ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง
“ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
“จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน
“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อน
เด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเอาพ่อแม่อดหลับอดนอนกันทั่วหน้า แม้ว่าณิชชาจะรับอาสาดูลูกในช่วงดึกเองและให้สามีไปนอนเพราะว่าเขาต้องทำงานเช้า
“ณิชตื่นมาดูลูกเองค่ะ เฮียนอนเถอะ”
“ไม่เป็นไร ตอนกลางวันณิชเองก็ต้องเลี้ยงลูก เฮียช่วยน่ะถูกแล้วตอนวินเล็กๆ ก็เป็น”
คุณแม่ลูกสี่ชะงัก “ตอนวินก็เป็นโคลิกเหรอคะเฮีย”
“ฮื่อ เป็นสามเดือนเป๊ะเลย พอครบแล้วหายเหมือนไม่เคยเป็น เฮียอุ้มจนแขนชาแล้ววินก็ไม่เอาใครด้วย ใครมาช่วยอุ้มก็ไม่เงียบจนต้องคิดว่านี่คืออาจจะเป็นเวรกรรมที่แยกวินมาจากแม่”
หญิงสาวหัวเราะคิก “ใช่ค่ะ ตอนนี้เฮียเลยต้องมาชดใช้เวรกรรม เลี้ยงลูกเมียไปยาวๆ เลย”
“แล้วตอนณิชเลี้ยงหวานหวานลูกเป็นยังไงบ้าง ลำบากไหม” อังกูรยังรู้สึกผิดที่เขารู้เรื่องหวานหวานช้าไปมาก
“ไม่หรอกค่ะ ณิชไม่ได้จนสักหน่อยจะลำบากได้ไง” เธอยิ้มให้รู้ดีว่าอังกูรคิดอะไร “หวานหวานก็เลี้ยงง่ายด้วยค่ะ ไม่เคยร้องกลางดึกเลย ยกเว้นว่าป่วย ปวดท้อง เรื่องกินก็กินง่าย อยู่กับใครก็ไม่มีปัญหาช่วงณิชไปเรียนฝากไว้ที่เดย์แคร์ตั้งแต่หกเดือนก็อยู่ได้ค่ะ”
“ณิชรู้ไหมว่าเฮียเคยไปแอบดูณิชที่แอลเอครั้งนึง” ชายหนุ่มนึกย้อนไปในอดีต ตอนนั้นณิชชาไปเมืองนอกได้สองปีแล้วและเขามีธุระต้องไปแอลเอพอดี ชายหนุ่มแวบไปแถวที่พักของเธอที่ได้มาจากยงธนัท ทันได้เห็นหญิงสาวกลับมาจากไปเรียนพอดี จะเข้าไปทักพูดคุยด้วยก็หมดเวลาเพราะต้องเดินทางต่อไปอีกเมือง
“จริงเหรอคะ” เธอทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ อังกูรจึงเล่ารายละเอียดเท่าที่เขาพอจำได้ให้ฟัง
“โห... ถ้าเฮียอยู่นานกว่านั้นอีกหน่อย คงได้เห็นตอนณิชออกไปรับหวานหวานค่ะ” ณิชชาพูดพึมพำ
“แล้วถ้าตอนนั้นเฮียเจอหวานหวาน เฮียจะทำไงคะ”
อังกูรยังไม่ตอบ เขาพาน้องวุ้นไปนอนยังที่นอนเด็กเมื่อเห็นว่าลูกหลับสนิทแล้ว จากนั้นจึงปิดไฟในห้องและพาณิชชากลับมาที่ห้องนอนใหญ่ของตัวเอง
“ไม่รู้สิ อาจจะไม่ยอมให้ณิชเลี้ยงที่นั่นก็ได้” เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากตอนนั้นได้พบหวานหวาน ตนเองจะทำเช่นไร “หรืออาจจะพาณิชกับลูกกลับไทยให้หมดเลยก็ได้ มาเคลียร์กันใหม่”
“นั่นสิคะแต่คิดไปก็เท่านั้น เวลาเปลี่ยนเงื่อนไขของคนก็เปลี่ยนตามไปด้วย” ณิชชาเอนตัวลงนอนอย่างระมัดระวัง ตอนนี้แผลผ่าคลอดของเธอแห้งดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกเจ็บแปลบอยู่นิดหน่อยเวลาขยับตัวเร็วๆ
“แต่ใจเฮียไม่เคยเปลี่ยนนะ” อังกูรห่มผ้าให้แล้วก้มลงกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอเร็วๆ ก่อนจะผละออก
“เหมือนกันค่ะ” เธอกอดตอบเบาๆ และขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
ห้าปีต่อมา
“คราวนี้ปิดอู่แล้ว แผลอาจจะหายเจ็บช้ากว่ารอบก่อนหน่อยแต่เจ็บครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ” นายแพทย์ศรันต์ สูตินรีแพทย์เจ้าของไข้พูดเล่นปนสัพยอกกับอังกูร ผู้กลายเป็นคุณพ่อลูกห้าเพราะว่าภรรยาของเขาเพิ่งคลอดลูกคนเล็กเมื่อเย็นวาน
“แผลณิชโอเคไหมหมอบอล” อังกูรรีบถาม เขาเพิ่งกลับจากไปดูลูกสาวคนเล็กที่ห้องเด็กเมื่อครู่
“โอเคแล้วสบายใจได้ ละนายไปดูลูกมาแล้วใช่ไหม”
“ไปมาแล้ว น่ารักที่สุดในห้องเด็กเลย” ท่าทางของเพื่อนเก่าที่เป็นคุณพ่อซึ่งไม่ใช่มือใหม่แต่อย่างใดกับความอวยลูกตัวเองนั้นทำเอาคุณหมอส่ายหน้าไปมา
“เออ ยังไงก็ถ้ามีปัญหาก็โทรไปแล้วกัน ฉันมีเคสต่อ”
“ขอบใจมากเพื่อน เดี๋ยววันไหนว่างๆ ฉันพานายไปเลี้ยงข้าว” อังกูรตะโกนตามหลัง
ศรันย์ส่ายศีรษะไปมา
“เลี้ยงลูกก่อนเถอะ นายเป็นคุณพ่อลูกห้าคนแล้วนะ”
“คุณแม่ขาเดี๋ยวหวานหวานจะนอนเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลเองนะคะ” หวานหวานที่ตอนนี้อายุสิบสี่ปีเต็มอ้อนมารดาในห้องพักฟื้นคนไข้ เด็กสาวนั่งอยู่ข้างมารดาที่กำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงคนไข้ในห้องพัก
“จะอยู่เฝ้าแม่หรือจะอยู่กินขนมที่นี่ วินเห็นหรอกนะตัวมองร้านไอติมข้างล่างอยู่น่ะ” วินขัดคอทำให้คู่แฝดหันมาค้อน
“อย่ารู้ทันได้ไหมวิน” เด็กสาวตอบ
“วินไม่แกล้งน้องสิลูก” อังกูรปรามลูกชาย ถึงอย่างไรหวานหวานก็ยังเป็นยอดดวงใจของเขาอยู่ดี ไม่ว่าจะมีลูกอีกกี่คนก็ตาม
“แล้วพ่อจะให้วินกับน้องนอนที่นี่ด้วยไหม” คราวนี้เด็กชายหันไปคุยกับบิดาแทน อังกูรส่ายหน้าไปมา
“ถ้าลูกสองคนอยู่คีนกับวุ้นก็จะอยู่ด้วย ห้องไม่พอนอนหรอกลูก ถ้าอยากกินไอศกรีมก็ลงไปกินข้างล่างแล้วกลับไปนอนที่บ้านสบายๆ ดีกว่าไหม”
“ดีค่ะ”
“ดีฮะ”
เด็กๆ ประสานเสียงกัน กัลยาที่อยู่ในห้องด้วยจึงเสนอขึ้นว่า
“คุณหนูๆ ไปทานขนมข้างล่างกันเลยไหมคะ นายเดชโทรมาว่าคุณคีนกับหนูวุ้นกำลังมาถึงค่ะ ป้าจะได้ให้นายเดชพาคุณหนูอีกสองคนไปเจอกันที่ร้านไอติมเลย”
“ไปค่ะ แม่ขาเดี๋ยวหนูขึ้นมานะคะ” หวานหวานลุกทันทีท่าทางกระตือรือร้น เด็กสาวโน้มใบหน้าไปหอมแก้มมารดาที่นอนฟังพวกเธอคุยกันพลางยิ้มและหัวเราะไปด้วย
“จ้ะลูก อย่ากินหักโหมนักนะ” ณิชชาหยอกลูกสาวทำให้เจ้าตัวค้อนขวับ
“แม่อะ....”
“วินไปนะฮะแม่ พ่อแม่อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวผมซื้อมาฝาก”
ณิชชาสบตาอังกูรก่อนจะยิ้มให้ลูกชาย “แม่ยังไม่หิวเลยลูก ลูกไปเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวพ่อสั่งอะไรขึ้นมากินเองลูก” อังกูรตอบ หนุ่มน้อยพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามน้องลงไปเงียบๆ
ณิชชามองตาม “วินดูโตเป็นผู้ใหญ่ดีมากเลยนะคะเฮีย”
“จ้ะ น่าภูมิใจเนอะแต่อีกใจเฮียก็ใจหาย แป๊บๆ ลูกก็จะโตกันหมดแล้ว” อังกูรพูดตามความรู้สึก ตอนนี้คู่แฝดอายุสิบสี่อีกไม่กี่ปีก็จะเข้ามหาวิทยาลัย เขารู้สึกราวลูกกำลังจะออกไปพ้นอก
“แต่ลูกๆ ที่เหลือนี่เฮียน่าจะต้องอดนอนไปอีกนานเลยนะคะ” ณิชชาขัดคอ เธอลูบมือใหญ่ที่กุมมือเธออีกที
“รักเฮียกับลูกๆ จังเลยค่ะ”
“เฮียก็รักณิชกับลูกๆ เหมือนกัน นึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้ซะแล้วสิ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ใจฟูกับคำที่เพิ่งรู้ตัวว่ารอคอยมานาน
จบตอนพิเศษ
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”