หลินเงยหน้ามองยุ่งพร้อมฉีกยิ้มให้เด็กชายใจดีที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเธอ ก่อนจะหันกลับไปมองทางม่า ซึ่งตอนนี้กำลังยื่นมือจะช่วยพยุงเด็กหัวโจกที่ยังนั่งแผละอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น
แต่เจ้าเด็กนั่นกลับสะบัดมือที่ยื่นมาช่วยเหลือของเคี้ยง ออกอย่างแรง "ไม่ต้องมายุ่ง!" มันตวาดเสียงห้วนท่าทางไร้มารยาทและไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่นั่นทำให้ทั้งใช้และหลินเกิดความรู้สึกอยากจะปรี่เข้าไปสั่งสอนเด็กคนนั้นซ้ำให้เข็ดหลาบ
ใจเย็นไว้ยัยหลิน นั่น...มันเด็กนะ เราโตแล้ว) เธอสูดหายใจลึกพยายามข่มกลั้นอารมณ์เดือดในอกเอ่ยปลอบตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่า... ยังไม่ทันที่สถานการณ์จะคลี่คลายเสียงแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกเธอ ทำให้หลินและทุกคนต้องเหลียวกลับไปมอง
"เจ้าน้อย! ลูกแม่! เอ็งเป็นอะไรไป! ใครทำอะไรลูก!" หญิงวัยราวสามสิบต้น ๆ แต่งตัวดูดีกว่าชาวบ้านทั่วไปเล็กน้อยกำลังวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
เด็กชายเจ้าของชื่อซึ่งก็คือเด็กหัวโจกที่โดนหลินพุ่งชน พอเห็นว่าเป็นแม่ของตนเท่านั้นก็รีบวิ่งโผเข้าหาอ้อมกอดทันที ปล่อยโฮเสียงดังยิ่งกว่าเก่าทำราวกับเจ็บปวดแสนสาหัส
"แม่จ๋า! ฮือๆๆ ไอ้ใช้! ไอ้ใช้มันผลักหนู! มันรังแกหนู! ฮือออ..." เจ้าเด็กขี้ฟ้องชี้มือมาทางใช้ ป้ายความผิดให้ทั้งหมด
หญิงคนนั้นกอดลูกชายพลางลูบหัวลูบหลังปลอบโยน ก่อนจะเงยหน้ามองมาทางกลุ่มของฝ่ายตรงข้าม ดวงตาของหล่อนขุ่นขวางจับจ้องไปที่ใช้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดอย่างเอาเรื่อง
"เป็นเอ็งอีกแล้วนะ... ไอ้ใช้!" หล่อนตวาดเสียงแหลมปรี๊ด ชี้หน้าใช้เต็มที่ "โตกว่าตั้งหลายปี ทำไมถึงได้มารังแกน้อง เอ็งก็รู้นี่ว่าลูกข้าเพิ่งจะอายุสิบขวบเอง หน้าตาเอ็งก็ดีไม่น่าเป็นอันธพาลเลย!"
ใช้ถึงกับอ้าปากค้าง ชี้้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อหู (อ้าวเฮ้ย! กลายเป็นอั๊วผิดไปได้ยังไงวะเนี่ย!) ความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่แล่นริ้วขึ้นมาทันที
"อั๊วเนี่ยนะรังแกมัน! ป้าช่วยดูให้ดี ๆ ก่อนได้ไหม ลูกป้านั่นแหละที่มารังแกไอ้ยุ่งก่อน! แถมมันยังมาว่าม๊าอั๊วอีก!" เด็กหนุ่มเผลอขึ้นเสียงด้วยความเหลืออด ปกติเขาก็ไม่ใช่คนยอมคนง่าย ๆ อยู่แล้ว ยิ่งมาโดนกล่าวหาซึ่งหน้าแบบนี้ยิ่งทำให้เลือดขึ้นหน้า
"หนอย! แกยังจะมาเถียงอีกเหรอ! อีกอย่างข้าไม่ใช่ป้าเอ็ง ฉันอายุน้อยกว่าแม่เอ็งตั้งเยอะ" แม่ของน้อยตวาดกลับเสียงดังกว่าเดิมไม่สนใจฟังเหตุผลแม้แต่นิดเดียว "ฉันเห็นกับตาว่าลูกฉันร้องไห้ แถมยังโดนแกผลักจนล้ม! ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย พวกแกมันก็หัวโจกเหมือนกันนั่นแหละ!" หล่อนสรุปเอาเองเสร็จสรรพ
"ไม่ใช่นะจ๊ะ..." เคี้ยงรีบก้าวออกมาข้างหน้ายกมือไหว้หญิงตรงหน้าอย่างนอบน้อมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นที่สุด แม้ในใจจะร้อนรุ่มไม่แพ้ลูกชาย
"คือว่า... พวกอาน้อยเขาล้อเลียนอายุ่งก่อนจ้ะ แล้วพออั๊วห้าม เขาก็..." ม่าเคี้ยงชะงักเล็กน้อยไม่อยากพูดคำดูถูกนั้นออกมาตรง ๆ "...เขาก็พูดจาไม่ดี อั๊วไม่ได้อยากให้มีเรื่องเลยจ้ะ" น้ำเสียงแปร่งหูของเคี้ยงพยายามสื่อสารให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม่ของน้อยตวัดสายตาขุ่นขวางมองเคี้ยงตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน "หึ! แล้วจะทำไม! ลูกฉันจะพูดอะไรมันก็เรื่องของเขา แกเป็นแค่คนอาศัยแม้แต่บ้านก็ยังไม่มีอยู่ยังกล้าที่จะรังแกคนพื้นที่อีก" หล่อนเชิดหน้าพูดอย่างไม่เกรงใจ "ฉันจะบอกเถ้าแก่เม้งให้ไล่พวกแกออกไปอยู่ที่อื่นซะเลยดีไหม พวกเจ๊กอพยพทำตัววุ่นวาย!"
คำพูดร้ายกาจและเต็มไปด้วยอคติของแม่น้อยทำให้ใบหน้าของเคี้ยงซีดเผือดลงทันที สองมือกำแน่นจนสั่นแต่หล่อนก็ยังพยายามอดกลั้นเอาไว้เพราะรู้ดีว่าสถานะของครอบครัวตนเองเป็นรอง
ส่วนใช้พอได้ยินแม่ตัวเองโดนดูถูกซึ่ง ๆ หน้าแบบนั้นอีกครั้งความโกรธก็พุ่งขึ้นจนแทบจะระเบิดออก เขากำหมัดแน่นเตรียมจะโต้กลับอย่างไม่กลัวเกรง
ขณะที่หลินซึ่งยืนฟังอยู่ข้างย่า ดวงตาที่จ้องมองแม่ของน้อย บัดนี้ไม่ได้มีเพียงความโกรธอย่างเดียวเพราะมันได้ฉายแววเย็นเยียบออกมาด้วย
(คนแบบนี้นี่เองสินะ ที่ทำให้ครอบครัวเราต้องเจอเรื่อง แย่ ๆ ไม่ใช่แค่เด็ก แต่ผู้ใหญ่บางคนก็ใจแคบและเต็มไปด้วยอคติไม่ต่างกัน) ในระหว่างที่หลินกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรฉับพลันเสียงของใช้พลันดังขึ้น
"หุบปากนะ!" ใช้ตวาดลั่น ความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว เขาไม่สนอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นแม่ของใคร การที่แม่ของตนถูกหยามซึ่งหน้าทำให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนลืมสิ้นทุกสิ่ง เขาก้าวพรวดไปข้างหน้าเตรียมจะสั่งสอนผู้หญิงปากร้ายคนนั้นให้รู้สำนึก
"อาใช้! อย่า!" เคี้ยงร้องห้ามเสียงหลง รีบคว้าแขนลูกชายไว้แน่น เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม ถึงจะโกรธและเจ็บปวดแค่ไหนแต่หล่อนรู้ดีว่าการใช้กำลังกับผู้หญิงโดยเฉพาะกับคนที่เป็นเหมือนหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของเถ้าแก่ย่อมนำมาซึ่งปัญหาที่ใหญ่มากกว่าเดิมแน่
"ใจเย็น ๆ อาตี๋! อย่ามีเรื่องเลย! กลับบ้านเรา!"
แม่ของน้อยเห็นใช้ทำท่าจะเอาเรื่องก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่พอเห็นเคี้ยงรั้งตัวลูกชายไว้ได้หล่อนก็กลับมาทำท่ากร่างเหมือนเดิมชี้นิ้วมาที่หน้าเคี้ยงอีกทั้งยังพูดเหน็บขึ้นมาอีก
"เห็นไหม ขนาดลูกยังเป็นอันธพาล แม่ก็คงไม่ต่างกัน! ดีแต่สร้างเรื่อง! พวกแกไสหัวไปให้พ้นทางเลยนะ อย่ามาเกะกะ!"
ในขณะที่ใช้กำลังยื้อยุดกับแม่ตัวเองซึ่งพยายามดึงให้เขากลับบ้าน และแม่ของน้อยก็ยังคงตวาดไม่หยุดนั้นเอง...
"คุณป้าคะ" เสียงเล็กใสแต่ชัดเจนของหลินดังขึ้นทำลายบรรยากาศตึงเครียดนั้นลงชั่วขณะ ทุกสายตาไม่เว้นแม้แต่ เพื่อน ๆ ของน้อยที่ยังยืนอึ้งอยู่หันมามองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างยุ่งอย่างพร้อมเพรียง
หลินเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ของน้อยอย่างตรงไปตรงมาดวงตากลมโตของเธอไม่มีแววหวาดกลัวมีแต่ความนิ่งสงบผิดกับเด็กวัยเดียวกัน ผมสั้น ๆ ของเธอดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการพุ่งชนผู้ที่เข้ามาหาเรื่องเมื่อครู่
"คุณป้าบอกว่าพี่น้อยอายุสิบขวบ..." หลินเริ่มพูดเสียงเล็กใสแต่ชัดถ้อยชัดคำ "แล้วเพื่อน ๆ พี่น้อยอีกสามคนก็คงอายุพอ ๆ กันใช่ไหมคะ"
แม่ของน้อยขมวดคิ้วมองเด็กหญิงอย่างแปลกใจระคนรำคาญ ไม่เข้าใจว่าเด็กนี่จะพูดอะไรแต่ก็ยังไม่ได้พูดขัด
หลินพูดต่อดวงตายังคงจ้องมองอย่างไม่หลบเลี่ยง "แต่เจ็ก อะ..แฮ่มพี่ยุ่งคนที่พวกพี่น้อยรุมล้อเมื่อกี้นี้เขาอยู่คนเดียวนะคะ หนูเห็นกับตาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรให้ใครก่อนเลย"
เธอกวาดตามองไปยังเด็กชายอีกสามคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแม่ของน้อย "เด็กตั้งสี่คนมารุมล้อเลียน รุมผลักคนที่อยู่คนเดียว หนูว่า... แบบนี้มันไม่ค่อยยุติธรรมเลยค่ะ"
น้ำเสียงของหลินเรียบง่ายแต่คำพูดนั้นกลับทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบลงไปอีก แม่ของน้อยเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจมากขึ้น
"แล้วเมื่อกี้..." หลินหันกลับมาสบตาแม่ของน้อยอีกครั้ง "ตอนที่พี่น้อยล้ม ม่าของหนูกำลังจะเข้าไปช่วยแท้ ๆ แต่พี่น้อยกลับปัดมือของม่าออกอีกทั้งยังเอ่ยออกมาแบบไม่ให้ความเคารพ แล้วตัวคุณป้าเองก็ยังมาว่าม่าของหนูเสีย ๆ หาย ๆ อีก" เธอเอียงคอเล็กน้อยทำหน้าเหมือนสงสัยเต็มประดา
"หนูอยากรู้ว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าอันธพาลหรอกหรือคะ คนมากรังแกคนน้อยอีกทั้งยังไร้ซึ่งทางสู้"
คำถามที่เหมือนจะซื่อแต่แท้จริงแฝงไปด้วยตรรกะและความถูกต้องตรงไปตรงมานั้นทำให้แม่ของน้อยถึงกับสะอึกไปชั่วขณะ
หล่อนอ้าปากเหมือนจะเถียงแต่กลับไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอายระคนกัน ไม่คิดว่าจะโดนเด็กตัวแค่นี้พูดยอกย้อนจนจุกอกได้
ส่วนใช้และเคี้ยงมองหลินด้วยความทึ่งปนประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยที่เพิ่งเจอกันและดูเหมือนขี้แยจะพูดจาฉะฉานและมีเหตุผลได้ขนาดนี้
มีเพียงยุ่งเท่านั้นที่ยังคงมองหลินตาแป๋ว ไม่ได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งทั้งหมดแต่สัมผัสได้ว่าเด็กหญิงกำลังปกป้องพวกเขาอยู่
เมื่อสายแม่ของน้อยเห็นว่าตัวเองไม่สามารถโต้แย้งเด็กคนนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงได้คว้าแขนบุตรชายของตนแล้วรีบก้าวเท้าเดินฉับ ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว
"ไอ้เปี๊ยก ลื้อเจ๋งสุด ๆ ไปเลย ไป ๆ เดี๋ยวอั๊วพาไปกินหวานเย็น" ใช้ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวรีบดึงข้อมือของเด็กหญิงไปกับตัวเองทันทีโดยมียุ่งวิ่งตามติดมาด้วยท่ามกลางสายตาเคี้ยงที่ยังคงยืนมองอยู่ที่เดิมด้วยสายตาครุ่นคิดระคนซับซ้อนจากคำดูถูกที่ตนเพิ่งได้รับมา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง