับพ่อต้นล่ะจะกินด้วยไหม เดี๋ยวป้าเอาไปฝากให้ที่บ้านให้นังนิลเอาไปให้ตอนค่ำๆ”
“กำลังอยากกินเลยค่ะ ห่อหมกใบยอเหรอคะ” หญิงสาวเกาะรั้วคุยกับหญิงสูงวัย
“ใช่ นานๆ ทีจะได้กลับมาตัดใบยอทำ ในกรุงเทพฯ ส่วนมากก็มีแต่พวกใบโหระพากับกระหล่ำ”
“อยากกินค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวขอบคุณล่วงหน้า
“ไม่เป็นไรลูก เข้าบ้านกันได้แล้วมั้งยุงใกล้มาละนี่ เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงป้าให้นิลเอาไปให้ที่บ้านนะลูก”
นางพูดถึงหลานสาวที่ณิชชาจ้างทำความสะอาดและดูแลบ้านสวนที่นี่อยู่แล้ว
ค่ำวันนั้นณิชชาเข้าครัวเองโดยมีอังกูรเป็นลูกมือ พวกเขาแวะซื้อของสดมาจากตลาดก่อนเข้าบ้าน
“มีเตาอบด้วยเหรอคะ งั้นพรุ่งนี้ณิชจะทำซี่โครงอบสับปะรดนะคะ ไม่ได้กินนานแล้วตั้งแต่แม่ไม่อยู่” เธอชวนคุยมือก็คนหม้อต้มจับฉ่ายไปด้วย
“แม่ณิชท่าทางจะทำกับข้าวเก่ง” ชายหนุ่มคาด
“ค่ะ ตอนแม่ยังอยู่แม่รับทำกับข้าวพวกข้าวกล่อง จัดเบรก มีทำขนมด้วยนะคะ”
“มิน่าตอนนั้นเด็กๆ ถึงพูดว่าแม่จะชวนปลูกดอกไม้กินได้” อังกูรเพิ่งถึงบางอ้อเรื่องที่เด็กๆ อยากชวนเขาไปซื้อต้นพันธุ์ดอกไม้มาปลูกที่บ้านที่กทม. แต่ก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ จนไม่ได้ทำสักที
“ใช่ค่ะ ณิชเคยเล่าให้วินกับหวานหวานฟัง แต่ตอนนี้ไม่ต้องทำที่โน่นแล้วก็ได้ ที่นี่เพิ่งมีลงดอกไม้ไปก็ทำที่นี่พอ นานๆ ทีเราค่อยมาดู”
พวกเขาช่วยกันทำอาหารและรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน คืนนั้นมีแสงไฟที่เปิดสว่างขึ้นภายในบ้านหลังนั้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่มีคนอยู่ที่นั่นมานาน มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของสองหนุ่มสาวปนกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข แว่วออกมาเป็นระยะจนกระทั่งดึกทุกอย่างจึงอยู่ในความสงบของยามรัตติกาล
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”